แสงเทียนได้รับการจุดขึ้นใหม่อีกครา ยามนี้ดวงตาทั้งสี่สบประสาน ก้นบึ้งนัยน์ตาเขายังคงเจือรอยยิ้ม แลคล้ายว่าเห็นนางปรากฏตัวก็ยินดีปรีดาไม่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น นางพลอยเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาไปด้วย กายใจที่เดิมเครียดเกร็งต่างอ่อนยวบลงมาอย่างเงียบเชียบ
“ลั่วซิงจากไปหนนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่า ทำให้ข้ารออย่างขมขื่นยิ่ง”
ความคิดถึงอย่างตรงไปตรงมาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเขาอย่างเป็นธรรมชาติ อูลั่วซิงกกหูร้อนฉ่าทันใด นางขยับปากเล็กน้อยคล้ายต้องการตอบรับ ผลที่ได้กลับเป็นการยื่นห่อสัมภาระยาวที่โอบอยู่ในอ้อมแขนไปให้ตรงๆ
“นี่…อยากมอบให้ท่าน” น้ำเสียงของนางดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ฉินชิวยื่นมือไปรับ ถอนใจพลางเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าทยอยมอบของกำนัลให้ข้ามากมายนัก ครั้งนี้นำอะไรมาอีก…” เขาวางห่อสัมภาระยาวลงบนโต๊ะก่อนถือโอกาสเปิดออก เสียงของเขาลดต่ำลงทันใด ด้านในสัมภาระถึงกับเป็นพิณเจ็ดสายคันหนึ่ง
ตัวพิณที่ทำจากไม้ดำขลับแวววาว สองฝั่งของส่วนเว้าตรงเอวและคอพิณต่างทำเป็นรูปโค้งเข้าไปเหมือนจันทร์เสี้ยวต่อกันสามดวงอย่างวิจิตรประณีต สายพิณทั้งเจ็ดสร้างขึ้นจากวิธีมัดรวมเส้นไหมเข้าด้วยกัน ดีต่อเสียงสะท้อนกังวาน…พิณโบราณแบบเหลียนจู ชั้นเลิศคันหนึ่ง
ฉินชิวที่เพิ่งจะแบมือออกประทับมือลงนาบแผ่วเบา เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเนื้อไม้กับความเหนียวและอ่อนโยนของสายพิณ
พอเห็นบุรุษตรงหน้าเก็บงำเรียวคิ้วดวงตาน้อยๆ เผยรอยยิ้มอย่างครุ่นคิดจางๆ อูลั่วซิงไม่เพียงใบหูแดงก่ำ พวงแก้มยังแดงเถือกลามไปทั้งหน้า แต่ถึงอย่างนั้นในใจนางก็เป็นสุข ด้วยเพราะมองออกว่าเขาก็สุขใจเช่นกัน
ในที่สุด ฉินชิวก็ช้อนตาขึ้นมองไปที่นางอีกครั้ง “ลั่วซิงดีต่อข้าเช่นนี้ จะให้ข้าตอบแทนอย่างไรจึงจะดีเล่า” เจือแววยั่วเย้าอยู่บ้าง ทั้งยังราวกับคิดไม่ตกยิ่งนัก
นางเบิกดวงตารูปเมล็ดซิ่งกว้างยิ่ง สั่นศีรษะรัวอย่างสัตย์ซื่อ “ไม่ต้อง…ไม่…ไม่ใช่เพราะต้องการให้ท่านตอบแทน ไม่มี พิณสองสามคันที่ชิวกวนรักดั่งของล้ำค่าถูกทำลายเสียหาย ในใจย่อมตัดใจไม่ได้ยิ่งยวด ประจวบเหมาะข้ามีช่องทางอยู่บ้าง ทั้งไม่ได้…ไม่ได้สิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากนัก ดังนั้นเพียงแค่…แค่ข้าเองอยากให้ อยากมอบของให้ท่าน แค่นี้เท่านั้น”
“ลั่วซิงเองอยากมอบให้ อยากมอบสิ่งของแก่ข้า เช่นนี้เคยคิดอยากกอดข้า จูบข้าบ้างหรือไม่”
“หา?” นางกะพริบสองตา นิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้น
เขาก้าวเท้ามาใกล้นาง นิ้วมือยาวที่เพิ่งลูบพิณเจ็ดสายประทับลงบนแก้มนาง เอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำอีกครา “เคยคิดหรือไม่”
ความรู้สึกมึนงงพร่าเลือนอันคุ้นเคยจู่โจมมาอีกครั้ง น้ำเสียง กลิ่นอาย ความร้อนของร่างกาย และสัมผัสของบุรุษตรงหน้าสายตากลายเป็นแรงดึงดูดมหึมาในพริบตา อูลั่วซิงต้องมนตร์เสน่ห์จนสองขาอ่อนยวบแทบยืนไม่ไหว
“อื้อ…” นางพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ ความคิดผุดขึ้นในสมองไม่ขาดสาย ฉากเหล่านั้นล้วนเป็นภาพพวกเขาสองคนแนบชิดกอดกระหวัด ร่วมสุขสมดั่งมัจฉาเริงวารี ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งรู้สึกกระดากอาย ต่อให้ยอมรับว่านางหลงใหลเขา นางกลับยังคงเบือนหน้าฝืนเบนสายตาออกไปจากร่างเขา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเรียวคิ้วของบุรุษพลันขมวดมุ่นขึ้นมา
“ในเมื่อเคยคิด ทั้งคนก็มาแล้ว เหตุใดลั่วซิงจึงไม่กระทำตามที่ใจคิดเล่า” นอกจากใช้มือข้างหนึ่งประคองดวงหน้าของนาง เขายังโน้มใบหน้าตนเองเข้าใกล้ ใกล้จนปลายจมูกทั้งสองคนแตะกัน
เพื่อต่อต้านการยั่วเย้าด้วยรูปโฉมงามทัดเทียมฟ้านี้ นางข่มกลั้นจนหน้าอกปวดแปลบ แต่นางไม่ใช่…ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด…
“ข้าไม่ใช่ทำเพราะอยากจูบท่าน กอดท่าน ถึงได้ค้นหาของเหล่านี้มามอบให้ท่าน” นางอดทนอดกลั้นเสียจนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึม มือสองข้างกำเป็นหมัดแน่นจนข้อนิ้วแต่ละข้อขาวไร้สีเลือด “ข้าเนื่องเพราะ…เพราะ…ชอบ…ท่านฟังชัดเจนแล้วหรือไม่”
ฉินชิวเงยหน้าฉับพลัน ใบหน้าทั้งสองผละออกห่างจากกันช่วงระยะหนึ่ง