ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 4
ช่วงอาหารกลางวัน ชั้นหนึ่งชั้นสองของหอสุราอี๋ไท่ดูคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
บรรดาผู้คนที่ไปวัดไหว้พระในตอนเช้าจำนวนมากกลับเข้ามาแล้ว รวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่าง พูดคุยหัวเราะกันถึงเรื่องน่าสนุกที่ได้ยินได้ฟังมาจากในเมืองวันนี้ จวี่เหรินสตรีที่พักอยู่ในหอสุราอี๋ไท่รอสอบจำนวนหนึ่งก็จับกลุ่มกันสองคนสามคนลงมากินข้าว เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู
ตอนเมิ่งถิงฮุยลงมา ผู้คนที่นั่งอยู่รอบด้านมีทั้งชายหญิง คนชราและเด็ก ต่างพูดคุยกันเซ็งแซ่ นางเลือกที่นั่งตรงมุมหนึ่งแล้วนั่งลง สั่งโจ๊กมาชามหนึ่งกับผัดผักอีกจานหนึ่ง นั่งกินช้าๆ อยู่คนเดียว เงี่ยหูฟังว่าคนรอบข้างพูดคุยเรื่องอะไรกัน
มีคนบอก “เมื่อเช้านี้ไปวัดไท่ฉางทางตะวันตกของเมือง เห็นมีคนไม่น้อยตั้งใจมาจากเมืองและอำเภอในละแวกใกล้เคียงเมืองหลวง เพื่อจะได้รับแบ่งปันน้ำพระพุทธมนต์!”
“กล่าวกันว่าน้ำพระพุทธมนต์ที่วัดไท่ฉางมอบให้ผู้ที่มาทำบุญไหว้พระต้องส่งเข้าวังด้วย ในเมื่อฮ่องเต้เสวย ทุกคนย่อมอยากจะสัมผัสไอมังกรนี้ด้วย”
“หลายปีมานี้ใต้หล้ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ฮ่องเต้ก็เข้าพระทัยและทรงมีพระเมตตาต่อราษฎร ไม่ระดมกำลังทหาร ไม่เพิ่มภาษี พักนี้ได้ยินว่าชายแดนทางเหนือจะเปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้ากับแคว้นเป่ยเจี่ยน อยากให้วันเวลาสงบสุขเช่นนี้ตลอดไปจริงๆ…”
“นี่ พวกท่านเคยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ รอองค์รัชทายาทแต่งตั้งพระชายาแล้ว ฮ่องเต้ก็จะสละราชบัลลังก์ส่งต่ออำนาจแล้ว!”
“ข่าวลือจากที่ใดกัน”
“ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือไม่ เพียงพูดถึงตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท พวกท่านลองคิดดู บุตรสาวของผู้มีบรรดาศักดิ์ระดับอ๋องระดับกงบ้านใดที่จะมีวาสนาเช่นนี้”
“นี่ยังต้องพูดอีกหรือ นอกจากบุตรสาวสกุลเสิ่นแล้วก็ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้!”
“สกุลเสิ่นไหนหรือ”
“ยังจะเป็นสกุลเสิ่นไหนได้อีก ย่อมเป็นบุตรสาวของเสิ่นไท่ฟู่…”
คนทั้งโต๊ะต่างจุปากพยักหน้า “ก็จริง ตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อติดตามฮ่องเต้เสด็จนำทัพออกรบ เคยสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง เสิ่นไท่ฟู่กับฮ่องเต้ก็เป็นขุนนางกับกษัตริย์ที่เข้ากันได้ดีมาหลายสิบปี ถ้าพูดถึงไมตรีจิตกับราชวงศ์ ในราชสำนักใครสามารถเทียบเคียงได้ ใครกล้าเทียบเคียง บุตรสาวสกุลเสิ่นกับพี่ชายของนางก็เล่นอยู่ในวังด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต ความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทยิ่งไม่ตื้นเขิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีอิ่งกั๋วฮูหยินมารดาบุญธรรมผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นพระญาติผู้สูงศักดิ์ อีกประการหนึ่ง บุตรสาวสกุลเสิ่นอายุยี่สิบแล้วยังไม่ได้หมั้นหมายกับใคร พวกท่านลองว่ามาซินี่เพราะสาเหตุใด ย่อมเป็นเพราะรอตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว…”
ระหว่างพูดอยู่นั้นมีจวี่เหรินสตรีหลายคนกลับมาจากข้างนอก หลังจากนั่งลงสีหน้าก็ดูเซื่องซึม ท่าทางกลัดกลุ้มไม่มีความสุข
บรรดาสตรีที่กินอาหารอยู่ด้านข้างเห็นแล้วจึงพากันเข้ามาถาม “เป็นอย่างไร ใต้เท้ากู่ยอมรับเทียบเข้าเยี่ยมคารวะหรือไม่”
สตรีผู้หนึ่งชายตาเยียบเย็นมองทุกคนวาบหนึ่ง “รับอะไรกัน ใต้เท้ากู่เป็นผู้ใด นั่นเป็นคนที่นอกจากผิงอ๋องแล้ว ไม่ว่ามิตรไมตรีของใครก็ไม่มองทั้งนั้น!” นางหยุดไปชั่วขณะ แล้วมุ่ยปากบอก “การสอบของกรมพิธีการในครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงให้ใต้เท้ากู่เป็นขุนนางผู้คุมสอบ ข้าว่าทุกท่านอย่าได้สิ้นเปลืองเวลาเลย มีเวลาก็อ่านหนังสือให้มาก อย่าเพ้อฝันว่าจะสามารถยื่นเทียบถามทางล่วงหน้าเลย!”
เหล่าสตรีต่างทอดถอนใจ กลับไปนั่งอย่างผิดหวัง
เมิ่งถิงฮุยฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ค่อยๆ วางตะเกียบในมือลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากเบาๆ เตรียมจะลุกขึ้นกลับไปข้างบน
ในกลุ่มคนโต๊ะด้านข้างที่เมื่อครู่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแต่งตั้งพระชายา มีคนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ดูนั่น เพิ่งพูดถึงอยู่เชียว มาแล้วนั่น!”
“ใครมาแล้ว หรือว่าบุตรสาวสกุลเสิ่น…”
“จุ ไม่เห็นรถม้าที่เพิ่งหยุดอยู่นอกหอสุราอี๋ไท่คันนั้นหรือ สี่ล้อพระราชทาน! หญิงสาวที่ลงมาจากบนรถผู้นั้นก็คือนางมิใช่หรือ!”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินแล้วหมุนตัวกลับมามองไปที่หน้าประตูหอสุราอี๋ไท่
หญิงสาวสวมกระโปรงร้อยจีบสีแดงอมส้ม แขนเสื้อโปร่งบางบดบังกำไลหยก เสื้อคลุมผ่าหน้าปักหมุดทองสองแถวยาวคลุมเข่าพอดี ด้านหลังศีรษะเกล้ามวยผมทรงเมฆไหล ที่กำลังเป็นที่นิยมในราชสำนักไว้หลวมๆ กำลังก้าวช้าๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา
พอนางปรากฏตัวขึ้น ประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเข้าหาชายฝั่ง ใบไม้สั่นไหว ชั่วขณะนั้นได้ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ข้างในมารวมอยู่ที่ตัวนางทั้งหมด
หลงจู๊ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเสิ่นไม่ใช่บอกจะมาช่วงเย็นหรือขอรับ ทางข้านี้ยังจัดเตรียมให้ใต้เท้าไม่เรียบร้อย…” เขาหมุนตัวไปเรียกคน “รีบไปเร่งที่ครัวด้านหลัง!”
หญิงสาวยิ้มบางๆ บอก “วันนี้มารดาที่บ้านไม่ค่อยสบาย ไม่ได้ไปวัด ดังนั้นข้าจึงมาก่อนเวลา หลงจู๊ไม่ต้องรีบร้อน ข้ารออยู่ที่นี่ได้ไม่เป็นไร” จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วนั่งลงบนที่นั่ง รอคนเอาของมาให้
คิ้วตรงนัยน์ตาโต ริมฝีปากบางแดงดุจลูกอิงเถา สีผิวไม่ขาวมาก แม้หว่างคิ้วจะมีประกายความองอาจห้าวหาญ แต่ก็ยังคงงดงามยิ่ง
เมิ่งถิงฮุยมองจนเหม่อลอยเล็กน้อย รู้สึกว่าหน้าตาของสตรีที่อยู่ตรงหน้าออกจะคุ้นตา คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน แต่ก็รู้แก่ใจดีว่าตนกับอีกฝ่ายไม่รู้จักกัน
นางแอบคิดในใจ คงมีเพียงหญิงงามในวงศ์ตระกูลที่โดดเด่นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรกับองค์รัชทายาทที่อาณาประชาราษฎร์จับตามองผู้นั้น
ในบรรดาจวี่เหรินสตรีที่อยู่ด้านข้างมีคนพูดเสียงแผ่วเบา “ได้ยินว่าเดือนที่แล้วนางเพิ่งเข้าทำงานในฝ่ายจื๋อฟางซือ ของกรมทหาร ทั้งฮ่องเต้ทรงประทานพระเมตตาเป็นพิเศษ นางมีท่วงทีกิริยาเฉกเช่นมารดาของนางในปีนั้น เวลานี้บุตรชายหญิงคู่หนึ่งของสกุลเสิ่นต่างก็เป็นขุนนางในราชสำนัก เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลอย่างแท้จริง”
“แม้จะบอกว่าต่างก็เป็น ‘ใต้เท้าเสิ่น’ แต่ใต้เท้าเสิ่นท่านนี้รู้จักการเป็นขุนนางมากกว่าพี่ชายของนาง” คนที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้น ฟังสำเนียงแล้วคล้ายมาจากเส้นทางต่างๆ ใกล้เมืองหลวง คิดว่าคงเข้าใจเรื่องราวในราชสำนักดี “กล่าวกันว่าอุปนิสัยองอาจ แต่ก็ยังคงมีท่วงทีกิริยาที่อ่อนหวานงดงาม แม้แต่เหล่าขุนนางเก่าของสำนักหลักทั้งสองหกกรมก็ยังชื่นชมนางไม่ขาดปาก”
เมิ่งถิงฮุยเม้มๆ ปาก หมุนตัวกลับที่นั่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คีบผักไม่กี่ชิ้นที่ยังกินไม่หมดส่งเข้าปาก
หญิงสาวผู้นั้นนั่งเงียบๆ ตรงปากประตูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันหน้ามองมาทางนี้
การมองครั้งนี้ทำให้บรรดาคนที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้เหล่านั้นต่างปิดปากเงียบทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็พากันลุกขึ้นเดินกลับขึ้นไปข้างบน