อูลั่วซิงไม่ค่อยเข้าใจคำถามที่มาโดยไม่ให้ตั้งตัวนี้ของเขานัก ทว่ายังคงตอบตามจริง “ฟังจากคำพูดอาจารย์ อาจารย์หญิงจากไปเนื่องจากเสียเลือดมากตอนคลอด ตอนที่ข้าเจออาจารย์อายุยังไม่ถึงเจ็ดปีดี ส่วนศิษย์น้องเพิ่งอายุครบขวบ”
“ดังนั้น…พูดตามตรง แท้จริงอาจารย์เก็บเจ้ากลับมาเพื่อเป็นเพื่อนกับบุตรสาว หลังจากสอนวิชายุทธ์ให้เจ้า ยังสามารถให้เจ้าช่วยทำงาน ช่วยเก็บเงิน ช่วยหายา ใช่หรือไม่”
วิธีแจกแจงของเขาทำให้นัยน์ตาของนางหดลงฉับพลันราวกับหวาดกลัวความเจ็บปวด
“ทำไม ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ” ฉินชิวถามอีก
บุรุษเบื้องหน้าสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตากลับทอประกายเย็นเยียบเล็กๆ
อูลั่วซิงกระจ่างแจ้งในพริบตา เขายังเคืองโกรธที่นางจากไปโดยไม่ลา ไฟโทสะลุกโชนใต้รอยยิ้มเสแสร้งกับความเย็นชานั้น
นางบดกลีบปากทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบากยิ่ง
“หากไม่ได้อาจารย์พาข้ากลับไป เด็กหญิงที่เสียพ่อแม่ทั้งสองคนไปจากการทำลายล้างของน้ำป่าทะลักท่วม อยากมีชีวิตรอด อยากขอให้อิ่มท้องร่างกายอบอุ่นสักมื้อ บางทีอาจถูกคนขายเข้าหอนางโลมสำนักคณิกาไปแล้ว หรือไม่ก็…ก็คงเป็นดั่งที่ท่านพูด ข้านั้นถูกพากลับไปเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้อง ทั้งยังประจวบเหมาะเป็นคนที่มีพื้นฐานดี ทนต่อความลำบากในการฝึกยุทธ์ได้ ช่วยอาจารย์รวบรวมเงินได้ ช่วยศิษย์น้องหายาได้…เป็นเช่นนี้ แต่เป็นเช่นนี้แล้วจะทำไมเล่า”
ไม่อาจไม่ยอมรับ คำพูดของเขาแทงเข้าไปในส่วนลึกของใจนาง ทว่าแต่ไรมานางก็หาได้มีนิสัยชอบจมปลักกับความทุกข์
ความรู้สึกทุกข์ตรมย่อมมี แต่ควรจะมองเรื่องราวให้ขาด และนางก็ไม่มีทางหลอกตนเองด้วย “…ได้ทำประโยชน์ให้อาจารย์ ได้ปกป้องศิษย์น้อง อย่างไรก็ดีกว่าอดตายข้างถนนหรือตกต่ำไปเป็นนางคณิกามากนัก…มากยิ่งนัก”
ครั้งนี้กลับเป็นเขาที่นัยน์ตาหรี่ลงฉับพลัน “เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่เจ้าไปโดยไม่ลา ซ้ำยังไปอย่างรีบร้อนเพียงนั้น ล้วนเป็นเพราะสำนักชิงเยี่ยนเป็นสถานที่ตกต่ำ เป็นสถานที่สกปรกโสมมเหลือแสนใช่หรือไม่”
…สะ…สถานที่สกปรกโสมมเหลือแสน?
อูลั่วซิงเบิกตากว้างก่อนในทีแรก ตามด้วยหลุบตาลง ขบกรามแน่นพลางเอ่ยแย้ง “ไม่ใช่! ที่ข้ารีบจากมา เป็นเพราะหวนกลับล่าช้า อาจารย์กำลังตามหาข้า เรียกข้า เป็นเพราะข้า…ข้า…” ลมหายใจของนางสะดุดทันควัน นางพยายามกลืนลมหายใจที่ติดอยู่ในลำคอเฮือกนั้น “ในใจข้าย่ำแย่ถึงขีดสุด รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าถึงเพียงนั้น จากนั้นก็…อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี…”
นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นของฉินชิวหดเกร็งอีกหน ยามนี้เขามิได้บันดาลโทสะ เพียงฉงนฉงายอยู่ในใจ “เหตุใดจึงรู้สึกว่าไร้ค่า รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี”
อูลั่วซิงที่เชื่ออย่างลึกซึ้งว่าตนเองอยู่ในความฝันไม่เก็บงำคำพูดใด ปล่อยความรู้สึกออกไปตามหัวใจทั้งหมด “เดิมท่านเป็นคนนอก หอซือเฟยของท่านเป็นเพราะข้ากลับถูกทำลายเละเทะเหลือทนปานนั้น กระทั่งพิณสักคันยังรักษาไว้ไม่ได้ ท้ายที่สุดยังต้องยอมรับน้ำใจจากขุนนางสูงศักดิ์เหล่านั้น ยังมิอาจไม่ก้มหัวไปทนฝืนใจปรนนิบัติอีกฝ่าย ต้องต้อนรับแขกที่เกลียดชังยิ่งยวดในฐานะแขกพิเศษ หากข้ามีน้ำใจมากพอ ควรพาท่านไปจากที่นั่น แต่…แต่ข้าทำไม่ได้…อาจารย์ ศิษย์น้องต้องการข้า ข้าไม่อาจปกป้องให้ท่านปลอดภัยจึงทำได้เพียงจากมา ได้เพียงจากมาไกลตอนที่ท่านถูกหยามเกียรติ อะไรนอกเหนือจากนั้นล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น…”
นางค้นพบว่าก้นบึ้งของดวงตาที่เหมือนปริศนาของบุรุษราวกับมีสะเก็ดดาวตกลงไป ทอประกายระยับ ประหนึ่งได้รับการปลอบโยนและถูกทำให้พึงใจ
“ฝันนี้…เหมือนจริงยิ่ง…” นางกลับสัมผัสได้ว่าใบหูตนเองร้อนลวก และอดถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้
นางถอยหลัง ฉินชิวก็สืบเท้าขึ้นหน้ามาใกล้พลางเอ่ยด้วยท่วงท่าแช่มช้า “ดังนั้นที่ฝันเห็นข้า เพราะเจ้ารู้สึกผิดบาปในใจ รู้สึกละอายใจต่อข้า รู้สึกว่าไม่มีน้ำใจกับข้ามากพอ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
นางแหงนหน้าสบตาเขาอย่างอึ้งงัน ก่อนจะขานรับเสียงค่อยด้วยคำตอบจากจิตใต้สำนึก “อืม…”