ซูเพียนจื่อฉุนขาดหันขวับไปด่ากราดทันใด “ถ้าใช่แล้วจะทำไมเจ้าผีหัวโต…ว้าย!”
เสียงแผดด่าหลุดออกไปได้ครึ่งทางก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องไปเสียแล้ว เพราะซูเพียนจื่อพบว่าผู้ที่พูดกับเธอไม่ใช่คน แต่กลับเป็นม้าบินตัวหนึ่ง!
ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากม้าบินหลายตัวเมื่อครู่ก่อนก็คือ…ม้าตัวที่อยู่ตรงหน้านี้มีขนสีตุ่น บนเนื้อตัวสีเหลืองขี้โคลนของมันถูกแซมไปด้วยขนสีน้ำตาลอมดำกระจายตัวเป็นด่างดวง รูปร่างก็ผอมกะหร่องจนเห็นซี่โครง ดูขี้เหร่เป็นอย่างยิ่ง ขนปีกที่อยู่บนหลังก็ยุ่งกระเซิง ขนแผงคอยิ่งพันกันเป็นขยุ้มๆ ในปากใหญ่ที่กำลังเผยอกว้างอยู่ไม่เพียงเผยฟันหน้าซี่โตสีเหลืองอ๋อยหลายซี่…แต่ยังส่งกลิ่นปากออกมาอีกด้วย!
ทั้งที่เป็นม้าบินเช่นเดียวกัน ทว่าม้าหลายตัวเมื่อครู่นั้นมองปราดเดียวก็เห็นได้ว่าทุกตัวล้วนเปี่ยมราศีสมเป็นม้าวิเศษ ท่วงท่าก็สง่างามไม่ธรรมดา ผิดกับตัวที่อยู่ตรงหน้านี้…สภาพขี้ริ้วมอมแมมเหมือนสุนัขจรจัดที่พบเห็นได้บ่อยตามตรอกหลังร้านอาหารไม่มีผิด
สิ่งเดียวที่ดูได้…ก็คือดวงตาคู่นั้นซึ่งดำขลับกระจ่างใส เผยทั้งแววเอ้อระเหยแกมยั่วเย้า ดูเปี่ยมชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
“ร้องวี้ดว้ายอะไรของเจ้า ไม่เคยเห็นท่านอาชาเทพที่งามสง่าพ่วงพีเช่นข้าสิท่า ตื่นตูมไม่เข้าเรื่อง พวกโลกแคบก็คือพวกโลกแคบอยู่วันยังค่ำ!” ม้าบินที่เรียกตนเองว่า ‘อาชาเทพ’ ตัวนั้นเอียงศีรษะกวาดมองซูเพียนจื่อด้วยหางตาข้างเดียว วางท่าเย่อหยิ่งเสียเต็มประดา
ซูเพียนจื่อยังคงขวัญผวาไม่หาย จึงปลอบโยนตัวเองในใจ…ในเมื่อม้าที่นี่มีปีกบินขึ้นฟ้าได้ ถ้าจะพูดได้ด้วยก็ไม่เห็นน่าแปลกเลยสักนิด ไม่ต้องกลัวหรอกไม่ต้องกลัว ตัวเราเองอนาถขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรที่ต้องกลัวกันอีกล่ะ
เมื่อปลุกขวัญกำลังใจให้ฮึกเหิมขึ้นแล้ว ซูเพียนจื่อก็เงยหน้าถากถางกลับในทันที
“สารรูปอย่างเจ้านี่นะที่เรียกว่างามสง่าพ่วงพี ถ้าอย่างนั้นบนโลกนี้ยังจะมีม้าชั้นเลวอยู่อีกหรือ นี่สินะที่เรียกว่า ‘ม้าไม่รู้ตัวว่าหน้ายาว ลิงไม่รู้ตัวว่าก้นแดง’*!”
“หน้าของข้ายาวที่ตรงไหนกัน เห็นชัดว่าหน้าของเจ้าต่างหากที่สั้นเกินไป! ยายหนู ข้าก็คือผู้ที่จะมาพาเจ้ากลับบ้าน หึๆ ฉะนั้นหากล่วงเกินข้า เจ้าก็ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ ซ้ำจะมีภัยถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ!” ท่านอาชาเทพแกว่งหางที่สกปรกเลอะเทอะพวงนั้นอย่างกระหยิ่มได้ใจ ปากก็เอ่ยขู่ขวัญแบบวายร้าย
“พากลับบ้าน? เจ้ารู้หรือว่าบ้านข้าอยู่ที่ไหน อีกอย่างข้าจะมีภัยถึงชีวิตทุกเมื่อได้อย่างไร เจ้าอย่ามาขู่ขวัญกันซะให้ยาก!” ซูเพียนจื่อไม่อยากให้ตัวเองที่เป็นคนแท้ๆ กลับกลายเป็นถูกม้าตัวหนึ่งหลอกพาไปขาย ขืนเรื่องพรรค์นี้แพร่ออกไป ทุกคนที่ได้ฟังเป็นต้องหัวเราะจนฟันร่วงกันหมดแน่
“รู้หรือไม่เหตุใดเมื่อครู่ข้าจึงพูดว่าดวงของเจ้าไม่เลวทีเดียว” ท่านอาชาเทพหัวเราะหึๆ อย่างคนโฉด
“เจ้าคงไม่คิดที่จะบอกว่าเพราะข้าได้มาเจอกับเจ้าหรอกนะ” ซูเพียนจื่อหัวเราะเยาะหยัน
“แน่นอนว่านี่คือประเด็นที่สำคัญมากข้อหนึ่ง แต่ยังมีอีกข้อก็คือ…โชคดีว่าเมื่อครู่คนที่ได้เห็นแขนขวาของเจ้ามีเพียงเจ้าหนูชุดดำนั่น หากคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ล้วนได้เห็นกันหมดล่ะก็ หึๆๆ เกรงว่าตอนนี้ต่อให้เจ้าไม่ตาย ก็ต้องถูกพวกเขาจับตัวไปคุมขังแล้ว!”
“บนแขนขวาของข้าก็มีสัญลักษณ์ด้วย?” ซูเพียนจื่อลูบแขนของตนที่อยู่ข้างใต้แขนเสื้อ เพราะไม่ยักจำได้ว่าบนแขนขวามีรอยสัญลักษณ์ใดๆ เธอก็ไม่ใช่คนในแก๊งมาเฟียที่จะมีรอยสักมังกรเขียวทางซ้ายกับพยัคฆ์ขาวทางขวาสักหน่อย!