นางชายตาปรายมองมาทางเขา เม้มริมฝีปากไม่รู้ควรตอบกลับอย่างไรดี ทว่านัยน์ตาของเขากำลังทอประกายแวววาว อากัปกิริยาผ่อนคลาย เขากำลังหยอกล้อนาง ขบขันนาง นางรับรู้ได้ว่าในใจเขานั้นรู้สึกถึงความเบิกบาน
เช่นนั้น…เช่นนั้นนางก็จะรู้สึกเบิกบานใจเช่นกัน ต่อให้ไม่มีวาจาจะเอื้อนเอ่ยอยู่บ้างก็ตามที
“วันนี้การแต่งกายของลั่วซิง…งดงามโดยแท้” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แววตาจับอยู่ที่หน้าอก เอว รวมไปถึงกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนของนางพลางมองประเมินนางขึ้นๆ ลงๆ “หญิงสาวประทินโฉมเพื่อบุรุษในดวงใจ…เป็นเรื่องที่ข้าชมชอบยิ่งนัก”
นางพูดไม่ออกอีกหน เมื่ออยู่ร่วมกับเขา มักจะมีเรื่องให้นางต้องหน้าแดงอย่างไม่อาจหักห้าม
วันนี้นางไม่สวมชุดตระเวนราตรีสีดำทั้งตัวอีก ทว่าแต่งกายเหมือนหญิงสาวทั่วไป รวบผมทั้งหมดไว้หลังศีรษะ ใช้เพียงปิ่นไม้กับหวีเล็กซี่ละเอียดอันหนึ่งยึดไว้เท่านั้น เสื้อสีเขียวคราม กระโปรงสีม่วงอ่อน และสายคาดเอวสีเหลือง นอกจากเหอเปา* สีเรียบที่ผูกไว้ตรงเอว บนร่างก็ไม่มีเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นอีก
ใบหน้านางแม้มิได้ทาแป้งชาด แต่คิ้วทั้งสองและชายผมกลับจัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน กลีบปากเคยเม้มผ่านดอกไม้สีแดงสดหรือกลีบดอกไม้มาก่อนโดยเฉพาะ อาบย้อมสีแดงละมุนอย่างเป็นธรรมชาติมาเล็กน้อย
เขาพูดไม่ผิด ในสายตาเขา นางอยากให้ตนเองเปลี่ยนไปผุดผาดเจริญตาเจริญใจมากขึ้นจริงๆ
“ขอบคุณ…” นางเอ่ยอย่างขวยอาย เห็นจู่ๆ เขาก็ไม่เอ่ยคำ เพียงหลุบตาจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตาแม้สักครั้งก็อดสั่นสะท้านในใจไม่ได้
นางรู้จักสีหน้าเช่นนี้ของเขา นั่นบ่งบอกว่าเขาอยากจุมพิตนาง และหวังให้นางเป็นฝ่ายรุกแนบชิดเขาก่อน
ไม่ต้องครุ่นคิดมากความ นางทำตามความต้องการในใจทันที เขย่งปลายเท้าประทับกลีบปากลงบนปากเขา จุมพิตนี้จบลงอย่างรวดเร็ว
ฉินชิวที่ถูกจู่โจมกะทันหันตะลึงเล็กน้อยในทีแรก ตามด้วยริมฝีปากบางรูปร่างงามเลิศล้ำคลี่ยิ้มออกมา ราวกับจิตใจได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์
ยามนี้ทั้งสองคนเดินจูงมือกัน แขนอีกข้างหนึ่งของเขาโอบรอบพิณเจ็ดสาย มืออีกข้างหนึ่งของนางหิ้วตะกร้าที่เต็มไปด้วยของกิน ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอื้อมมือไปโอบกอดกัน แต่เขายังคงดึงดันจะก้มหน้าลงไปหาริมฝีปากของนางอีก ประกบจูบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่งจึงจะยอมเลิกรา
ตอนที่ก้าวลงเรือประทุนดำ อูลั่วซิงที่ถูกจูบจนศีรษะหนัก เท้าเบา สองเข่าอ่อนระทวยยังคิดอยู่แปดส่วนว่าตนเองต้องตกน้ำแน่แล้ว เคราะห์ดีที่สวรรค์คุ้มครองไม่ทำให้นางทำเรื่องขายขี้หน้าขั้นนั้นออกมา
ด้านในประทุนดำมีน้ำชาเช่นกัน ซ้ำยังเตรียมสุราชั้นดีไว้อีกไม่น้อยด้วย ของอย่างอื่นก็มีอย่างเช่นเบาะนุ่ม หมอนอิง และผ้าคลุมบางให้ความอบอุ่นเป็นต้น พร้อมสรรพทุกสิ่งอย่าง เมื่อรวมกับของว่างกับขนมแกล้มชาเต็มตะกร้า มองผาดเดียวก็รู้ว่าตั้งท่าจะพาคนไปล่องทะเลสาบ
ฉินชิวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใหม่และอัศจรรย์ใจ อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าแม่นางนักฆ่าที่พูดน้อยเป็นนิสัยจะมีความคิดอ่านขึ้นอย่างปุบปับ ‘ลักพาตัว’ เขาออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้
แต่เขาชอบอย่างยิ่ง ชอบสายตานางและชอบทุกสิ่งที่นางทุ่มเทให้เขา
หลังอูลั่วซิงทำหน้าที่คนขับรถม้า ต่อจากนั้นก็ยังทำหน้าที่คนถ่อเรืออีก นางยกไม้ถ่อเรือยาวขึ้นถ่อเรือออกจากริมทะเลสาบครั้งแล้วครั้งเล่า เรือจึงค่อยๆ ลอยล่องไปยังใจกลางทะเลสาบ ขณะที่คุณชายรูปงามที่ถูกจัดให้อยู่ด้านในประทุนดำกลับนั่งขัดสมาธิ วางพิณพาดไว้บนตัก ชั่วพริบตาถัดมา ท่วงทำนองกังวานไกลของพิณโบราณเจ็ดสายก็พรั่งพรูออกไปบนผิวทะเลสาบ
เสียงพิณช้าบ้างเร็วบ้าง ลึกบ้างตื้นบ้าง สำหรับแม่นางนักฆ่าผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับการพเนจรในยุทธภพ ลิ้มโลหิตบนคมดาบ นี่เป็นท่วงทำนองจากบทเพลงที่นางไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง
ฉินชิวเห็นดังนั้น ความนัยของเพลงพิณมีเพียงผู้รู้ใจเท่านั้นที่เข้าใจได้ ยามเมื่อเรือประทุนดำแล่นออกห่างจากริมฝั่งทะเลสาบไปไกลยิ่ง อูลั่วซิงวางไม้ถ่อยาวลงราวกับวางบังเหียนม้าปล่อยให้ม้านำทาง หยุดเรือลำนี้ที่ใจกลางทะเลสาบให้ลอยล่องตามสายน้ำตามอำเภอใจ นางค้อมกายลงเข้ามาในประทุนสีดำ นั่งลงที่มุมหนึ่งในประทุนมองเขาที่กำลังดีดพิณอย่างซื่อๆ ฟังเสียงพิณอย่างซื่อๆ และปล่อยอารมณ์ไปตามจังหวะพิณสูงต่ำนั้นอย่างซื่อๆ อีก
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงไร บทเพลงสิ้นสุด เสียงเพลงที่ยังเหลือในอากาศยังคงก้องกังวานอยู่ในจิตใต้สำนึก บุรุษผู้สง่างามเหนือโลกีย์ยกพิณไปไว้ด้านข้าง ช้อนตาขึ้นสบประสานกับสายตานางที่จับจ้องมาพลางฉีกรอยยิ้มบางๆ อย่างรู้สึกจนใจเหลือแสน
“ถึงกับต้องมีท่าทางเช่นนี้เชียวหรือ”
…อะไรกัน ข้าทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมอะไรไปหรือ
อ๊ะ! ก้นบึ้งนัยน์ตาร้อนผ่าว พวงแก้มเปียกชื้น ที่แท้นางฟังเสียงพิณจนร้องไห้ ดวงตามีน้ำตาหลั่งรินออกมาสองสายโดยไม่รู้ตัว
เขายื่นแขนให้นาง ด้วยแรงขับเคลื่อนตามสัญชาตญาณ นางเอื้อมมือไปจับมือเขาโดยไม่ต้องคิด