บนถนนใหญ่นอกสำนักศึกษาสตรี คนสองคนม้าสองตัวกำลังค่อยๆ ห่างออกไป
เสิ่นจือซูเอาแส้ไว้ข้างหลัง เอี้ยวตัวมองไป เมื่อมองไม่เห็นชายคาสำนักศึกษาสตรีแล้ว จึงหันหน้ามากล่าวกับบุรุษบนหลังม้าด้านข้าง “อนุญาตให้สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งเข้ากองอาลักษณ์ ครั้งนี้องค์รัชทายาททรงมีความคิดจะทำอะไร”
ไป๋ตันหย่งเป็นเพียงองครักษ์ข้างกายองค์รัชทายาท จะรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของการคัดเลือกขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร เวลานี้เขาเห็นเสิ่นจือซูเดินทางอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก็อดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ เพียงกล่าวเร่งเร้า “องค์รัชทายาทคงรอพวกเราอยู่ในเมืองนานแล้ว ใต้เท้าเสิ่น พวกเราต้องเร่งเดินทางหน่อย อย่าให้องค์รัชทายาททรงรอนาน!”
เสิ่นจือซูเห็นเขากระตุ้นม้าจะรีบไป ก็รีบขึ้นหน้าไปขวางเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าเหยเก อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงบอก “องครักษ์ไป๋ องค์รัชทายาทพระองค์…พระองค์ทรงไม่ได้อยู่ในเมืองแล้ว”
ไป๋ตันหย่งได้ยินแล้ว ใบหน้าซีดเผือดทันที “ใต้เท้าเสิ่นพูดว่ากระไรนะ”
เสิ่นจือซูยังคงหัวเราะแหะๆ “องครักษ์ไป๋ไม่ต้องร้อนใจ องค์รัชทายาททรงไปดูทางเหนือ อีกไม่กี่วันก็เสด็จกลับมา”
พอไป๋ตันหย่งได้ยินว่า ‘ไปดูทางเหนือ’ ไม่กี่คำนั้นก็โกรธจนสะบัดแส้ม้าทันที เอ่ยเสียงขรึม “ที่แท้วันนี้ที่ใต้เท้าเสิ่นให้ข้าไปสำนักศึกษาสตรีด้วยล้วนเป็นข้ออ้าง! เวลานี้ใต้เท้าเสิ่นมีฐานะเป็นขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ เหตุใดยังทำตัวเหมือนสมัยเด็กในตอนนั้น ร่วมกับองค์รัชทายาทเล่นลูกไม้ตบตาคนเช่นนี้ หลอกข้าจนหัวหมุน” หางตาเขายับย่น หันหัวม้าจะมุ่งไปทางเหนือของเมือง “คุณชายใหญ่ ครั้งนี้คงอยากให้ข้าศีรษะหลุดจากบ่ากระมัง ที่แท้แล้วองค์รัชทายาทเสด็จไปสถานที่แห่งใดของทางเหนือ”
เสิ่นจือซูเห็นเขาร้อนใจจนแม้แต่คำเรียกขานเดิมก็เรียกออกมาแล้ว จึงรีบยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อม “เหตุใดองครักษ์ไป๋จึงกล่าวเช่นนั้น องครักษ์ไป๋ก็นับได้ว่าเห็นข้าเติบโตมาตั้งแต่เล็ก ข้าจะปล่อยให้องครักษ์ไป๋มีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ได้อย่างไร เพียงแต่องค์รัชทายาทมีบัญชา ข้าก็ไม่กล้าไม่ปฏิบัติตาม นิสัยขององค์รัชทายาทเป็นเช่นไร องครักษ์ไป๋ย่อมกระจ่างแก่ใจดี หากยอมปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนเหล่านั้น ยังจะเป็นองค์รัชทายาทหรือ ส่วนที่ว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปที่ใดนั้น ตราบที่ไม่ได้รับอนุญาตจากองค์รัชทายาท ข้าจะกล้าพูดส่งเดชได้อย่างไร”
ไป๋ตันหย่งสองมือกุมสายบังเหียนแน่น หัวคิ้วขมวดแน่นอยู่เป็นนานจึงบอก “แต่ถ้าองค์รัชทายาทอยู่ทางเหนือตามลำพังแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
เสิ่นจือซูยังคงยิ้ม “องครักษ์ไป๋วางใจเถิด องค์รัชทายาทฝึกวรยุทธ์กับองครักษ์ส่วนพระองค์จากกององครักษ์หน้าพระที่นั่ง ตั้งแต่พระเยาว์ ทั้งได้รับการสั่งสอนจากผิงอ๋องด้วยตนเอง คนปกติธรรมดาไหนเลยจะสามารถทำร้ายเขาได้”
ไป๋ตันหย่งมีสีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจติดๆ กัน “เรื่องนี้…เรื่องนี้ถ้าฝ่าบาททรงทราบเรื่องเข้า ยังไม่รู้จะกริ้วเพียงใด! คุณชายใหญ่ เมื่อวานท่านกับองค์รัชทายาทร่วมมือกันแสดงละครฉากหนึ่ง แต่กลับทำให้ผู้น้อยต้องลำบากแล้ว!”
“องครักษ์ไป๋ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป” เสิ่นจือซูกระตุ้นม้าวิ่งไปข้างหน้าแล้ว “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับองค์รัชทายาทจริง ข้าจะตัดศีรษะของตนเองก่อน ให้ข้าเป็นหินรองเท้าขึ้นแท่นลงโทษขององครักษ์ไป๋ เป็นอย่างไร”
ไป๋ตันหย่งตามอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่มันเวลาอะไรแล้ว คุณชายใหญ่ยังจะพูดจาล้อเล่นเช่นนี้อีก…”
เสิ่นจือซูยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงเลิกคิ้วเอียงศีรษะ มองไปยังทิวเขาที่อยู่ห่างไกลนอกเมืองทางด้านเหนือ
ยอดเขาสีน้ำตาลอมแดงมีสีเขียวแซมซ่อนตัวอยู่กลางปุยเมฆขาวละเอียดดุจใยฝ้าย
เขาหลุบตาลง เส้นทางไปค่ายใหญ่ชิงโจว เพียงเกรงว่าคงจะไม่ได้ดังใจนัก…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.