ในส่วนลึกยิ่งของจิตวิญญาณกับสติสัมปชัญญะของนาง ที่จริงนั้นหลงใหลการบุกรุกเช่นนี้ หวังไว้ว่าบนโลกใบนี้จะปรากฏคนผู้หนึ่ง พลังอย่างหนึ่งที่สามารถครอบงำร่างกายและสมองของนางได้โดยสมบูรณ์ นางปรารถนาที่จะส่งมอบตัวนางออกไป โหยหาการได้อยู่ในอ้อมกอดของบางคนปล่อยให้อีกฝ่ายประพฤติตนตามใจ
และคนที่ควรค่าแก่การฝากฝังชีวิตด้วยผู้นั้นก็คือเขา คือผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยแห่งนี้…ฉินชิว
นางร่างกายสั่นระริกมากขึ้นทุกขณะ อารมณ์ปรารถนาเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์กาย อาบย้อมร่างกายนางทั้งด้านในด้านนอกจนเปียกชุ่ม
บุรุษที่ทาบทับบนแผ่นหลังนางอยู่ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด เขากดหัวไหล่นาง จับข้อมือนาง ความร้อนในร่างกายลอยขึ้นราวกับสามารถกลายเป็นไอได้ กลิ่นจันทน์หอมเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้น ประหนึ่งยาปลุกเร้าอารมณ์รัญจวน แทรกซึมเข้ามาในลมหายใจเข้าออกของนาง
นางหอบหายใจรัวเร็วไม่หยุด ท้องน้อยหดเกร็งแผ่วเบา พร้อมกันนั้นกาหยกเปี่ยมความฉ่ำวาวเหนียวข้นก็กระตุกเกร็งโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
นางได้ยินเสียงเขาหอบหายใจต่ำที่ด้านหลัง ทันใดนั้นเรือนร่างร้อนลวกก็ทาบทับลงมา ทั้งร่างของเขาทับอยู่บนหลัง งอศอกยันไว้ตรงบ่าทั้งสองของนาง เส้นผมดำขลับมันวาวปล่อยสยาย แทบจะปกคลุมทั้งศีรษะของนาง
ด้วยเพราะติดอยู่ใต้ร่างกายและเรือนผมดุจผ้าม่านของเขา นางมองไม่เห็นเขา แต่แล้วประสาทสัมผัสด้านอื่นกลับแจ่มชัดเป็นเท่าทวี ผิวกายร้อนประหนึ่งเปลวไฟ ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นก้อนน้ำอุ่นที่ถูกเขาเจาะทะลุ
ตอนที่เขาเอียงหน้ามาดูดเม้มติ่งหูนาง ร่างกายส่วนล่างก็เพิ่มแรงเข้าออกหนักหน่วงมากขึ้น เร็วขึ้นทุกขณะ กระแสความร้อนวาบผ่านแขนขาทั้งสี่ของนางเป็นระลอกๆ นางสั่นสะท้านตั้งแต่ภายในร่างสู่ภายนอก แผ่ลามไปถึงทุกรูขุมขนจนถึงขนทุกเส้น
นางสติสัมปชัญญะแตกกระเจิง ในตอนที่พุ่งทะยานทะลุขีดสุดนั้นก็ดิ่งร่วงลงต่ำโดยแรงทันที
นางไม่อาจต้านทาน ปล่อยให้พลังไร้รูปนั้นโยนนางขึ้นสูงแล้วผลักลงต่ำ ร่วงลงสู่ห้วงความเวิ้งว้างที่ไร้สิ้นสุด…
ราวกับมีแสงแดดเบาบางยิ่งลอดเข้ามา
แต่…ไม่สมควรเป็นแสงแดดสิ
อูลั่วซิงครุ่นคิดด้วยสติพร่าเลือน
ในห้องลับอันใหญ่โตนี้ไม่มีฟ้าไม่มีดิน ไม่มีกระทั่งหน้าต่างเล็กๆ สักบาน ยากแยกแยะอย่างแท้จริงว่าด้านนอกฟ้าสว่างแล้วหรือไม่
ด้วยเพราะยากแยกแยะ นางจึงนึกว่ารัตติกาลยังคงลุ่มลึกอยู่เช่นเดิม ดังนั้นจึงยิ่งปลดปล่อยตามใจเพรียกหา…
ทั้งร่างของนางราวกับละทิ้งซึ่งความแข็งแรงออกไปหมดสิ้น อ่อนชาไร้กำลังดุจดินโคลน คนฝึกยุทธ์ไม่ควรเป็นดังนี้ ผู้ที่ยึดการสังหารผู้คนเป็นอาชีพยิ่งไม่สมควรเป็น นางทำผิดข้อห้ามสำคัญ แต่ก็หาได้สนใจไม่ อย่างน้อยเวลานี้ชั่วขณะนี้ ยามที่นางเอาหน้าผากจรดหน้าผากบุรุษผู้นี้และนอนเคียงข้างกันเช่นนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นแม้สักกึ่งหนึ่ง
ในร่างกายยังคงมีกระแสแห่งอารมณ์สิเน่หาหลงเหลือ เสมือนเขายังคงอยู่ในร่างกายนาง หนุนดันนาง ใช้จังหวะการเต้นของชีพจรเดียวกันกับนาง
นางลอบปรับลมหายใจครู่ใหญ่จึงค่อยฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมา ยามลืมตาขึ้นเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้นางมากนั้นดวงตาปิดสนิทเรียวคิ้วผ่อนคลาย แลคล้ายยังคงหลับใหล
ตอนที่นางยื่นนิ้วไปดึงผมบนใบหน้าเขาออก หมายจะสัมผัสไฝเม็ดเล็กยั่วยวนใจคนตรงกรามซ้ายของบุรุษนั้นเอง เขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นฉับพลัน สองตาแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า เห็นชัดว่าตื่นตั้งนานแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้หลับตั้งแต่ต้น
เขากะพริบตาอย่างซุกซนและแย้มยิ้มให้นาง ประหนึ่งการหยอกเย้านางสำเร็จทำให้เขาเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มแผ่วอ่อนโยน “ร่างกายลั่วซิงตึงเครียดยิ่ง เวลานี้รู้สึกสบายขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
นางที่หน้าแดงหูร้อนเป็นทุนเดิมพอโดนเขาถามเช่นนี้ พวงแก้มแดงก่ำยิ่งแดงดุจจะมีโลหิตซึมออกมากระนั้น แต่นางมิได้หลบเลี่ยงสายตาจับจ้องของเขา และก็ไม่มีที่เลี่ยงหลบ จึงรับคำแผ่วเบาด้วยใบหน้าแดงปลั่ง
เขาหยักมุมปากยิ้ม “ข้าก็รู้สึกสบายเหมือนกัน”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นัยน์ตาลึกล้ำจ้องมองนางพลางเอ่ยถามต่อว่า “ลั่วซิงชอบหรือไม่”
“…อืม” นางค้อมศีรษะเล็กน้อย มิได้ลังเล “…ชอบ”
เมื่อได้สดับวาจาเช่นนี้จากอีกฝ่าย ดวงตาคู่งามของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเส้นโค้งเพราะแย้มยิ้ม พาให้อารมณ์อ่อนไหวในอกนางยิ่งแผ่ขยาย ก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรอยยิ้มของเขาโดยไม่รู้ตัว
ราวกับชมชอบท่าทางยามนี้ของนางเป็นที่สุด เขาโน้มตัวเข้ามาจุมพิตนางทันที จุมพิตริมฝีปากรูปผลอิงเถาดุจนกจิกกินผลไม้ หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…เมื่อถึงครั้งที่สี่ แขนเนียนละเอียดดุจรากบัวของนางก็รู้จักโอบรอบคอเขาในที่สุด ฉุดรั้งริมฝีปากและเรียวลิ้นของเขาไว้ เคล้าคลอแลกเปลี่ยนความร้อนรุ่มในร่างกายของกันและกัน
หลังจากนั้นก็จดจำได้ไม่ชัดเจนว่าผู้ใดกอดผู้ใดก่อน ทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเรือนร่างเข้าหากัน กลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง ประเดี๋ยวนางอยู่ด้านบน ประเดี๋ยวเปลี่ยนไปเป็นเขา จูบไปพลางกลิ้งไปพลางยั่วหยอกไปพลางเย้าแหย่ไปพลาง