ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปีศาจเย้ารัก บทที่ 5-บทที่ 6
เหล่าเต้าคาบกระบอกยาเส้นที่ปาก กลืนเมฆคายหมอกอย่างเชื่องช้าอีกครา หลังพ่นควันอย่างหนักหน่วงก้อนแล้วก้อนเล่าจึงได้เอ่ยว่า “เห็นแก่ที่เจ้าไม่กลัวยาเส้นในปากข้านี้รมเข้า ฝืนพอนับได้ว่าเป็นสหายสูบยาเส้นของข้า จะเปิดเผยข่าวโดยไม่ต้องจ่ายให้เจ้าข่าวหนึ่ง”
“…ผู้เยาว์รับฟังอย่างตั้งใจ”
เหล่าเต้าไม่พูดยั่วให้อยากรู้ เอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า “วันก่อน สำนักเทียนกังที่เจียงเป่ยมีข่าวฉาวโฉ่ใหญ่ยิ่งแพร่งพรายออกมา เจ้าสำนักเทียนกังเหยียนจี้เหยี่ยสร้างอุบายวางยาสลบศิษย์พี่ใหญ่สำนักตนเองหลูหยวนอี้ จากนั้นยังออกฝ่ามือโจมตีศิษย์น้องรุ่นเยาว์ในสำนักตนเองจนสลบ กักขังทั้งสองคนแยกกันพร้อมกับทำการล่วงเกิน…”
อูลั่วซิงขมวดคิ้วทันใด บังเกิดความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็หรี่สองตาลงราวกับขบคิดกระจ่าง
เหล่าเต้าผงกศีรษะ “ใช่ ถูกต้อง คือการล่วงเกินอย่างที่เจ้าคิดประเภทนั้น เหยียนจี้เหยี่ยกลัวว่ายาสลบจะไม่อาจควบคุมศิษย์พี่ใหญ่หลูหยวนอี้ได้เป็นระยะเวลานาน กลับฉวยโอกาสยามคนสลบไสลตัดเส้นเอ็นมือและเท้า ทำลายวรยุทธ์ที่อีกฝ่ายฝึกฝน ส่วนศิษย์น้องรุ่นเยาว์ผู้นั้นจุดจบย่ำแย่ยิ่งกว่า ถูกเล่นสนุกจนตาย”
เหล่าเต้าสูดยาเส้นลึกๆ คำหนึ่ง ปรือเปลือกตาดั่งผ่อนคลายเหลือแสน อูลั่วซิงเพียงยืนเงียบเชียบ รอคอยเขากล่าวต่อนิ่งๆ
“อืม…เรื่องฉาวโฉ่นี้ที่ได้รับการเปิดโปงออกมา เป็นเพราะฮูหยินของเหยียนจี้เหยี่ยจั๋วซื่อ ค้นพบทั้งหมดนี้ นางไม่อาจอดทน ไม่ยินดีช่วยสามีปกปิดการกระทำชั่วร้าย จั๋วซื่อก็เกิดจากสำนักเทียนกังเช่นกัน มีสายสัมพันธ์ร่วมสำนักกับทั้งแซ่เหยียนและแซ่หลูสองคน ภายหลังยังแต่งเป็นภรรยาเหยียนจี้เหยี่ย ให้กำเนิดสองบุตรสองธิดาอีก เดิมนึกว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ กลับนึกไม่ถึงว่าสามีที่แต่งงานกับตนเองนานปีที่รักชอบอย่างแท้จริงกลับเป็นบุรุษเพศ” เขาฉีกมุมปาก คลี่ยิ้มเยาะหยัน…
“พูดเรื่องเหล่านี้หาใช่ประเด็นสำคัญไม่ เรื่องสำคัญในสำคัญก็คือเหยียนจี้เหยี่ยอ้างว่าตนเองถูกควบคุมจากแรงภายนอก มีคนบงการจิตใจเขา ชั่วขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ฝังความคิดต่ำทรามเหล่านั้นเข้าไปในสติสัมปชัญญะของเขา เป็นเหตุให้เขาคลุ้มคลั่งเสียสติเพียงนี้ กระทำเรื่องเหล่านั้นกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องรุ่นเยาว์ร่วมสำนักได้ลง แต่ไม่ว่าเขาจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ มีรูปลักษณ์เช่นไร”
หัวคิ้วของอูลั่วซิงขมวดเป็นปมแน่น มีความคิดบางอย่างวาบผ่านสมองไป
เหล่าเต้าไม่ได้เร่งรัดให้นางพูด ดื่มด่ำกับความเผ็ดปร่าแฝงอาการสำลักอันเฉพาะตัวของยาเส้นต่อ ครู่ใหญ่จึงค่อยเปล่งวาจา…
“นึกถึงอะไรขึ้นมาได้แล้วใช่หรือไม่”
อูลั่วซิงรับคำเสียงต่ำ เอ่ยอย่างลุ่มลึกว่า “ห้าหกปีก่อน เด็กหนุ่มเผ่าจันทราโลหิตคนหนึ่งเพื่อล้างแค้นแทนครอบครัว เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่ายธรรมะทั้งยุทธภพ คนของเผ่าจันทราโลหิตชำนาญการใช้วิชาเข้าฝันและวิชาสวมวิญญาณ เด็กหนุ่มเผ่าจันทราโลหิตคนนั้นยิ่งเป็นยอดอัจฉริยะในเผ่า ยามนั้นมีคนจำนวนมากจากทั้งพรรคและสำนักใหญ่ต่างๆ ถูกวิชานี้เข้า ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกควบคุม ถูกช่วงชิงจิตใจไป บาดเจ็บล้มตายหรือไม่เป็นเรื่องรอง กระนั้นกลับก่อให้เกิดข่าวเน่าเหม็นผิดหลักทำนองคลองธรรม ชวนให้คนเดียดฉันท์ไม่น้อย ส่วนหน้าตาที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นั้น คนที่ภายหลังตื่นขึ้นจากวิชาเข้าฝันหรือวิชาสวมวิญญาณ ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยายอย่างชัดเจน รู้เพียงอีกฝ่ายอายุน้อยยิ่งนัก”
เหล่าเต้าแสยะยิ้ม ส่วนลึกของนัยน์ตาทอแววใกล้เคียงกับการชื่นชม นี่นับว่าเป็นสีหน้าที่จริงแท้ไม่เสแสร้งที่สุดในวันนี้ที่เขาแสดงออกมาแล้ว
“ไม่ผิดๆ ก็คือเรื่องเช่นนั้นในปีนั้นกับเรื่องเช่นนี้ในวันนี้ สองเรื่องกลับคล้ายคลึงกันมากนัก เจ้าสำนักเหยียนแห่งสำนักเทียนกังโต้เถียงให้ตนเองเช่นนี้ ข้าเหล่าเต้ายังอดเชื่อวาจาเขาไม่ได้ เด็กน้อยเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
อูลั่วซิงนิ่งงันหลายอึดใจ ตอนที่เอ่ยปากอีก น้ำเสียงยังคงลุ่มลึก…
“หากใจไม่บริสุทธิ์ ความรู้สึกนึกคิดย่อมถูกช่วงชิงไปโดยง่ายเป็นธรรมดา ปีนั้นบุคคลสายธรรมะที่นับว่าเป็นผู้เสียหายเหล่านั้น ถ้าในใจพวกเขาไม่ขาดศีลธรรม ไม่โสมม ก็ไม่มีทางถูกแรงภายนอกควบคุมโดยง่ายปานนั้น เป็นพวกเขาที่ปลูกความคิดสกปรกผิดจรรยาเช่นนั้นลงไปก่อน ความคิดชั่วร้ายลอบแตกหน่อเบ่งบานอย่างลับๆ ในที่สุดจึงถูกคนจับจุดอ่อน กระทำเรื่องต่ำช้าทำลายหน้าตาของฝ่ายธรรมะทั้งหลายออกมา”
นางเม้มปากหยุดเอ่ยวาจาไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อว่า “บัดนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเทียนกังก็ไม่ต่างกัน เจ้าสำนักเหยียนผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรแม้แต่น้อย เบื้องหน้าแผนร้ายถูกเปิดโปง กระดาษห่อไฟไม่มิด กลับคิดอยากผลักภาระเสียสะอาดหมดจด…อ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ทว่ากระทำแต่พฤติกรรมชั่วช้าสามานย์ทั้งสิ้น ยังมีอะไรน่าพูดอีก”
เหล่าเต้ายิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้น ซ้ำยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอีก
อูลั่วซิงไม่มีวาจาจะกล่าวแล้ว นางอุ้มสัมภาระทรงยาวพลางค้อมศีรษะแสดงการขอบคุณในน้ำใจครั้งนี้อีกครา ก่อนหมุนตัวเตรียมจะเดินไปอีกครั้ง
ทว่าด้านหลังนางกลับมีเสียงดังแว่วมาอีก น้ำเสียงเหล่าเต้าในครั้งนี้ลึกล้ำขึ้นหลายส่วน
“พินิจคนข้างกายที่ได้พบพานอย่างละเอียด เรื่องที่เหยียนจี้เหยี่ยประสบหากเป็นความจริง นั่นแสดงว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คนเผ่าจันทราโลหิตจะปรากฏกายในยุทธภพจงหยวนอีกครั้ง มิอาจไม่ระวังใส่ใจ”
ครั้งนี้อูลั่วซิงมิได้กลับหลังหันไป เพียงยืนมั่นและเอ่ยตอบอย่างเคารพจริงจัง
“ผู้เยาว์ทราบแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่งที่ชี้แนะ”
ด้านหลังนางมีเสียงชายชราร้องเฮอะอย่างเย็นชาไล่หลังมาอีก “เอาเถอะ ไปเสียๆ ทางใดมีความอบอุ่นให้ร้องขอก็ไปทางนั้น ไสหัวไปให้ไกลสักหน่อย อย่ามาอยู่ขัดหูขัดตาข้าอีก”
แม้จะถูกด่า…ถูกขับไล่…ทว่าริมฝีปากรูปผลอิงเถาที่เย็นชาเสมอมาของหญิงสาวกลับอ่อนโยนลงอย่างไม่อาจหักห้าม