อูลั่วซิงไม่เชี่ยวชาญการแก้ต่างมาแต่ไหนแต่ไร ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าไม่ได้เอาอย่างใคร ของเหล่านี้เดิมก็มิได้เอาไปใช้เอง” นางหยุดไปเล็กน้อย “พิณอะไร หมากล้อมอะไร ข้าก็เรียนไม่ได้ ของดีเพียงนี้นำมาให้ข้า นั่นไม่ต่างกับทำลาย”
ไม่รู้ว่าในคำพูดนางประโยคใดไปยั่วโทสะนายหน้าคนเก่าแก่แห่งยุทธภพที่มองเห็นชีวิตผู้คนร้อยพันมาจนหมดสิ้นผู้นี้เข้า เห็นเพียงเหล่าเต้าขมับกระตุกอย่างแรง โบกกระบอกยาสูบแทบจะใช้มันเคาะมาทางนาง
“เช่นนั้นเจ้าว่ามา พูดให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เจ้ามาของานทำที่ข้า ที่แล้วมาเพียงช่วยหาเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแทนอาจารย์กับศิษย์น้องเจ้า ทุกเดือนรับงานหนึ่งถึงสองชิ้นก็พอให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว เจ้ากลับลอบรับงานเพิ่มเป็นสองเท่า ค่าตอบแทนที่เรียกร้องยังแปลกพิลึกพิลั่นยิ่งกว่า ไม่ต้องการทองทั้งยังไม่ต้องการเงิน จะต้องมาขอพวกกระดานหมาก ชุดชา เครื่องใช้เวลานอนและเครื่องเขียนอักษรที่ดีที่สุดต่างๆ นานาจากมือข้าให้ได้…เจ้าบอกว่าของเล่นเหล่านี้ไม่ได้ขอให้ตนเอง เช่นนั้นเจ้าขอไปให้ผู้อื่น หญิงสาวยินยอมพร้อมใจทุ่มเทมากมาย กระทั่งเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อหาของดีมา ทำไปทำมาจะทำเพื่ออะไรได้อีก เจ้าว่ามา ว่ามาให้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง เจ้าเอาของเล่นชั้นดีที่ได้มาไปเลี้ยงหนุ่มหน้าขาวหมดแล้วใช่หรือไม่”
เหล่าเต้าท่าทางเจ็บช้ำระกำใจ นึกแค้นใจที่มิอาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า ทำให้อูลั่วซิงตะลึงจังงังไปนานสองนาน
หลังจากรักษาแผลจากพิษ ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ ได้พอสมควร นางก็บอกลาอาจารย์กับศิษย์น้องอีกครั้ง ติดต่อกับเหล่าเต้านายหน้าในยุทธภพที่ไปมาหาสู่กันมานาน ที่เหล่าเต้านี้อย่างไรก็มีงานให้ทำ
ปกติธรรมดาล้วนเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่นางมีความสามารถพอจะแบกรับภาระด้วยตัวคนเดียว ก็จะเป็นนางที่รับงานหาเงินเลี้ยงดูอาจารย์และศิษย์น้อง
หากนางไปจากเรือนไผ่ ต้องเป็นเพราะมีข่าวของหญ้าหลิงจี้ หรือไม่ก็เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงไม่ยับยั้งการจากไปของนาง บางครั้งมีศิษย์น้องดึงตัวไว้ ร่ำร้องให้นางอยู่เป็นเพื่อน อาจารย์ก็จะออกหน้าช่วยปลอบขวัญแทนนาง
อาจารย์ไม่มีทางถามเรื่องอื่นอะไรกับนาง ตราบใดที่นางทำงานในหน้าที่เรียบร้อย ทุกอย่างล้วนปล่อยนางเป็นอิสระ
นางรู้สึกว่าการหาเงินเพื่อดำรงชีวิตนั้นหาใช่เรื่องยาก แต่ครั้งนี้นอกจากทำเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตแทนอาจารย์กับศิษย์น้อง รวมไปถึงใส่ใจข่าวคราวของหญ้าหลิงจี้ นาง…นางยังบังเกิดความคิดเห็นแก่ตัวเล็กๆ ขึ้นมา
“ข้าไม่ได้เลี้ยงหนุ่มหน้าขาว เขา…เขาก็ไม่ใช่หนุ่มหน้าขาว…” ครั้นแย้งประโยคนี้ออกไป อูลั่วซิงก็รู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง เพราะใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษที่ผุดขึ้นในสมองยามนี้ อันที่จริงนั้นขาวนุ่มเนียนละเอียดอย่างมาก ไม่เพียงขาว ในความขาวยังเจือสีแดงระเรื่อพร้อมกับริมฝีปากแดงและฟันขาว มองอย่างไรก็ล้วนเป็นหนุ่มหน้าขาวผู้หล่อเหลาสง่างามไม่มีผิด
เหล่าเต้าแค่นเสียงเฮอะพลางเอ่ย “เขาไม่ใช่หนุ่มหน้าขาว แต่นั่นก็มี ‘เขา’ เช่นนี้อยู่จริงๆ อย่างที่คิดไว้”
อูลั่วซิงลอบกลืนน้ำลายก่อนแย้งอีก “เพื่อปกป้องข้า ทรัพย์สินมีค่าทั้งเรือนของเขาแทบจะหมดสิ้น อย่างไรข้าก็ต้องคิดหาวิธีชดใช้เขาสักหน่อย…” ดังนั้นนางจึงปกปิดอาจารย์รับงานเพิ่มไม่น้อย แลกเปลี่ยนสิ่งของอย่างดีจำนวนมาก พูดว่า ‘ชดใช้’ แท้ที่จริงคืออยากทำให้บุรุษผู้นั้นเบิกบานใจ
ความมุ่งหวังน้อยนิดของนางนี้ นางไม่กล้าคิดถี่ถ้วนเกินไป คิดมากไป จะรู้สึกเพียงร้อนจนแทบจะมอดไหม้
เหล่าเต้าแค่นเสียงเฮอะสองครา “บุรุษไม่มีของดีสักครึ่ง เจ้าเด็กเลอะเลือนอย่าได้โดนหลอกไปขายแล้วยังช่วยเขานับเงิน!”
“ท่านผู้อาวุโสก็เป็นบุรุษ” น้ำเสียงนางดื้อรั้นขึ้นทันที
“ดังนั้นข้าก็ไม่ใช่ของดีอะไรเหมือนกัน!” ดวงตาเล็กของชายชราทอประกายเหี้ยม
อูลั่วซิงจนคำพูดอย่างที่สุด
ไม่มีอะไรจะพูดได้ ไม่มีอะไรโต้แย้งได้ นางก้มหน้าหลุบตาอีกครั้ง เปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนอย่างเก่า กระนั้นยังคงอำพรางรอยสีน้ำตาลแดงสองแถบบนพวงแก้มที่แผ่ขยายไปถึงกกหูนั้นไม่ได้
เหล่าเต้าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำเสียงเฮอะขึ้นจมูกสามครั้งราวกับหายใจไม่ออกปานนั้น “ไปเสียเถอะๆ กอดของเล่นที่เจ้าหามาได้ไปพบบุรุษเสีย ที่ของข้านี้ไม่มีงานใหม่แล้ว งานถูกเจ้ารับไปทำคนเดียวทั้งหมดแล้ว”
อูลั่วซิงรู้ว่าเหล่าเต้าพูดเท็จ ในมือผู้ชรามิใช่ไม่มีงาน เพียงแต่ไม่อยากให้นางเอาชีวิตเข้าแลกอีก
ในเมื่อหาของในอ้อมแขนชิ้นนี้มาได้ ก็สามารถพักผ่อนชั่วคราวได้จริงๆ นางจึงไม่พูดอะไรมาก เพียงอุ้มสัมภาระทรงยาวลุกขึ้น หันไปย่อกายทำความเคารพเหล่าเต้า ก่อนย่างเท้าหมายจะจากไป
“ช้าก่อน”
เหล่าเต้าเรียกนางไว้ พออูลั่วซิงเหลียวหลังมา ใบหน้าผอมซูบดำทะมึนของผู้ชราก็กลับไปฉายแววเอ้อระเหยไม่แยแสไยดีแล้ว
“ผู้อาวุโสมีอันใดชี้แนะ” นางถามเสียงเรียบทุ้ม