เมิ่งถิงฮุยชะงักมือ เลิกคิ้ว
เหยียนฟู่จือหน้าแดงก่ำ บ่นออกมาว่า “แรงมากเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปสอบอู่จวี่” เห็นเมิ่งถิงฮุยหน้าดำคล้ำทำท่าจะไล่คนอีก ก็รีบเอ่ยปาก “เจ้ายังไม่รู้ วันนี้ผู้บัญชาการสำนักศึกษามีคำพูดออกมา บอกมีคำพูดจากราชสำนัก สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้ อันดับหนึ่งในปีนี้จะได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นบัณฑิตกองอาลักษณ์!”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินแล้วอึ้งตะลึง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “จริงหรือ”
เหยียนฟู่จือเห็นนางคลายมือจึงเบียดร่างเข้ามาแล้วบอก “คำพูดนี้ยังจะโกหกเจ้าได้หรือ เช้าวันนี้เพิ่งมีขุนนางจากเมืองหลวงมาเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการสำนักศึกษา ที่พูดก็คือเรื่องนี้”
เมิ่งถิงฮุยมุ่นหัวคิ้ว แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เหยียนฟู่จือชายตามองนาง “บอกเป็นองค์รัชทายาททูลเสนอต่อฝ่าบาทว่ายี่สิบปีมานี้ในราชสำนัก ขุนนางหญิงยังไม่เคยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการก่อตั้งสำนักศึกษาสตรีในตอนนั้น ดังนั้นจึงมีคำสั่งพิเศษให้กองอาลักษณ์เพิ่มตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งสำหรับสตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ อนุญาตให้สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งเข้ากองอาลักษณ์ รับตำแหน่งเปียนซิว”
กองอาลักษณ์…
เมิ่งถิงฮุยกัดๆ ริมฝีปาก เหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ย่อมรู้ว่าสามารถเข้ากองอาลักษณ์ได้แฝงความหมายว่าอย่างไร
นับแต่รัชศกเฉียนเต๋อปีที่แปด ตั้งแต่ฮ่องเต้สนับสนุนให้กู่ชินราชบัณฑิตเฉิงจื่อของกองอาลักษณ์ขึ้นเป็นรองราชเลขาธิการฝ่ายขวาเป็นต้นมา หลายปีมานี้การเข้าร่วมจัดการงานบ้านเมืองในราชสำนัก ผู้รับผิดชอบดำเนินการของทั้งหกกรมในสิบคนมีหกถึงเจ็ดคนที่มาจากกองอาลักษณ์
ครั้งนี้ถึงกับอนุญาตให้จิ้นซื่อหญิงเข้ากองอาลักษณ์ได้ แม้เป็นเพียงเปียนซิวตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ากลุ่มขุนนางในราชสำนักกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เหยียนฟู่จือมองท่าทางของเมิ่งถิงฮุยก็รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร จึงอดขยับเข้ามาใกล้ บอกอย่างปลอบใจไม่ได้ว่า “วางใจ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีเพียงนี้ ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน…”
เมิ่งถิงฮุยสงบสติอารมณ์ พักใหญ่จึงเอ่ยเสียงต่ำ “ยังไม่พูดถึงว่าวันหน้าจะโชคดีได้เข้าสอบในวังหรือไม่ ถึงเป็นการสอบระดับมณฑลที่กำลังจะมาถึงนี้ ทางเส้นทางเฉาอันมีบุคคลที่มีความสามารถอยู่มากมาย ไม่ง่ายเหมือนพูดหรอก”
เหยียนฟู่จือมองจ้องเมิ่งถิงฮุย “คำพูดนี้ไม่คล้ายเจ้าเมิ่งถิงฮุยเป็นคนพูด! ในสำนักศึกษาสตรีชงโจวคนที่เขียนความเรียงได้ดีที่สุด หยิ่งยโสที่สุดผู้นั้นไปอยู่ที่ใดเสียแล้วเล่า ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านการสอบระดับมณฑลได้ เช่นนั้นชงโจวยังจะมีใครสามารถสอบผ่านได้” นางกะพริบตา พลันหัวเราะ “อีกอย่าง นึกถึงบุรุษชุดดำผู้นั้นของเจ้า…”
เมิ่งถิงฮุยหนังตากระตุก เงื้อมือจะตีเหยียนฟู่จือ นางพูดอย่างโมโห “ท่านนี่วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหล!”
เหยียนฟู่จือหลบพลางหัวเราะ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าในใจของเจ้าที่แท้แล้วมีความลับอะไร แต่บุรุษผู้นั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีฐานะสูงส่ง ถ้าเจ้าไม่สอบให้ได้จ้วงหยวน จะผูกสัมพันธ์กับเขาได้อย่างไร”
ใบหน้าของเมิ่งถิงฮุยแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนคว้ากระดาษปึกหนึ่งบนโต๊ะขว้างใส่นาง
เหยียนฟู่จือเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวแล้วยิ้มให้นาง จากนั้นก็หมุนตัวออกประตูไป ตอนหันมาปิดประตูก็บอกว่า “รอวันหน้าตอนเจ้าประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ดูซิว่าเจ้ายังจะตีคนหรือไม่!”
บานประตูปิดลงทันที เสียงปึงๆ สองทีสั่นสะเทือนจนหูคันยุบยิบ
นางยืนอยู่ที่เดิม หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเล็กน้อย เป็นนานจึงก้มลงเก็บกระดาษเซวียนจื่อ ที่หล่นกระจายเต็มพื้นขึ้นมา หันหน้าไปมองหนังสือที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ
เมืองหลวง…
นางหลับตาลง
ต้องไปเมืองหลวง จึงจะมีโอกาสได้พบเขาอีก
สอบให้ได้จ้วงหยวน แม้จะเป็นความฝันที่ห่างไกล แต่ก็ใช่จะทำไม่ได้