นางถูกดวงตาทั้งสองที่ซุกซ่อนความนัยจับจ้องจนหน้าแดงเถือก ด้วยไม่ต้องการให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม รู้สึกว่านี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนแบบส่งแขกรับแขกฉากหนึ่ง นางจึงกล่าวความในใจอันขวยเขินออกไปจนหมดเปลือก
เขามิได้ตอบคำและไม่พยายามหยอกเย้าอีก เพียงเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาด้วยการดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วประทับจูบอย่างลึกซึ้ง
เรียวลิ้นที่สัมผัสและริมฝีปากที่ประสานจุมพิตกระตุ้นให้บังเกิดความร้อนแรงขึ้นในหัวใจคนทั้งคู่
อูลั่วซิงรู้สึกเพียงหัวใจเต้นหนักหน่วงและรัวเร็วขึ้นในชั่วพริบตา เต้นระรัวจนกระดูกนางเองเจ็บปวด ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดจากบุรุษผู้นี้กำลังแผ่ขยายอย่างเหิมเกริมยิ่งนัก
หน้าอกของเขาก็เต้นตึกตักไม่หยุดเช่นกัน ขวางกั้นด้วยเลือดเนื้อร้อนระอุสั่นสะเทือนดวงใจของนาง กลิ่นกายเขาอาบย้อมด้วยกลิ่นจันทน์หอม กลิ่นจันทน์หอมนั้นราวกับกระชากวิญญาณคนได้ หยอกเย้าจิตวิญญาณของนางจนแทบจะหลุดออกจากร่าง
กระทั่งเขาเบือนหน้าไปงับติ่งหูนาง ปลายลิ้นม้วนวนในใบหูนางราวกำลังลิ้มชิมของหวาน นางสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย แผ่นหลังร้อนชา สติเลือนรางสั่นระริกจนจวนเจียนจะไม่เหลือ กระนั้นกลับเป็นนางที่ดึงรั้งสติสองสามเส้นสุดท้ายอย่างดื้อรั้น…
“ช้าก่อน…รอก่อน ไม่ได้…”
เขาไม่สนใจการดิ้นรนของนางแม้แต่น้อย จุมพิตยิ่งเกี่ยวกระหวัดรัดรึง พาให้นางมิอาจไม่ออกแรงมากขึ้น
“ไม่ได้…”
หากต้องการลงมือสะบัดเขาให้หลุดออกไปจริงๆ แน่นอนว่านางสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
นางจึงผลักเขาที่จุมพิตดูดดื่มไม่เลิกราออก ใช้แรงที่ไม่ทำให้เขาบาดเจ็บรักษาระยะห่างหนึ่งช่วงแขนกับเขา
“ลั่วซิงบอกว่าชอบไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ชอบอีกแล้วเล่า” แม้จะถูกผลักออก มือข้างหนึ่งของเขายังคงจับข้อมือนาง แววตาดั่งคลื่นโหมซัด น้ำเสียงคาดคั้นแฝงปนด้วยความเศร้าคับแค้นอันเข้มข้น
อูลั่วซิงยากจะรับมืออย่างแท้จริง นางอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ใช่ไม่ชอบ คือ…คือว่าชอบจนไม่รู้จะชอบอย่างไรได้อีก แต่ขะ…ข้ารีบเร่งรุดมาตลอดทาง ร่อนเร่พเนจรทั่วตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อ ทำให้กลิ่นเหม็นเพียงนี้ สกปรกเพียงนี้ ท่านยัง…เลียอยู่ตลอดอีก ทะ…ท่านอย่าเลียข้าสิ…”
“ข้าไม่ใส่ใจ” เขากล่าวพลางคิดจะเข้าใกล้นางอีกครั้ง ก่อนจะโดนนางกันออกไปอย่างเด็ดขาด
อูลั่วซิงเอ่ย “แต่ข้าใส่ใจ ชิวกวนสะอาดเพียงนั้นทั้งยังหอมเพียงนั้น งดงามเพียงนั้นทั้งยังดีงามเพียงนั้น ข้าที่เป็นเช่นนี้อยู่ตรงหน้าท่านแล้วรู้สึกละอายใจที่เทียบท่านไม่ได้” นางเม้มปาก ยิ้มน้อยๆ อย่างขวยอาย “ข้าไม่ต้องการให้ชิวกวนได้รับความลำบาก ท่านอยู่อย่างดี ข้าก็มีความสุข…ในเมื่อส่งพิณโบราณเจ็ดสายถึงมือท่านแล้วก็ควรจากไป ครั้งหน้า…อืม…ครั้งหน้าข้าค่อยมาหาท่านด้วยตัวสะอาดสะอ้านอีกรอบ”
นางสะบัดหลุดจากมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติ หมุนตัวคิดจะจากไป ทว่าผลสรุปคือคนยังไม่ทันกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็จู่โจมจากด้านหลังกะทันหัน ทั้งยังรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อและพลันกอดเอวนางไว้
“ลั่วซิงกว่าจะมาได้หนหนึ่งก็ยากเย็น เจ้าใจเหี้ยมจากไป ทิ้งข้าข้ามผ่านราตรีอันยาวนานเชื่องช้านี้เพียงลำพังอีก อยากลองถามว่าเจ้าหักใจได้จริงๆ หรือไร”
แน่นอนว่าแท้ที่จริงข้าย่อมหักใจไม่ได้…
อูลั่วซิงถอนใจแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายอดผ่อนคลายลงไม่ได้
แต่ก่อนนางกบดานในเมืองหลวง แม้จะรับงานจากมือของเหล่าเต้าโดยพลการ นางก็ไม่มีทางออกมานานเกินไป มากสุดสี่ห้าวันก็สามารถจบงานได้ และนำค่าตอบแทนติดตัวหวนกลับมา
ครั้งนี้เพื่อตามล่าจอมโจรเด็ดบุปผาที่ก่อความวุ่นวายในเมืองหวั่นเฉิง เพื่อแลกเปลี่ยนพิณเจ็ดสายแบบเหลียนจูคันนั้น นางใช้เวลาไปมากโข ถึงได้แยกจากฉินชิวและไม่ได้เจอหน้ากันครึ่งค่อนเดือน
ตอนนี้ตกลงสู่อ้อมแขนของเขาอีกครั้ง แขนเสื้อกว้างสองข้างของเขาสอดประสานอย่างแน่นหนาบนท้องน้อยของนาง ทำให้แผ่นหลังนางแนบชิดติดเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นางคล้ายถอนใจเสียงต่ำออกมา หัวเข่าสองข้างยิ่งต้านทานไม่ไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
นางกลัดกลุ้ม อ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา กลับถูกเขาหมุนร่างไปหากะทันหัน
เขาโอบเอวนาง กุมมือนาง ดวงตางดงามประดุจมีสะเก็ดไฟร่วงหล่น สีขาวและดำในดวงตาตัดกันชัดท่ามกลางความลึกล้ำ
“ไยจึงต้องรอครั้งหน้า ในเมื่อลั่วซิงใส่ใจเพียงนี้ คืนนี้ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้ทั้งสะอาดสะอ้าน หอมกรุ่นและ…น่าอร่อย”
อูลั่วซิงแม้แต่โอกาสที่จะร้องอุทานตกใจหรือไต่ถามด้วยความสงสัยสักคำยังไม่มี นางที่อึ้งงันก็ถูกบุรุษผู้นี้กึ่งผลักกึ่งจูงพาเดินไปแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ม.ค. 64