“ครั้งนี้กลับช้าอีกแล้วนะ”
ใบหน้าผอมซูบของบุรุษติดจะลึกซึ้งยากคาดเดา มองไม่ออกว่าโกรธหรือไม่
ฟ้าสว่างรำไร เป็นช่วงเวลาที่ปกติหากอยู่ที่เรือนไผ่นางควรลุกขึ้นตั้งไฟเตรียมอาหารเช้า
ยามนี้นางเพิ่งกลับมา อาจารย์ตั้งไฟ ทั้งยังต้มน้ำชงชาเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องโถงเล็กของเรือนไผ่จิบชาไปพลางเอ่ยไปพลาง “สองสามวันนี้กำลังคนกลุ่มเล็กที่อยู่ภายใต้เหล่าเต้าเริ่มทยอยกลับมาถึงเมืองหลวง วันนั้นเจ้าไปพร้อมพวกเขา ภารกิจที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียว สำหรับเจ้าไม่ควรเป็นเรื่องยากจึงจะถูก ควรจะกลับมาถึงเมืองหลวงก่อนหน้าพวกเขานานมากด้วยซ้ำ ผลสรุปยังคงกลับมาล่าช้า ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนหน้าอีกก็เป็นเช่นกัน ตกลงมีเรื่องอันใดทำให้ล่าช้ากันแน่”
ดังนั้น…เหตุผลที่จุดพลุสัญญาณ ‘หนึ่งลูกดังติดกันสามครั้ง’ เรียกนางกลับมาอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรที่เรือนไผ่แต่เพราะอาจารย์ต้องการยืนยันว่านางอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่กันแน่อย่างนั้นน่ะหรือ
หัวใจอูลั่วซิงที่ลอยขึ้นสูงลดลงกลับสู่หน้าอกอย่างเงียบเชียบ จิตใจที่แสนจะตึงเครียดผ่อนคลายลงในที่สุด
เพียงแต่ยามเผชิญหน้ากับการคาดคั้นของผู้อาวุโส หัวสมองนางก็พลันทึ่มทื่อไปอย่างแท้จริง
“อาจารย์ ข้า…” พอนางอ้าปากคิดจะโต้แย้งกลับพบว่าไม่มีอะไรให้แย้ง สมองแล่นปราดไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายท้ายที่สุดยังคงไร้วาจา ได้เพียงก้มหน้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
นอกจากหาเงินสำหรับใช้จ่ายที่เรือนไผ่แห่งนี้ นางยังแอบรับงานแลกสิ่งของชั้นดีกับเหล่าเต้าอีก ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนนำไปส่งยังหอซือเฟย จึงกลับช้าหลายหนจริงๆ เดิมนางนึกว่าอาจารย์ไม่มีวันถามมากความ อย่างไรเสียเรื่องที่ควรทำนางก็ไม่เคยขาดไปแม้แต่เรื่องเดียว ทว่ายามนี้ถูกอาจารย์ซักถาม นาง…ไม่อยากพูดออกไปจริงๆ
นางยินยอมถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดทุกประการ แต่อย่างไรก็ไม่อยากพูด
บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางไม่เชื่อฟังคำพูดอาจารย์ และไม่ยอมตอบคำถามเขา
โถงเล็กของเรือนไผ่พลันเงียบสนิทไปพักใหญ่ ครั้นเมื่ออูติ้งเซินเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงก็ดูเหมือนทอดถอนใจ…
“เจ้าโกหกไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งนิสัยยังดื้อรั้น ในเมื่อไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ผู้เป็นอาจารย์ไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า เพียงแต่ยิ่งเจ้ามีสภาพเช่นนี้ ข้าผู้เป็นอาจารย์ยิ่งอยากเดาดูสักหน่อย” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “หากมิใช่เพราะติดพันภารกิจ ก็ต้องเป็นเพราะคนเสียแล้ว คนผู้นี้น่ะหรือ…ดูท่าลั่วซิงคงมีคนในใจแล้ว ถูกต้องหรือไม่เล่า”
อูลั่วซิงเงยหน้าขึ้นขวับราวกับตกใจเสียขวัญ ดวงตาถลึงกลมขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำในพริบตา
สีหน้านี้ อารมณ์ของคิ้วและนัยน์ตานี้ แสดงออกชัดเจนเกินไปโดยแท้
เชื่อว่าทุกคนที่มีตาล้วนดูออกอย่างง่ายดาย หญิงสาวได้ถลำลึกโดยสิ้นเชิง จมลึกในปลักเลนมิอาจปีนขึ้นมาอีก
อูติ้งเซินก้มหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง รอยย่นจางๆ ที่หางตาลึกมากขึ้น “เจ้าอายุก้าวพ้นวัยยี่สิบแล้ว บัดนี้เพิ่งจะได้เปิดหูเปิดตานับว่าช้าเกินไป ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่ดี กลัวก็แต่จะพบพานคนชั่ว”
“อาจารย์…เขา เขาดีกับข้ามาก” เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องประเภทนี้กับอาจารย์ของตน อูลั่วซิงร้อนจนแทบจะสุกไปทั้งตัว
“หากเริ่มแรกยังปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี เจ้าก็คงไม่ดำเนินไปถึงขั้นคบหากับฝ่ายนั้น” อูติ้งเซินยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
ยังคงอยากแก้ตัวให้คนในใจมากขึ้นอีกสองสามประโยค ทว่าแต่ไหนแต่ไรการพูดก็หาได้เป็นจุดแข็งของนาง
อูลั่วซิงเม้มปากอย่างกลัดกลุ้ม สีหน้านัยน์ตาปรากฏแววดื้อดึงอีกหน เงียบงันหลายอึดใจ นางพลันคุกเข่าลงสองข้างเสียเลย
“ศิษย์รู้ว่าอาจารย์เป็นห่วง แต่ข้า…ข้าชมชอบเขามาก ชอบมาก ชอบมากๆ…อาจารย์ ข้าจะทำเรื่องที่สมควรทำอย่างดี ทำดียิ่งกว่าแต่ก่อน ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังคำสั่งของท่าน แต่…แต่ข้าอยากอยู่ร่วมกันกับคนผู้นั้น ขออาจารย์โปรดส่งเสริมด้วย” ไม่ทันขาดคำนางก็โขกศีรษะทำความเคารพอย่างเต็มรูปแบบ
“ดูเจ้า เด็กโง่งมเอ๊ย เฮ้อ…” อูติ้งเซินลุกไปประคองนางขึ้น ถอนใจลึกเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ตบไหล่นาง “ท้องฟ้าจะมีฝน หญิงสาวจะออกเรือน จะให้ผู้เป็นอาจารย์ยับยั้งไม่ให้เจ้าชอบผู้อื่นกระนั้นหรือ อยากอยู่ร่วมกับฝ่ายนั้นก็อยู่ร่วมกันเถิด หากเขาปฏิบัติกับเจ้าด้วยใจจริง เจ้าติดตามเขาไปก็เป็นเรื่องดีเยี่ยม หลังออกเรือนไป ให้กำเนิดทารกอ้วนท้วนสักหลายคน ใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่ายไม่มีแก่งแย่งชิงดี เจ้าเป็นเช่นนั้นได้ ข้าจึงถือว่าเป็นสุขใจอย่างแท้จริง”