นางวางเขาลงบนเบาะนุ่มที่ห้องด้านใน จากนั้นก็ลุกขึ้นถอยหลังอย่างติดจะเอื่อยเฉื่อยไปหนึ่งก้าวสั้นๆ ก่อนจะถอยอีกก้าวสั้นๆ…และอีกก้าว แล้วไม่ขยับอีก แลคล้ายยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรุกหรือถอย ทำท่าจะไปแต่ก็รั้งอยู่
แสงไฟของตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บนแท่นตรงมุมทั้งสี่ด้านในหอยังไม่ดับลง ไส้ตะเกียงที่แช่อยู่ในน้ำมันยังคงทำหน้าที่ให้เปลวไฟดวงเล็กๆ ส่องแสงสว่าง ทุกอย่างมีสภาพเหมือนตอนที่เขาโดนลักพาตัวไปไม่มีผิด
ฉินชิวมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าต่อให้เฟิ่งหมิงชุนที่รู้เรื่องเล็กใหญ่ในสำนักชิงเยี่ยนถ่องแท้เหมือนนับนิ้วบนฝ่ามือ ก็ยังไม่รู้ว่าคืนนี้เขาเคยถูกลักพาตัวและพ้นเคราะห์รอดกลับมาอีก
ณ ขณะนี้เวลานี้ เห็นหญิงสาวถอยแล้วถอยอีก สุดท้ายก็นิ่งไม่ไหวติง เขาอดจะสงสัยตนเองขึ้นมาไม่ได้
เป็นเขาดีไม่พอหรือ ดังนั้นจึงดึงดูดนางไม่ได้
อืม…ก็ได้ เขาไม่ดีจริงๆ
เขายอมรับ เขามิใช่พวกคนดีมีคุณธรรมอย่างแน่นอน
เนื้อในของเขาทั้งชั่วช้าทั้งเลวทราม ที่เรียกกันว่า ‘หลักการถูกต้องของยุทธภพ’ ในสายตาเขาก็คือผายลมเท่านั้น เขาชอบให้ผู้คนที่อ้างความยุติธรรมเหล่านั้นป่นปี้ในมือตนเองเป็นที่สุด ได้เห็นพวกเขาตกเป็นเบี้ยล่าง เขาสาสมใจยิ่งนัก สาสมใจยิ่งยวดจนไม่อาจสาสมใจมากกว่านี้ได้อีก
ดังนั้นเขาดีไม่พอ
แต่รูปลักษณ์ของเขางดงามมากมิใช่หรือ
เขารูปโฉมหล่อเหลา ยามชม้ายตาใบหน้างามสดใส ระบายยิ้มจางๆ ก็ประหนึ่งวสันตฤดูมาเยือน เขาต้องการเกี้ยวพาหญิงสาวให้ตกหลุมพรางตรึกตรองดูหาใช่เรื่องยาก แต่นาง…นางพวงแก้มแดงปลั่งจริงๆ รอยแดงยังแผ่ลามไปถึงกกหูและลำคอ แม้แต่จมูกสูงโด่งก็ยังแดงระเรื่อ ดวงตาคู่นั้นกลมกลึงเพียงนั้น ไร้เดียงสาเพียงนั้น เห็นชัดว่าได้รับผลจากความงามของเขา บังเกิดความรู้สึกผิดแปลกกับเขา แต่เหตุใดจึงถอยแล้วถอยเล่า ไม่ยอมชิดใกล้กันนะ
“ท่านพักผ่อนให้ดี ข้า…ข้าจะไปแล้ว” อูลั่วซิงเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด มือที่แนบติดข้างลำตัวกำแน่นด้วยจิตใต้สำนึก สะบัดหน้าไปก่อนพูดย้ำอีกหน “ใช่ ข้าควรไปได้แล้ว”
ไม่ไปไม่ได้ ใกล้จะสะกดกระแสความร้อนในร่างกายขุมนั้นที่แทบจะเอ่อทะลักออกมาไม่ไหวแล้ว
ความปรารถนาท่วมท้น ไม่รู้จักละอาย นางคิดแต่จะกินเขาเท่านั้น
ขบกรามแน่นอย่างเหี้ยมเกรียม พยายามดับเปลวไฟในส่วนลึกของหัวใจให้มอดลง นางหันกายก็จากไปเลยจริงๆ แต่แล้วด้านหลังก็มีเสียงคำถามแผ่วเบาของเขาลอยมา…
“ไม่อาจรั้งอยู่หรือ”
ฝีเท้าของอูลั่วซิงหยุดชะงัก ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
ทั้งหมดต้องโทษที่นางไม่เอาไหน จากไปอย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้ นางหันหน้ามาถามเสียงค่อยอย่างไม่อาจหักห้าม “รั้งอยู่…ทำอันใด”
เสียงบุรุษนิ่มนวลเนิบช้าดั่งเสียงพิณ แผ่กระจายออกไปช้าๆ “คืนนี้มีคนลักพาตัวข้าไป อยากกินเปล่าๆ หลับนอนเปล่าๆ เอาเปรียบข้า ข้าย่อมไม่พอใจเหลือคณา แต่หากคนผู้นั้นเป็นแม่นางอู…หากเป็นเจ้า ข้าจะรู้สึกยินดีเป็นแน่”
“ข้าไม่มีทางหลับนอนกับท่านเปล่าๆ” อูลั่วซิงหมุนตัวขวับมาเผชิญหน้ากับเขา
ความตั้งใจเดิมของนางคือเพื่อแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้ง พร้อมถือโอกาสโต้แย้งสมมติฐานของเขา แต่พอวาจากล่าวออกจากปาก ดวงหน้านางก็กลับแดงซ่านยิ่งขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า พอเห็นเขายิ้มกรุ้มกริ่มราวกับอ่านอะไรออกทะลุปรุโปร่ง สีหน้านั้นยิ่งพาให้นางหน้าแดงฉานร้อนผ่าว แดงจนแม้แต่ขอบตาก็ยังรู้สึกร้อนลวกอยู่บ้าง
ไม่ว่าสมองของนางจะใช้การได้ดีเพียงใด ล้วนคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนั้น เจ้าเต็มใจหลับนอนกับข้า?”
ทรวงอกของอูลั่วซิงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ปีกจมูกก็พองยุบอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน เปรียบดั่งชั่วพริบตานั้นสูดอากาศเข้าไปไม่ได้ ต้องออกแรงหายใจซ้ำๆ
สมองของนางขาวโพลนไปหมด ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่หูทั้งสองได้ยิน
ฉินชิวดูราวกับยังทำให้นางเสียขวัญไม่พออย่างไรอย่างนั้น เขาไต่ถามขึ้นอีกคราอย่างยืนกราน “แม่นางอูไม่สมัครใจหรือ”
นี่มิใช่คำถามว่าสมัครใจหรือไม่ ทว่านี่คือ…คือการบีบนางชัดๆ!
อูลั่วซิงไม่รู้ควรตอบคำเยี่ยงไรดีไปโดยสิ้นเชิง นางตกที่นั่งลำบากอย่างถึงขีดสุด
ทันใดนั้น เขาหยักมุมปากแย้มยิ้ม เปลือกตาหลุบลง “ข้าเข้าใจ พูดถึงที่สุดก็คือแม่นางอูยังรังเกียจที่ข้าสกปรก”
สองตาที่เบิกกว้างของอูลั่วซิงหรี่ลงฉับพลัน หัวไหล่ก็พานสั่นเทาตามไปด้วย
“แม่นางอูโปรดกลับไปเถิด คืนนี้…ขอบคุณมาก”