ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 4
เมิ่งถิงฮุยหลุบตาแล้วก็เหลือบตาขึ้น มองสบสายตากับนาง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
“ใต้เท้าเสิ่น”
นางยืนอยู่ข้างโต๊ะ กล่าวเสียงเบาอย่างสุภาพมีมารยาท
เสิ่นจือหลี่แพขนตาขยับไหว ดวงตามองสบนาง “ท่านคือ…”
เมิ่งถิงฮุยก้มหน้าเล็กน้อย เสียงยังคงแผ่วเบา “ข้าน้อยเมิ่งถิงฮุย มาเมืองหลวงครั้งนี้เพื่อจะสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการ ข้าน้อยได้ยินชื่อของใต้เท้าเสิ่นมานาน เมื่อครู่ได้ยินคนพูดคุยกันถึงได้รู้ว่าใต้เท้าอยู่ที่นี่ จึงไม่อยากพลาดโอกาส ถ้ามีอะไรล่วงเกินไปยังหวังว่าใต้เท้าจะให้อภัย”
เสิ่นจือหลี่มองประเมินนางแล้วเอ่ยถาม “ใช่เมิ่งถิงฮุยแห่งเฉาอันเป่ยลู่หรือไม่”
เมิ่งถิงฮุยพยักหน้าน้อยๆ “เป็นข้าน้อยเอง”
เสิ่นจือหลี่ชี้ไปที่ข้างกาย กล่าวยิ้มๆ “นั่งสิ”
นางก็นั่งลงตามที่เสิ่นจือหลี่บอก จากนั้นหยิบเทียบบางฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงที่มุมโต๊ะเบาๆ “ต่างบอกใต้เท้าเสิ่นเชี่ยวชาญโคลงกลอน ข้าน้อยไร้ความสามารถ วันนี้เห็นเมืองหลวงคึกคักเจริญรุ่งเรือง มีความประทับใจมาก จึงเกิดแรงบันดาลใจแต่งกลอนเล็กๆ ขึ้นสองบท หวังว่าใต้เท้าเสิ่นจะช่วยให้คำชี้แนะสักเล็กน้อย”
เสิ่นจือหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอื้อมมือมาหยิบเทียบฉบับนั้นไป ทว่ากลับไม่ได้เปิดออกดู เพียงคีบไว้ตรงหว่างนิ้วเล่น เป็นนานจึงบอก “ก่อนหน้านี้ตอนข้าได้ยินเรื่องการสอบระดับมณฑลของท่านที่เฉาอันเป่ยลู่ เข้าใจว่าท่านจะต้องเป็นคนโอหังตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง ไม่เห็นคุณค่าของการยื่นเทียบผูกไมตรีเช่นนี้ ที่ไหนได้ข้าคิดผิดไปแล้ว”
นางมองเมิ่งถิงฮุย ผลักเทียบกลับมาโดยไม่ได้เปิดอ่าน “เพียงเสียดายที่ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบของกรมพิธีการในครั้งนี้แม้แต่น้อย แม่นางเมิ่งผูกไมตรีผิดคนแล้ว”
เมิ่งถิงฮุยหน้าไม่เปลี่ยนสี กล่าวเสียงเบา “เพียงเกรงว่าถ้าข้าน้อยเป็นคนโอหังตรงไปตรงมาจริง ใต้เท้าเสิ่นกลับจะมองไม่ขึ้นเสียมากกว่า นี่ก็แค่กลอนเล็กๆ สองบทเท่านั้น ใต้เท้าเสิ่นมีจิตใจระแวดระวังมากเกินไปแล้ว”
เสิ่นจือหลี่มองจ้องเมิ่งถิงฮุยอยู่พักใหญ่ ริมฝีปากแดงพลันหยักยกขึ้น “แม่นางพูดได้ถูกต้องแล้ว” นางหยิบเทียบกลับมาเปิดออกดูพลางบอก “ในราชสำนักแต่ไรมาไม่ขาดคนโอหังตรงไปตรงมา แต่คนที่สายน้ำใสสะอาดก็ถากถาง สายน้ำที่ขุ่นและสกปรกก็โจมตี แต่ไรมาอยู่ในแวดวงขุนนางล้วนไม่ได้รับความชื่นชอบ กระทั่งยืนยังยืนไม่มั่นคง มีความรู้ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและประชาราษฎร์อย่างเสียเปล่าจะมีประโยชน์อันใด น่าเสียดาย เหตุผลข้อนี้ถึงกับมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจ”
เมิ่งถิงฮุยยังคงกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณใต้เท้าเสิ่น”
เสิ่นจือหลี่อ่านจบก็เปล่งเสียงชื่นชม “แม่นางเมิ่งมีความสามารถด้านวรรณศิลป์อย่างแท้จริง” นางช้อนตาขึ้นยิ้มๆ “อย่าเรียกข้าว่า ‘ใต้เท้าเสิ่น’ เลย ข้ามีชื่อสองคำว่า ‘จือหลี่’ ชื่อรองว่า ‘เล่อเยียน’ ต่อไปแม่นางเมิ่งเรียกข้าว่าเล่อเยียนเถิด ด้วยความรู้ความสามารถของแม่นางเมิ่ง การมีชื่อในแผ่นประกาศทอง ของการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้มีอันใดยากเล่า ถึงตอนนั้นแม่นางเมิ่งกับข้าต่างเป็นขุนนางในราชสำนัก ยังหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือประคับประคองซึ่งกันและกันจึงจะดี”
เมิ่งถิงฮุยรีบลุกขึ้น “มิกล้า”
เสิ่นจือหลี่ยังทำท่าจะพูดอะไรต่อ ก็เห็นมีคนวิ่งเหยาะๆ ออกมาจากด้านหลังหอสุรา ในมือหิ้วห่อกระดาษน้ำมันมาสองห่อ กล่าวกับหลงจู๊ “หลงจู๊ ห่อเสร็จแล้วขอรับ”
นางจึงยืนขึ้นมา ยิ้มพลางหันไปกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ในบ้านมีธุระ ข้าไม่อาจอยู่นาน รอวันประกาศผลสอบค่อยไปพบกับแม่นางเมิ่งที่นอกที่ทำการกรมพิธีการอีกครั้ง”
เมิ่งถิงฮุยพยักหน้า ยกมือขึ้นทำความเคารพตอบ มองส่งนางจากไป
รอจนรถม้าสี่ล้อคันนั้นจากไปจนมองไม่เห็นแล้ว นางจึงหลุบตาลง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มจางๆ หมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นบน
นอกจวนสกุลเสิ่นดอกทับทิมส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ปุยเมฆกระจายอยู่บางเบา เงียบสงบยิ่ง
บ่าวรับใช้ที่หน้าประตูเห็นเสิ่นจือหลี่ลงมาจากรถม้าก็รีบเข้าไปต้อนรับ “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว” แล้วรับสิ่งของในมือเสิ่นจือหลี่ เดินตามหลังเข้าประตูไป
เสิ่นจือหลี่จัดๆ เส้นผมรุ่ยร่ายที่ข้างหู สั่งกำชับว่า “ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่คุณชายใหญ่ชอบกิน ประเดี๋ยวเจอไท่ฟู่อย่าบอกว่าข้าเป็นคนซื้อมา เพียงบอกผู้อื่นได้ยินว่าคุณชายใหญ่กลับเมืองหลวงวันนี้จึงส่งมาที่บ้านก็แล้วกัน”
บ่าวรับใช้นิ่งเงียบ เดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่ส่งเสียงแม้คำเดียว
นางเดินพลางกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นในจวนเงียบเหงายิ่ง ก็รู้สึกไม่ถูกต้อง จึงหันไปถาม “อย่างไรกัน คุณชายใหญ่ยังไม่กลับมาจวนหรือ ไม่ใช่บอกฟ้ายังไม่สว่างก็มาถึงนอกเมืองแล้ว หรือหลังจากนั้นเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับองค์รัชทายาท?”
บ่าวรับใช้เดินขึ้นมาหลายก้าว กล่าวเสียงเบา “กลับมาแล้วขอรับ เพียงแต่คุณชายใหญ่โกรธไท่ฟู่อยู่ แม้แต่อาหารต้อนรับที่ฮูหยินจัดเตรียมให้เขาเป็นพิเศษก็ยังไม่ยอมกินสักคำเดียว”
เสิ่นจือหลี่ประหลาดใจ “เพราะเรื่องอันใดหรือ”
บ่าวรับใช้อ้ำอึ้งอยู่นาน ท่าทางไม่กล้าพูด กระทั่งเห็นนางเปลี่ยนสีหน้า จึงกล่าวอย่างลำบากใจ “ได้ยินว่า…ได้ยินว่าคุณชายใหญ่จะไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวงแล้ว ที่เฉาอันเป่ยลู่ ชิงโจว!”
เสิ่นจือหลี่อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ หัวคิ้วขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่เรือนด้านหลัง ตรงไปยังห้องพักของเสิ่นจือซู
กิ่งหลิวห้อยลงมาที่ระเบียงทางเดิน มีเสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บเสียงกระพือปีก ประตูห้องที่สามด้านตะวันออกของเรือนด้านหลังปิดสนิท ข้างนอกไม่มีบ่าวรับใช้เฝ้าอยู่แม้แต่คนเดียว