ทว่าฉินชิวไม่คิดสนใจอย่างสิ้นเชิง ยังคงแบ่งชาให้ทุกคนด้วยท่วงทีสงบนิ่ง กระนั้นก็ปล่อยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดตอนท้ายของชิ่นซย่า กล่าวว่าคนผู้นั้นเอาอกเอาใจเขาเหมือนเป็นยอดดวงใจ
บางทีนางอาจไม่รู้ว่าตนเองกำลังเอาใจคน คิดแค่อย่างเดียวว่าหอซือเฟยของเขาถูกทำลายเสียหายอย่างโจ่งแจ้งเพราะนางเป็นต้นเหตุ สิ่งของมีค่าหากไม่ถูกหยิบฉวยเอาไปก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี นางจึงช่วยหาของดีมาทดแทน…ในความคิดนางบางทีอาจเป็นเช่นนี้เท่านั้น แต่การกระทำนี้ไหนเลยจะไม่ใช่กำลังเอาใจเขา โปรดปรานเขา
ยิ่งไปกว่านั้น…
“พูดถึง ‘เอาใจ’ ก็ประจวบเหมาะทีเดียว” เฟิ่งหมิงชุนร้อนรนเหลือหลายยกชาหอมถ้วยหนึ่งดื่มหมดรวดเดียว ก่อนถอนใจเฮือกใหญ่ “ให้ข้าว่า เหตุผลที่เกิดเรื่องกับผู้คุ้มกันเรือนจวนจงหย่งกงกลุ่มใหญ่นั้น เก้าสิบเก้าส่วนก็เป็นฝีมือของ ‘ผู้อุปถัมภ์มือหนัก’ คนนั้นเช่นกัน”
เหลียนตงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “ข้าได้ยินมาจากผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว ว่ากันว่าจงหย่งกงตู้เอ้าหราน ด้วยเพราะโศกเศร้าที่สูญเสียหลานหัวแก้วหัวแหวน ซ้ำร้ายคุณชายใหญ่ตู้ผู้นั้นยังตายอย่างอนาถถึงเพียงนั้น กระทั่งศีรษะก็ยังตามกลับมาไม่ได้ จึงทำให้จงหย่งกงนอกจากขอร้องไปถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ผู้ชรา ยังส่งเสริมให้ทหารในจวนกับผู้คุ้มกันเรือนก่อกวนทำร้ายราษฎรอย่างเหิมเกริม เพียงแค่เพื่อลากตัวคนร้ายออกมาให้ได้…แต่แล้วกำลังคนที่จวนจงหย่งกงส่งออกไปไม่จบชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดล้วนถูกฝ่ายตรงข้ามดักซุ่มโจมตี ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จวบจนวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดตอบได้”
เฟิ่งหมิงชุนชูนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา ยังคงมีใบหน้าวางอำนาจ “หามิได้ๆ ไม่ใช่คนที่จวนจงหย่งกงส่งออกไปทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ เป้าหมายที่ประสบเหตุร้ายต่างได้รับการคัดเลือกมาก่อน ข้าต้องเสียเวลาไม่น้อยเลยจึงจะสืบเงื่อนงำออกมาได้ พวกที่จบเห่ทั้งหลายล้วนเป็นคนที่บุกขึ้นหอซือเฟยคืนนั้น ทำร้ายจนชิวกวนเกือบจะต้องถูกหยามเหยียดทั้งสิ้น โดยเฉพาะครูฝึกหลี่ที่เป็นผู้นำคนนั้น ได้ยินว่าสภาพศพอเนจอนาถมาก ไม่เพียงหัวหลุดจากบ่า อวัยวะทั้งสี่ส่วนยังถูกตัดขาด ฝีมือหมดจดยิ่งนัก”
เหลียนตงเม้มปาก พูดแก้ไขให้ถูกต้อง “ได้ยินว่าไม่ใช่สี่ส่วน แต่เป็น…เป็นห้าส่วน…”
“หะ…ห้าส่วน? ส่วนที่ห้าของบุรุษ เช่นนั้น เช่นนั้นก็เป็นชิ้นเนื้อตรงหว่างขาแล้ว…” ชิ่นซย่าสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว สองขาที่นั่งขัดสมาธิหดเกร็งราวกับกลัวเจ็บ
“บรรพบุรุษหนอบรรพบุรุษคนดีของข้า เจ้าคงไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับเทพแห่งหายนะที่ใดกระมัง” ในฐานะเถ้าแก่สำนักชิงเยี่ยน หนทางหาเลี้ยงชีพของคนในสำนักตั้งแต่บนลงล่างล้วนแบกอยู่บนบ่าเขา เฟิ่งหมิงชุนใจเต้นไม่เป็นส่ำ อดร้องโหยหวนกับฉินชิวไม่ได้ ขาดก็แต่ไม่ได้โผเข้าไปกอดเขาแน่นพลางร่ำไห้
ฉินชิวรู้ตั้งแต่ต้น รู้ว่าหญิงสาวที่ยินยอมกำเริบเสิบสานไปกับเขา มอบความบริสุทธิ์ที่สุดแก่เขาทั้งหมดผู้นั้น เบื้องหลังทำอะไรลงไปบ้าง
แม่นางนักฆ่าของเขาในที่สุดก็เปิดเผยด้านโหดเหี้ยมออกมาอย่างปราศจากความกังวลใดๆ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น แค่เพราะอยากทวงคืนความยุติธรรมให้เขา
คืนนั้นผู้คุ้มกันเรือนจวนจงหย่งกงที่ไล่ล่านางบุกขึ้นหอซือเฟยเหล่านั้น นางที่สติพร่าเลือนกลับมีวิธีการจดจำพวกเขาแต่ละคนได้ จากนั้นก็รอคอยโอกาสอย่างเงียบเชียบ ลงมือเมื่อถึงจังหวะเหมาะสม นางไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว และบดขยี้คนเหล่านั้นอย่างถึงที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเขา
นางไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ทว่าได้ทำเพื่อเขาไปมากมาย
เขาได้รับการเอาอกเอาใจ โปรดปราน ทะนุถนอมจากแม่นางอย่างไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ วันเวลาเช่นนี้จะไม่ให้สุขใจได้อย่างไร
ทันใดนั้น เหลียนตงคล้ายฉุกคิดเรื่องอะไรได้จึงถอนใจขึ้นเบาๆ ทำเอาเฟิ่งหมิงชุนที่กำลังคร่ำครวญสะดุ้งเสียขวัญ
“เมื่อเอ่ยดังนี้ กลับทำให้ข้าคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องหนึ่ง” เหลียนตงเหยียดหลังตรงอยู่บ้าง แววตาเลื่อนไปทางฉินชิวที่กำลังยกถ้วยพินิจยอดอ่อนใบชา
“ตงกวนอย่าได้พูดยั่วให้อยากรู้เลย ตกลงคิดไปถึงอะไรกันแน่” เฟิ่งหมิงชุนกับชิ่นซย่าต่างกะพริบตาปริบๆ
เหลียนตงเอ่ยเนิบนาบ “หลายวันก่อนผิงจวิ้นอ๋องมาเยือนเรือนชั่งซือของข้า ขณะอุ่นสุราพูดคุยสัพเพเหระเคยเปิดเผยออกมาโดยไม่ระวัง ไห่หนิงโหวซื่อจื่อระยะนี้ร่างกายไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า ลอบเชิญหมอหลวงหลายคนมาตรวจอาการ ล้วนมองไม่ออกถึงต้นสายปลายเหตุ เพียงพูดว่าถูกพิษ ทว่าก็ค้นหาถึงต้นตอของปัญหาไม่พบ ด้วยเหตุนี้เบื้องหน้าจึงยังไม่รู้ว่าจะแก้พิษอย่างไรดี”
ชิ่นซย่าอุทาน “ไม่รู้จะแก้พิษอย่างไร?! ถะ…ถ้าอย่างนั้นไห่หนิงโหวซื่อจื่อไยมิใช่ต้องตายแน่แล้ว?”