นางหยักมุมปากยิ้มอย่างเงียบงันและหัวเราะโดยไร้เสียง “อื้ม ขอท่านผู้อาวุโสรักษาตัวให้ดี ผู้เยาว์ขอตัว”
สิ้นเสียงกล่าว นางก็ก้าวเท้าเดิน ก่อนจะเหินทะยานจากไปไกล
ตอนที่อูลั่วซิงควบม้าเร็วเฆี่ยนแส้รุดถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลากลางดึก
ประตูเมืองทั้งสี่ปิดแล้วทั้งหมด นางผูกม้าไว้ในป่าชานเมือง ก่อนจะอุ้มค่าตอบแทนที่แลกมาได้จากเหล่าเต้าไว้ด้วยสองมืออีกครั้ง และสำแดงวิชาตัวเบาพลิกข้ามเข้าไปด้านในกำแพงเมือง
คดีของจวนจงหย่งกง นางผู้เป็นนักโทษสำคัญขนานแท้ แม้ยังไม่ถูกจับได้เสียที แต่เวลาผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว กำลังของการไล่ล่าค้นหาลดต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด มองไม่เห็นบรรยากาศการป้องกันอย่างเข้มงวด สถานการณ์คับขันอันตรายทั่วเมืองอีก
กลางรัตติกาลนางมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปยังทางใต้ของเมือง อ้อมเข้าไปในตรอกมืดซึ่งเป็นเส้นทางลัดอย่างม้าแก่รู้เส้นทาง เลี้ยวซ้ายขวาวกวนหลายครั้ง สุดท้ายก็หากำแพงสูงด้านหลังของสำนักชิงเยี่ยนพบ
นางสูดหายใจคราหนึ่ง เงาร่างสีดำก็พลันกลืนหายไปยังอีกฝั่งของกำแพงทันที
ตอนที่นางปีนขึ้นไปตรงหน้าหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งร้าวเล็กๆ ด้านนอกหอซือเฟย มือข้างหนึ่งของนางจับช่องว่างระหว่างซี่ไม้ของหน้าต่าง แขนข้างหนึ่งโอบอุ้มสัมภาระขนาดใหญ่ทรงยาว เท้าทั้งสองราวกับใช้วิชาจิ้งจกไต่กำแพงก็ไม่ปานเหยียบย่ำอย่างมั่นคงบนผิวขรุขระที่นูนขึ้นมาด้านนอกผนัง
ทันใดนั้น นางเกิดขลาดกลัวขึ้นมาเล็กๆ
นางอยากพบผู้เป็นเจ้าของหอแห่งนี้อย่างมาก ปรารถนาที่จะได้เห็นหน้าเขา ตลอดทางที่เร่งรุดกลับมา ในใจประหนึ่งแช่อยู่ในน้ำผึ้งเข้มข้นที่ชวนให้กระสับกระส่ายยากทานทนบางอย่าง แต่ยามนี้เมื่อนางอยู่ใกล้เขา ใกล้จนได้กลิ่นจันทน์หอมอันงดงามสุภาพเฉพาะตัวเขาเช่นนี้ นางกลับลังเล ขลาดกลัวขึ้นมาเมื่ออยู่ใกล้ผู้เป็นที่รัก…
สำนักชิงเยี่ยนที่ผ่านพ้นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ต่อให้คึกคักอึกทึกเพียงไร บทเพลงการร่ายรำสร้างความบันเทิงให้แขกก็ค่อยๆ สงบเงียบลง
ที่หอซือเฟยแห่งนี้ก็เช่นกัน
เขาน่าจะนอนหลับแล้ว บางที…บางทีคืนนี้ก็อาจรับแขกเข้ามาในหอ
หรือว่าเขาไม่อยู่ชั้นบน แต่คอยอยู่เป็นเพื่อนแขกสำคัญบางคนในห้องรับรองชั้นล่าง นางบุกเข้ามาเช่นนี้ เกรงจะสร้างปัญหาแก่เขา
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีนะ ควรจะทำอย่างไรจึงจะดี
หรือว่าจากไปก่อน…
อย่าสร้างความแตกตื่นแก่ผู้ใด มาอย่างไรก็จากไปเช่นนั้น เช่นนี้ถึงจะถูก ใช่หรือไม่ ใช่…ใช่กระมัง
ทันใดนั้น ด้านในหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งร้าวก็มีแสงไฟสีเหลืองทองสว่างขึ้น อูลั่วซิงยังคงตะลึงงัน หน้าต่างบานนั้นก็ถูกเปิดออก
“เจ้ามาแล้ว”
เขาถือเชิงเทียนสำริดสีเหลือง แสงอบอุ่นพาให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแยกออกเป็นส่วนมืดกับสว่าง ส่วนที่เกิดเป็นเงามืดรู้สึกลึกลับยากเข้าใจ ส่วนสว่างก็กลับเปิดเผยตรงไปตรงมา ขัดแย้งกันได้อย่างบีบคั้นหัวใจคน ขณะที่ดวงตายาวราวกับถูกโอบล้อมด้วยหมอกควัน ห่างไกลดุจห้วงฝัน ยามชายมองนาง พลันโค้งขึ้นคล้ายเป็นสะพานโค้งเล็กๆ อย่างยากควบคุม
“ข้ารู้สึกว่าต้องเป็นเจ้า ในที่สุดข้าก็รอจนเจ้ากลับมา”
อูลั่วซิงฟังถ้อยคำที่คล้ายกักเก็บความยินดีปรีดามากมายเอาไว้ของเขา ก่อนจะเห็นดวงตาเขาแวววาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแรงอยู่บ้าง นางที่อึ้งตะลึงยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทว่าในยามนั้นเองใต้เท้าพลันลื่นไถล…
“ระวัง!” ฉินชิวร้องตะโกนตกใจ เชิงเทียนในมือร่วงพื้น ชะโงกร่างออกไปกว่าค่อนหมายจะคว้าตัวนาง
ตอนที่ถูกเขาจับได้ อูลั่วซิงก็กลับมาทรงตัวมั่นคงใหม่ในชั่วอึดใจเดียวแล้ว
เวลานี้นางไม่ลังเลอีกต่อไป อาศัยแรงจากเขาปีนขึ้นด้านบน พลิกตัวเข้ามาในหน้าต่างอย่างหนักแน่น