‘เรียวคิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาปานดวงดาว’…ซูเพียนจื่อเพิ่งจะสัมผัสได้อย่างถ่องแท้เป็นครั้งแรกว่าสำนวนนี้เปรียบเปรยได้สมจริงเพียงใด สองคิ้วของเขาทั้งเพรียวพลิ้ว ทั้งคมเข้มเปี่ยมพลัง นัยน์ตาที่สุกสกาวดั่งดวงดาวคู่นั้นก็ลุ่มลึกหาใดเทียม ราวกับหากมองเขานานขึ้นอีกเพียงนิด ก็จะถลำจมลงไปในนั้นโดยไม่อาจห้ามใจได้อีกเลย
ลำพังคิ้วตาที่ชวนหวั่นไหวคู่นี้ก็เพียงพอจะทำให้บรรดาหนุ่มหน้าหวาน หนุ่มหล่อมาดแมน และหนุ่มเท่สายแฟชั่นที่ซูเพียนจื่อเคยเห็นในหนังหรือบนอินเตอร์เน็ตถูกเปรียบเทียบจนกระเด็นไปสุดขอบฟ้าแล้ว
หนุ่มน้อยชุดดำดูอายุมากกว่าเธอเพียงไม่เท่าไร ทว่าสีหน้าอันสุขุมหนักแน่นนั้นมีทั้งความสง่าเป็นผู้ใหญ่กับความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่คนในวัยเดียวกันไม่มี ซูเพียนจื่อตะลึงอยู่ชั่วครู่ค่อยฉุกคิดถึงสารรูปที่น่าอนาถของตนในเวลานี้ จึงรู้สึกอายอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
หนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้ก็คือเจิ้งเฮ่าอี้นั่นเอง เมื่อเห็นซูเพียนจื่อไม่พูดสักคำ เอาแต่จับจ้องเขาอย่างเหม่อลอย เจิ้งเฮ่าอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังยิ่งกว่าเดิม…นี่น่ะหรือเนื้อคู่ตามดวงชะตาของเขา นี่น่ะหรือคนที่ปู่เฉินอวี่พูดเป็นนัยว่าจะมากอบกู้หายนะวันสิ้นพิภพร่วมกับเขา
เห็นกันอยู่ว่านางเป็นแค่เด็กสาวที่แสนจะธรรมดา ซ้ำมีแนวโน้มเป็นคนคลั่งบุรุษเสียด้วย
เขาไม่ควรใจอ่อนชั่ววูบจนหลงกลปู่เฉินอวี่เลยจริงๆ เจ้านั่นมันผู้วิเศษกำมะลอข้อเท้าเคล็ดชัดๆ
แต่ในเมื่ออุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่แล้ว หากจากไปทันทีโดยไม่ถามให้แน่ชัดก็เหมือนจะไม่ค่อยดี เจิ้งเฮ่าอี้จึงขมวดหัวคิ้วก่อนถามย้ำอีกครั้ง
“ตกลงว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ไหน”
ทันทีที่สังเกตเห็นแววไม่ยอมรับและความผิดหวังที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งดวงตาของเขา ไฟก็ลุกพึ่บขึ้นในใจซูเพียนจื่อ แววตาเช่นนี้เธอคุ้นเคยมากเหลือเกิน เพราะมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับการเหยียดหยามดูแคลน เธอพลัดมาอยู่ในสถานที่บ้าบอแห่งนี้อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แค่ที่ถูกคนตั้งข้อรังเกียจยกใหญ่ก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว อีตานี่ถือสิทธิ์อะไรมาดูถูกคนอื่น หนำซ้ำยังใช้น้ำเสียงเหมือนกำลังสอบสวนนักโทษอีก เขานึกว่าตัวเองเป็นใครกัน!
ต่อให้รูปหล่อสักแค่ไหนก็ให้อภัยไม่ได้!
“ข้าคือชาวโลก มาจากดาวโลก แล้วก็ไม่ต้องถามข้าด้วยว่าดาวโลกคือที่ไหน เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองพลัดมาสถานที่บ้าบอนี่ได้อย่างไร” ซูเพียนจื่อตอบอย่างฉุนเฉียว
อารมณ์ร้ายเสียจริง! เจิ้งเฮ่าอี้มองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเรียบๆ “ให้ข้าดูแขนขวาของเจ้าหน่อย”
เมื่อครู่เขาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ มองดูการสนทนาระหว่างซูเพียนจื่อกับพวกปี้หลัวเซียนจื่อ เขาจึงรู้เช่นกันว่าสัญลักษณ์บนแขนซ้ายของสาวน้อยผู้นี้ไม่มีสีสัน ทว่าดูจากเส้นผมที่ยาวผิดจากคนทั่วไปนั้นแล้ว ประกอบกับพักนี้ปู่เฉินอวี่ก็พร่ำพูดอย่างมีลับลมคมในเกี่ยวกับเนื้อคู่ตามดวงชะตาและหายนะวันสิ้นพิภพอะไรนั่น เขาจึงชักไม่แน่ใจขึ้นมา
เขานึกได้ว่าเคยเห็นบันทึกในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ระบุว่าราวหมื่นปีก่อนเคยมีสัญลักษณ์พรสวรรค์ของผู้ฝึกวิชาที่เก่งกาจท่านหนึ่งปรากฏอยู่บนแขนขวาไม่ใช่แขนซ้าย ดังนั้นเขาจึงยังไม่ถอดใจ หมายจะยืนยันให้แน่ชัดอีกสักครั้ง