“หามิได้ เจ้าเพียงเผลอสติใจเพริดไปเท่านั้น…จึงคิดถึงข้าขึ้นมา” บุรุษรูปงามมายังตรงหน้านาง สายตาจดจ่อและมีชีวิตชีวา คล้ายต้องการมองเข้าไปในเนื้อหนังจิตวิญญาณของนาง ไปยึดกุมทุกกระแสความคิดของนาง
คนตรงหน้าอยู่ใกล้เกินไป อูลั่วซิงอดจะขยับถอยหลังไม่ได้
นางไม่ใช่คนตาขาว แต่ฝ่ายตรงข้ามก็สุดจะอ่อนแอบอบบางเป็นอย่างยิ่ง คาดว่าแค่หนึ่งนิ้วของนางก็สามารถผลักเขาล้มลงได้อย่างไร้ข้อกังขา นางจึงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเครียดเกร็งในอกนั้นเกิดขึ้นจากอะไร
สุดท้ายนางเพียงถอยแต่มิได้หนี
“ฉินชิว…” นางเรียกขึ้นช้าๆ ตามด้วยยกมือกุมหน้าผาก ส่ายหน้าพลางพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อความคิดตนเอง “ไม่ถูกต้อง…ไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก…ลมหายใจเข้าออกล้วนปกติ และไม่มีความรู้สึกย่ำแย่จากการที่เลือดลมปั่นป่วนแม้แต่น้อย เช่นนั้น…เช่นนั้นยามนี้คือความฝัน? ย่อมเพราะเหนื่อยเกินไป หลับไปเมื่อใดไม่รู้ตัว จากนั้น…ฝันถึงบุรุษผู้หนึ่ง…แต่ไรมาข้าไม่เคยฝันเลอะเทอะมาก่อน ครั้งนี้กลับเหนื่อยถึงขั้นฝันเป็นบุรุษแล้ว ซ้ำยัง…ยังเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน ข้าฝันถึงเพราะอยากทำอะไร อูลั่วซิง เจ้าอยากทำอันใดกัน”
นางที่กำลังนึกว่าตนเองหลับลึกอยู่ในห้วงฝัน เปลี่ยนไปพูดมากขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปหลากหลาย เทียบกับแม่นางที่พูดน้อยทั้งยังมีสีหน้าไร้อารมณ์คนเดิมนั้นช่างแตกต่างกันมาก
ทว่าท่าทางต่างกันราวฟ้ากับเหวนี้ ชวนให้บุรุษที่มาหยุดตรงหน้านางอดเลิกคิ้วอย่างตกตะลึงไม่ได้
“ดังนั้น ในเมื่อฝันเห็นข้าแล้ว เจ้าอยากทำอะไรเล่า” ฉินชิวถามขึ้นตามคำพูดนาง
อูลั่วซิงเหลือบตาขึ้นมองเขาใหม่ ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน หน้าผากนางชาหนึบเล็กน้อย
เมื่อไม่ได้คำตอบจากนาง ใบหน้าเขาตึงเครียดขึ้น ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “เจ้าไปโดยไม่ลา ไร้น้ำใจของชาวยุทธ์โดยสิ้นเชิง”
ทั้งที่อยู่ในห้วงฝัน นางกลับสัมผัสได้ถึงหัวใจที่ปวดรัดขึ้นโดยแรง นึกถึงเขาที่โดนบีบให้ต้อนรับแขกหลังม่าน อีกทั้งเสร็จกิจแล้วยังรีบร้อนขึ้นชั้นบนและมองหาตัวนาง
“อาจารย์จุดพลุสัญญาณตามหาข้า ข้าทำเรื่องที่จวนจงหย่งกงด้วยตนเอง ไม่ได้บอกอาจารย์ จากนั้นข้ายังได้รับบาดเจ็บกลับช้าอีก อาจารย์ย่อมกังวลใจยิ่งยวด…แท้จริงข้าซ่อนหญ้าหลิงจี้ต้นที่หกเอาไว้ อาจารย์ต้องการทั้งหมดเจ็ดต้นเลยเชียวนะ บัดนี้ขาดเพียงต้นสุดท้ายก็จะสำเร็จงานใหญ่ ข้าต้องไปนำต้นที่ซ่อนไว้อย่างดีนั้นกลับมาจึงจะได้ ศิษย์น้องต้องใช้มันรักษาชีวิต อาจารย์เร่งรัดให้ข้ากลับมา ข้า…ข้าไม่มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นกับท่าน…”
บางทีด้วยเพราะนึกว่าตนเองอยู่ในฝัน ซ้ำบุรุษที่มีบุญคุณกับนางยังประชิดมาถึงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแฝงโทสะ จ้องมองใบหน้างามกรุ่นโกรธนิดๆ ทั้งยังดู…น่ารักอย่างไม่มีเหตุผล นางพลันปลดปล่อยตนเองอย่างต้านทานไม่ไหว นึกอะไรได้ก็พูดเช่นนั้น
นางมิได้สังเกต ตอนที่บุรุษรูปงามตรงหน้าได้ยินคำว่า ‘หญ้าหลิงจี้’ ดวงตาสองข้างของเขาพลันหรี่ลง
ฉินชิวนิ่งงันไปเนิ่นนานจึงถามขึ้นอย่างแช่มช้า “หญ้าหลิงจี้…อาจารย์กับศิษย์น้องเจ้าต้องการมันไปทำอันใด”
นี่เป็นความฝัน ฝันที่แปลกประหลาดทั้งยังเสมือนจริงมากเกินไป…ในเมื่ออูลั่วซิงมั่นใจว่ามันเป็นแค่ฝัน ดังนั้นในฝันนางย่อมไร้ซึ่งการระวังป้องกัน ถามมาย่อมตอบไปตามจริง
นางบอกเล่าว่าเหตุใดตนเองจึงต้องตามหาหญ้าหลิงจี้อย่างสั้นกระชับเน้นประเด็นหลักต่อเขาทั้งหมด ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องเหล่าเต้าคนกลางในยุทธภพกับเรื่อง ‘หมอผีหัตถ์เทวดา’ แห่งหุบเขาประหลาดเหลียวตงอีกด้วย…
“…หลายปีมานี้อาจารย์พาข้ารวบรวมเงินได้ครบหนึ่งร้อยตำลึงทองแล้ว หญ้าหลิงจี้เจ็ดต้นบัดนี้ก็เหลือแค่ต้นเดียว เชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถส่งศิษย์น้องไปรักษาตัวที่หุบเขาประหลาด เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายได้”
ฉินชิวฟังจบ เรียวคิ้วดวงตาสงบนิ่งราวสภาวะก่อนพายุบนภูเขาจะมาเยือน ถามขึ้นเรียบๆ อีกว่า “ตอนอาจารย์เจ้าเก็บเจ้าที่อายุน้อยไร้ที่พึ่งมาดูแลข้างกายในปีนั้น ศิษย์น้องของเจ้าถือกำเนิดแล้วหรือไม่”