ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 4
บทที่ 4
เริ่มจากนั่งรถเทียมวัวจากเมืองชงโจวมาถึงเมืองอู๋เทียน จากอู๋เทียนก็เดินทางทางน้ำไปโซ่วโจว สุดท้ายก็ร่วมเช่ารถม้ากับผู้อื่นตรงไปยังเมืองหลวง
วันที่เข้าสู่เมืองหลวงคือวันที่แปดเดือนสี่ เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธองค์พอดี วัดใหญ่ทั้งเก้าแห่งในเมืองหลวงต่างจัดให้มีการสรงน้ำพระทำบุญเลี้ยงพระ แจกน้ำพระพุทธมนต์ที่ใช้สมุนไพรหอมต้มกับน้ำตาลให้กับคนที่มาวัด บนท้องถนนในเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดอกทับทิมผลิบาน ต้นหลิวแตกกิ่งอ่อน อากาศแจ่มใสอบอุ่น สายลมบางเบาพัดโชยเอื่อย ธงทิวหลากสีสันพลิ้วไหว ปานประหนึ่งยุคสมัยที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข
เมิ่งถิงฮุยลงจากรถม้า ช้อนตาขึ้นก็เห็นหอสูงสามชั้นตรงมุมถนนหลังนั้น ที่นั่นคือหอสุราอี๋ไท่ที่ใหญ่โตรโหฐาน นางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วจึงคว้าห่อสัมภาระเดินไปข้างหน้า
แต่ไรมาก็ได้ยินว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง จะนึกภาพต่างๆ ออกได้อย่างไร
เสี่ยวเอ้อร์ที่หน้าประตูหอสุราอี๋ไท่เห็นนางแล้วก็เดินเข้ามาต้อนรับแต่ไกล ยิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง “แม่นางมาเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีที่กรมพิธีการกระมัง” ครั้นเห็นเมิ่งถิงฮุยพยักหน้า เขาก็ผายมือ “แม่นาง เชิญด้านใน”
เมิ่งถิงฮุยเดินเข้าไป เห็นห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของหอสุราสงบเงียบยิ่งก็อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ “คงไม่ใช่เพราะจวี่เหรินสตรีที่มาสอบที่กรมพิธีการต่างต้องเข้าพักที่หอสุราอี๋ไท่ หอสุราอี๋ไท่จึงไม่เปิดทำการจนกว่าการสอบของกรมพิธีการจะเสร็จสิ้นกระมัง”
เสี่ยวเอ้อร์รับห่อสัมภาระของนางมา พานางเดินไปที่หน้าโต๊ะบัญชี สั่นศีรษะพลางกล่าวยิ้มๆ “แม่นางมาจากเมืองอื่น ไม่รู้ถึงธรรมเนียมและความเคยชินในเมืองหลวง วันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธองค์ ในเมืองผู้คนมากมายต่างไปวัดกันแต่เช้า รับน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยเหตุนี้หอสุราจึงมีแขกน้อย”
ครานี้เมิ่งถิงฮุยจึงได้เข้าใจแล้ว ยิ้มพลางเดินไปที่หน้าโต๊ะบัญชีในห้องโถงใหญ่ กล่าวกับหลงจู๊ “เมิ่งถิงฮุย เมืองชงโจว เฉาอันเป่ยลู่”
หลงจู๊มองนางแวบหนึ่ง หมุนตัวไปหยิบจดหมายจากโต๊ะด้านหลังมาฉบับหนึ่งแล้วยื่นให้นาง “เพิ่งมาถึงเมื่อวาน ข้ายังสงสัยอยู่พอดี เหตุใดหอสุราอี๋ไท่ยังไม่มีคนผู้นี้เข้ามาพักเลย”
เมิ่งถิงฮุยประหลาดใจ รับจดหมายมาแล้วเปิดออกอ่าน
กระดาษจดหมายบางๆ แผ่นหนึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรที่กำเริบเสิบสานและโอหังอวดดี คำพูดมากมายตำหนินางที่จากมาโดยไม่บอกลา ประโยคสุดท้ายจึงบอกว่ารักษาตัวให้ดี
นางอมยิ้มมุมปาก สายตากวาดมองไปยังจุดที่ลงชื่อ
อันที่จริงไม่ต้องดูก็รู้ คนที่เขียนจดหมายเช่นนี้ให้นางได้ นอกจากเหยียนฟู่จือแล้วยังจะมีใครได้อีก
จากมาโดยไม่บอกลาเป็นนางทำไม่ถูก แต่ชีวิตนี้เรื่องที่นางทำไม่เป็นมากที่สุดก็คือการบอกลา
บอกลาแล้วจะมีประโยชน์อะไร
นับแต่นี้อยู่ห่างไกลกันคนละแห่ง หากมีวาสนาต่อกันย่อมได้พบกันอีก
ก็เหมือนกับ…
ในสมองของเมิ่งถิงฮุยเพิ่งมีเงาร่างคนผู้หนึ่งวาบผ่าน ความคิดกลับถูกคนขัดจังหวะ…
“เจ้าก็คือเมิ่งถิงฮุย คนที่องค์รัชทายาททรงเลือกให้เป็นเจี้ยหยวนของเฉาอันเป่ยลู่ผู้นั้นใช่หรือไม่”
ในห้องโถงใหญ่ไม่รู้มีสตรีในชุดเรียบๆ หลายคนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร หนึ่งในนั้นกำลังแทรกมาที่ข้างกายนาง ยามเห็นชื่อที่หลงจู๊เขียนลงไป ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
เมิ่งถิงฮุยคิดไปคิดมาแล้วผงกศีรษะน้อยๆ “แม่นาง…”
คำพูดยังกล่าวไม่จบ สตรีผู้นั้นก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นตะลึง “เจ้าก็คือเมิ่งถิงฮุยจริงๆ?!”
เมิ่งถิงฮุยย่นหัวคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
สตรีหลายคนต่างกระซิบกระซาบกันหลายคำ แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ กับนาง “จวี่เหรินสตรีจากเส้นทางต่างล้วนมาถึงกันหลายวันแล้ว มีคนพูดถึงชื่อของเจ้าไปทั่วหอสุราอี๋ไท่ตั้งแต่แรก”
เมิ่งถิงฮุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้ นั่งรถม้ามาตลอดทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านัก ขอให้ข้าไปพักผ่อนก่อน แล้วค่อยมาคุยเล่นกับแม่นางทั้งหลาย”
นางถามเสี่ยวเอ้อร์ไปสองคำ แล้วหิ้วสัมภาระขึ้นไปชั้นบน
หลายคนนั้นยังคงแอบกระซิบกระซาบกัน…
“ก็แค่เจอโชคใหญ่เท่านั้น มีอันใดต้องหยิ่งยโสกัน”
“พูดได้ถูกต้อง หลายปีมานี้เฉาอันเป่ยลู่ไม่เคยมีจ้วงหยวนหญิงปรากฏ ถึงนางจะเป็นเจี้ยหยวนของเฉาอันเป่ยลู่แล้วอย่างไร ไม่แน่ความเรียงอาจจะยังสู้จวี่เหรินของเส้นทางต่างๆ แถบเมืองหลวงที่เขียนส่งๆ ไม่ได้ก็เป็นได้!”
“คนที่มาเมืองหลวงเข้าสอบของกรมพิธีการได้ คนใดบ้างไม่ใช่ผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง รอดูกันต่อไปเถิด ตอนกรมพิธีการปิดประกาศนางจะสอบเป็นก้งเซิง ได้หรือไม่”
เมิ่งถิงฮุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเดินขึ้นไปข้างบน ตอนผลักประตูเข้าไป สีหน้าจึงปรากฏความไม่พอใจ
ห้องแม้จะเล็กแต่ก็สะอาดเรียบร้อย
นางวางสัมภาระลง จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
ม่านมุ้งลายดอกเล็กๆ สั่นไหวทำท่าจะหล่นอยู่เหนือศีรษะ ตะขอแขวนสีทองสาดประกายวิบวับเล็กน้อย หน้าต่างเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ยังคงได้กลิ่นหอมหวานจางๆ ของสุราต้มที่ร้องขายอยู่บนถนนด้านนอก
นางหลับตา นิ้วมือลูบเตียงที่ทำจากไม้แดงเบาๆ
ยังไม่ทันเปิดสอบนางก็ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน ลำพังคำเล่าลือที่องค์รัชทายาทเจาะจงให้นางเป็นเจี้ยหยวนประโยคเดียวก็ผลักนางขึ้นไปอยู่ปลายยอดคลื่นแล้ว
ความคิดขององค์รัชทายาทผู้นี้แม้จะยากแก่การคาดเดา แต่ก็ใช่ว่านางจะคาดเดาไม่ออกเลย
เจาะจงให้นางที่ถูกคัดชื่อออกไปแล้วเป็นเจี้ยหยวน จิตใจที่ถนอมผู้มีความรู้ความสามารถย่อมมี แต่จุดประสงค์ของการเผยแพร่ความเมตตานี้ออกไปจนทุกคนในเฉาอันต่างรู้กันทั่ว เห็นชัดว่าเป็นเพราะเขาไม่ชอบวิธีการที่มุ่งมั่นต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งของนาง และต้องการให้นางที่ได้รับ ‘ชื่อเสียง’ อย่างที่ปรารถนาถูกผู้คนตั้งข้อสงสัยและวิจารณ์อย่างรุนแรงถึงความรู้ความสามารถของนาง
นี่เป็น ‘บททดสอบ’ ครั้งหนึ่งของนาง
บางทีเขาอาจคิดอยากจะดูว่าภายใต้สถานการณ์ที่ต้องแบกรับภาระทางจิตใจที่หนักหน่วงเช่นนี้ บนเส้นทางของจิ้นซื่อเคอจวี่เส้นนี้ นางจะสามารถเดินไปได้ไกลเพียงใด รวมถึงความรู้ความสามารถและความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้าที่อยู่ในใจของนางเหล่านั้น จะสามารถทำให้คนมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้งได้หรือไม่