“อาจารย์…” อูลั่วซิงสีหน้าอึ้งตะลึงงัน ก้นบึ้งนัยน์ตาแดงรื้น ก่อนจะกัดริมฝีปากเอ่ยเสียงแหบ “ข้าไม่มีทาง…ยังไม่ถึงเวลานั้น ข้ายังไม่แต่งให้ผู้อื่น พวกเรา…พวกเรายังขาดหญ้าหลิงจี้ต้นสุดท้าย ขอเพียงได้หญ้าหลิงจี้ต้นที่เจ็ดมา สุขภาพร่างกายของศิษย์น้องก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยสมบูรณ์ เรื่องนี้ยังไม่สำเร็จ ข้าไม่มีทางไปจากพวกท่านตลอดกาล ข้าจะดูแลศิษย์น้องให้ดีร่วมกับอาจารย์เช่นเดิม”
อูติ้งเซินคลี่ยิ้มปลอบขวัญ ลูบศีรษะนางแผ่วเบาและอ่อนโยนยิ่ง “เด็กดี อาจารย์ขอบใจเจ้าแทนศิษย์น้องด้วย”
อูลั่วซิงแย้มยิ้มพลางสั่นศีรษะทั้งขอบตาแดงก่ำ ในใจท่วมท้นด้วยไออุ่น
“หาโอกาสเชิญคนผู้นั้นมากินข้าวดื่มชาที่เรือนไผ่ด้วยกัน ในเมื่อเป็นคนที่เจ้าต้องตา อย่างไรเสียก็ต้องให้อาจารย์ได้เห็นหน้าค่าตาบ้าง”
อูลั่วซิงก้มหน้าอย่างเขินอายหาใดเปรียบ สุดท้ายยังคงพยักหน้าและเอ่ยรับคำ
“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ขอบคุณยิ่งที่อาจารย์ส่งเสริม”
สามวันให้หลัง เป็นเวลาเดียวกันยามดวงจันทร์ลาลับ ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า
ตอนที่ฟากฟ้ามัวสลัวท้องฟ้ายังสว่างไม่เต็มที่ ราวกับทุกหนแห่งเต็มไปด้วยวัชพืชยามเหมันต์แผ่ปกคลุม เงาร่างสีดำทะมึนแถบหนึ่งปรากฏกายขึ้นกะทันหัน เหินทะยานขึ้นลงบนหลังคาของบ้านเรือนหมื่นพันในเมืองหลวง
สาเหตุที่ชายชุดดำเลือกปฏิบัติการก่อนฟ้าสว่าง ล้วนเป็นเพราะสถานที่ที่ต้องการลักลอบมาเยือนอย่างลับๆ หาใช่บ้านเรือนชาวบ้านหรือคฤหาสน์ของคหบดีปกติ สถานที่ที่เขาจะไปตั้งอยู่ในย่านละลายทรัพย์ทางใต้ของเมืองหลวงที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี…
สำนักชิงเยี่ยน
คนท่องยุทธภพต่างรู้ดี ลอบมาเยือนสถานที่จำพวกส่งแขกเก่ารับแขกใหม่ ยิ่งดึกยิ่งคึกคักอย่างย่านเริงรมย์นั้น ย่อมไม่อาจมาสังเกตการณ์ช่วงกลางคืน แต่ต้องรอหลังจากบรรดาชายบำเรอแต่ละคนสำเริงสำราญเต็มที่ ปรนนิบัติแขกสำคัญทั้งหลายสู่ห้วงนิทราแล้ว เมื่อทุกสรรพสิ่งค่อยๆ กลับมาสงบเงียบ ถึงจะเป็นโอกาสชั้นยอดที่สุดสำหรับการสำรวจยามราตรี
เงาร่างสีดำพลิกข้ามกำแพงเข้าไป สถานที่แห่งนี้มีไว้ให้ผู้คนเข้ามาและจากไป เข้าๆ ออกๆ อยู่เป็นทุนเดิม ต่อให้เป็นห้องหับที่อยู่ในเรือนหลังก็ไม่มีคนเฝ้าเรือนหรือผู้คุ้มกันเรือนสักครึ่งคน ปล่อยให้เขาคลำหาทิศทางได้อย่างกระจ่างชัด และบุกรุกเข้าไปตรงๆ ได้ตามใจชอบ
หากต้องการสืบว่าศิษย์ของตนไปหลงผู้ใดเข้ากันแน่ สำหรับอูติ้งเซินไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย
วันก่อนหน้าที่อูลั่วซิงจะกลับช้าอีก เขาลอบสะกดรอยตามนางเข้าเมือง มองเห็นว่านางกระโดดเข้าไปในกำแพงสูงของสำนักชิงเยี่ยน ก่อนนางจะกระโดดเข้าไปในหอเล็กแห่งหนึ่งในเรือนหลังอย่างชำนิชำนาญเส้นทางยิ่ง
วันนั้นเองเขาก็สืบข่าวมาอย่างชัดเจน สถานที่นั้นชื่อว่า ‘หอซือเฟย’ ผู้ที่พำนักอยู่ด้านในคือคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน…ฉินชิว
คุณชายผู้นี้ได้รับการติดตามชมชอบจากเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลทั้งหลายเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีคุณชายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงอีกไม่น้อยที่ไปมาหาสู่กับเขา แม้มีฐานะชายบำเรอ แต่ผู้ที่เขาเชื้อเชิญเข้ารับการปรนนิบัติในหอซือเฟยอย่างอ่อนน้อมเต็มใจเรียกได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
นั่นก็หมายความว่าคุณชายฉินชิวผู้นี้แม้ร่างกายเปื้อนโลกีย์ ทว่าก็มองว่าตนเองสูงส่งมากยิ่ง
“หึ พูดถึงที่สุด ก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น”
อูติ้งเซินสำรวจเข้าไปในสำนักชิงเยี่ยน บุกเข้าไปในหอซือเฟย ยามนี้เขายืนนิ่งอยู่ข้างเตียงนุ่มของผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟย ขวางกั้นด้วยม่านโปร่งที่ห้อยย้อยลงมาคลุมทั้งสี่ทิศจากเบื้องบน จับจ้องคนที่กำลังนอนหลับสนิทด้านใน แววตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
คืนนี้ได้มาสำรวจ เขาคลายใจลงจริงๆ
คุณชายฉินชิวตรงหน้าผู้นี้มิใช่คนในแวดวงอย่างแน่แท้ ลมหายใจเข้าออกของเขาธรรมดาเหลือหลาย มีคนเยื้องกรายมาถึงข้างเตียงเขา เพียงออกฝ่ามือเดียวก็ส่งเขาไปเฝ้าพญายมได้ เขากลับไม่รู้สึกตัวแม้สักครึ่ง หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าฝันดีอะไรอยู่ ใบหน้าที่อยู่หลังม่านโปร่งนั้นองคาพยพทั้งห้าดูผ่อนคลาย มุมปากถึงกับมีรอยยิ้มประดับรำไร
อีกฝ่ายมอมเมาศิษย์ที่เขาตั้งใจสั่งสอนเป็นพิเศษไป ก่อกวนจนแผนการของเขายุ่งเหยิง อาศัยแค่ใบหน้าขาวอ่อนเยาว์ยิ้มเซ่อที่ปราศจากซึ่งการระวังตัวนี่น่ะหรือ
มีอันใดน่ายิ้มขันกันแน่
เขาเลิกม่านออกหมายจะดูให้ชัดเจนกระจ่างแจ้งด้วยจิตใต้สำนึก ม่านโปร่งบางเพิ่งจะถูกเลิกเปิด กลิ่นอายขุมหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในจมูกทันใด
…กลิ่นจันทน์หอม? กลิ่นเข้มข้นยิ่ง