บทที่หก คนงามหาใช่เป็นเทพแห่งหายนะไม่
“ชิวกวนมีคนที่ผูกสมัครรักใคร่ต่อกันแล้วหรือ”
ดวงตาแหลมคมล้วงลึกของเฟิ่งหมิงชุนมองประเมินเจ้าของหอซือเฟยสลับไปมาจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน
“ยอดนัก เรื่องนี้เป็นความจริง?”
“เถ้าแก่ชุนมองออกได้อย่างไร” ชิ่นซย่าและเหลียนตงคุณชายสองคนในฐานะดาวเด่นของสำนักชิงเยี่ยนเหมือนกันไต่ถามขึ้นหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อสง่า ท่วงทีแตกต่างกันออกไป ทั้งสองนั้นหันมองไปทางฉินชิวที่กำลังต้มชาให้ทุกคนพร้อมกัน
ต้นฤดูร้อน สายลมอบอุ่นกรุ่นกลิ่นบงกชหอม ด้านบนหอซือเฟยด้านในสำนักเปิดหน้าต่างเลิกม่านขึ้น ต้อนรับแขกด้วยน้ำชา
บนพื้นที่ทำจากไม้ตรงโถงเล็กด้านหน้า คุณชายสี่คนนั่งล้อมรอบโต๊ะชาตัวยาวที่ทำจากไม้จันทน์แดง ชิ่นซย่าที่อยู่ในชุดเสื้อตัวบางสีเขียวอ่อนใบหน้านุ่มนิ่มรูปร่างอรชร เหลียนตงที่สวมชุดฤดูร้อนสีเทาเงินยิ่งแลดูขาวเนียนผอมบาง ส่วนรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดตกเป็นของเฟิ่งหมิงชุน เขาคนเดียวยึดครองเบาะรองนั่งนุ่มไปสองอัน ชายเสื้อสีแดงสดที่จงใจตัดเย็บให้ยาวยิ่งแผ่กระจายไปบนพื้น
ขณะที่ฉินชิวสวมเพียงเสื้อสีขาวแขนกว้างที่เรียบง่ายมากตัวหนึ่ง เรือนผมสีดำรวบสูง นั่งคุกเข่าตรงหน้าโต๊ะชงชา
รินน้ำ ต้มชา แจกชา การเคลื่อนไหวของเขาไหลรื่นดุจเมฆาคล้อยสายน้ำไหล ชั่วระหว่างนิ่งและขยับท่วงทำนองที่เหลือสอดประสานต่อกัน
เฟิ่งหมิงชุนรอจนน้ำชาได้รับการแจกจ่ายอย่างเหมาะสมเรียบร้อย จึงค่อยเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อย “เสี่ยวซย่าเอ๋อร์กับตงกวนมองไม่ออกหรือ คุณชายฉินชิวของพวกเราอารมณ์ดียิ่งนัก ไม่อย่างนั้นพวกเราสามคนมีหรือจะได้ขึ้นมาดื่มด่ำชาที่เขาต้มเองกับมือบนหอซือเฟยของเขานี้”
ชิ่นซย่าโบกพัดลายภูผาธาราในมือน้อยๆ ก้มหน้าคลี่ยิ้มหวาน “แต่ไรมาหากก้าวเข้ามาในหอซือเฟยนี้ โดยมากล้วนเป็นการพบปะในห้องรับรองชั้นล่าง วันนี้ได้รับเชิญขึ้นด้านบน รู้สึกตกตะลึงที่ได้เป็นเกียรติอย่างแท้จริง ตรองดูชุดชาที่ชิวกวนได้รับมาใหม่นี้ ท่านคงรักถนอมอย่างมาก ตัดใจย้ายลงไปยังชั้นล่างไม่ได้ แต่การชงชาดื่มลำพังเป็นการสื่อสารกับจิตวิญญาณตนเอง อวดโอ่ต่อภายนอกอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราสามคนจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย”
“ชุดชานี้ทำจากแก้วเจียระไนเงาจันทร์ที่หาได้ยาก หนึ่งชุดมีถ้วยเล็กสี่ถ้วย ฝีมือประณีตบรรจง รูปร่างแตกต่างกันออกไป จึงราคาสูงลิ่ว” น้ำเสียงของเหลียนตงเย็นชาเหมือนเก่า มุมปากระบายยิ้มจางๆ เขาชูถ้วยเจียระไนใบเล็กขึ้นจรดใต้จมูก ดมกลิ่นชาสีน้ำตาลอ่อนที่กระเพื่อมอยู่ด้านใน “ชาก็เป็นของชั้นดีที่เพิ่งได้มาใหม่เช่นกัน”
ชานี้เพียงจิบดื่มคำเล็กๆ ทั่วโพรงปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้ว
เฟิ่งหมิงชุนพลันกดเสียงลงต่ำเอ่ยขึ้น “ก็ไม่รู้ว่าเป็น ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนใดซื้อมาเรียกหนึ่งรอยยิ้มของชิวกวน ทว่าชิวกวนของสำนักเรายังยิ้มจริงๆ เสียด้วย เจ้า…อย่าเถียงว่าเจ้าไม่ยิ้ม ใบหน้าเจ้าไม่แสดงออก ในใจน่ะเบิกบานยิ่ง”
ฉินชิวยกถ้วยขึ้นพินิจยอดอ่อนใบชา หยักริมฝีปากเผยรอยยิ้มให้เถ้าแก่ชุนของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
เขาอารมณ์ดีจริงๆ ไม่มีใครได้รับของกำนัลแล้วจะไม่ดีใจ โดยเฉพาะเป็นของที่คนในใจมอบให้
“นี่แม้แต่เถ้าแก่ชุนก็ล้วงเบื้องลึกของ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนนั้นไม่กระจ่างหรือ” ชิ่นซย่าเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เครื่องหน้าทั้งห้าของเฟิ่งหมิงชุนย่นยู่ “ล้วงเบื้องลึกอะไร แม้แต่คนผู้นั้นหน้าตากลมหรือแบนข้าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
เหลียนตงที่อุปนิสัยเฉยชาก็ถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเช่นกัน “แขกผู้มีพระคุณที่สามารถมอบแก้วเจียระไนเงาจันทร์นี้ได้มิใช่บุคคลทั่วไปเป็นอันขาด ทั้งยังเป็นผู้ที่ชิวกวนเชิญเข้าหอซือเฟย เช่นนี้ก็ยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากคัดกรองดังนี้สองสามรอบ ต้องการสืบรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”
เฟิ่งหมิงชุนส่ายหน้าอย่างมากอำนาจอยู่บ้าง
“ไม่ใช่สองสามคนนั้นอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจได้ เรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงนั้น” เฟิ่งหมิงชุนถอนใจอย่างเกินจริงไปบ้างก่อนกล่าวต่อ “ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ ท่านนี้จ่ายออกมาอย่างใจป้ำอย่างยิ่ง ระยะเวลาอันสั้นแค่สามเดือนกว่า ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยสิ่งล้ำค่าที่เพิ่มขึ้นใหม่บนหอซือเฟยก็มากขึ้นอักโข ที่สวมใส่ ที่ใช้ ที่ดูเล่น มากมายหลายหลากมองดูจนคนตาลายไปหมด”
และที่น่าแปลกก็คือเจ้าสิ่งล้ำค่าที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในหอราวกับงอกขึ้นมาจากอากาศ ส่งมาถึงมือของชิวกวนเมื่อใด เขาผู้เป็นเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนกลับไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้น
ชิ่นซย่าใช้พัดปิดหน้าครึ่งหนึ่ง ดวงตาถลึงเล็กน้อย เสียงอุทานแว่วออกมาจากหลังพัด “เห็นทีคนผู้นี้จะเอาอกเอาใจชิวกวนเหมือนเป็นยอดดวงใจเสียด้วย”
ฉินชิวปล่อยพวกเขาสามคนถกเถียงกันไปเรื่อยเปื่อย
เฟิ่งหมิงชุนนำเรื่องนี้แผ่ออกมาพูด นั่นเพราะใจอยากรู้อยากเห็นถูกกระตุ้นจนไฟโหม ต้องการล่อให้เขาคายความจริง ดูว่าเขาจะอดไม่ได้บอกภูมิหลังของคนผู้นั้นออกมาหรือไม่