นางผลักประตูเดินเข้าไป
ผ้าม่านในห้องด้านในสั่นไหว เสิ่นจือซูเดินออกมา หัวคิ้วขมวดมุ่น “ไม่เชิญไม่ถามก็เข้ามาห้องพักผู้อื่น มารยาทอยู่ที่ใด” เขาพูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง ชายเสื้อคลุมผ้าดิ้นปิดคลุมลงมาที่หัวเข่า ขายาวงออยู่ครึ่งหนึ่ง ท่าทางกลัดกลุ้ม
เสิ่นจือหลี่หันกลับไปปิดประตู จากนั้นก็หันกลับมามองจ้องเขา “เรื่องที่ให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองชิงโจว เป็นความคิดของท่านพ่อหรือ”
เสิ่นจือซูชายตามองนางแวบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นชาออกมาสองคำ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เสิ่นจือหลี่ถามต่อ “ท่านไม่เต็มใจไป”
โครม!
ที่ทับกระดาษบนโต๊ะถูกเขากวาดร่วงลงกับพื้น
นางตกใจ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
เสิ่นจือซูลุกขึ้นยืน พูดด้วยความโมโห “จะไม่เต็มใจไปได้อย่างไร ตอนยังอยู่เมืองชงโจว ข้าก็ทูลองค์รัชทายาทแล้ว ถ้าไม่วางใจเหล่าขุนนางในกองบัญชาการอันฝู่ที่เฉาอันเป่ยลู่กลุ่มนั้น ก็ให้ข้าไปชิงโจวจับตาดูเส้นทางชายแดนทางเหนือได้!” เขายกเท้าถีบที่ทับกระดาษนั่นอีกครั้ง “ใครเลยจะคาดคิด ไม่รอข้ากลับเมืองหลวงไปกราบทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง ท่านพ่อก็เป็นฝ่ายไปทูลขอให้ข้าไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวง ไปชิงโจว!”
เสิ่นจือหลี่เลิกคิ้ว รอเขาพูดต่อ
เขาตวัดชายเสื้อคลุมหมุนตัวกลับมา ยังคงมีท่าทางโกรธมาก “เสิ่นไท่ฟู่ทำเพื่อบ้านเมือง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ เพื่อราชสำนัก เพื่อฝ่าบาท ยินยอมให้บุตรชายเพียงคนเดียวของตนไปชายแดนทางเหนืออุทิศตนรับใช้ราชสำนัก…แม้แต่เรื่องนี้ก็เป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เสิ่นไท่ฟู่!”
เสิ่นจือหลี่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก้มลงเก็บที่ทับกระดาษขึ้นมา “เพื่อเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็คู่ควรให้ท่านโกรธท่านพ่อด้วยหรือ”
นางเห็นเขายังเดือดดาลอยู่มาก ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ได้ยินว่าวันนี้ท่านกลับเมืองหลวงมา ข้ายังตั้งใจไปหอสุราอี๋ไท่ซื้อของว่างหลายอย่างที่ท่านชอบกินกลับมา ประเดี๋ยวท่านก็ไปที่ห้องครัวดูเอาเถิด”
เสิ่นจือซูหันหน้ามา เห็นนางจะเดินออกไปข้างนอก ทั้งฟังจากน้ำเสียงนางไม่คล้ายจะรั้งอยู่ที่จวน ก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ “นี่เจ้าคิดจะไปที่ใดอีก”
นางชะงักเล็กน้อย ก่อนบอกเสียงเบา “ไปจวนท่านกู่”
เขาได้ยินแล้วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเดินเข้าไปหา พูดเสียงต่ำอยู่ด้านหลังศีรษะนาง “ฮูหยินของท่านกู่เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน เจ้าไปในเวลานี้ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเกินไปแล้ว”
เสิ่นจือหลี่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหน้ามา หางตาแดงเล็กน้อย “อะไรคือไม่ถูกทำนองคลองธรรม”
เสิ่นจือซูร้อนใจขึ้นมา “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดเจ้ายังมีความคิดเช่นนี้ ถ้าให้ท่านพ่อรู้เข้า เจ้า…”
นางยิ้มหยัน “ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าอยู่ดีก็เชิญไปบอกท่านพ่อท่านแม่ได้เลย” พูดจบนางก็เดินไปผลักประตูจะจากไป
เขาคว้าแขนนางไว้ กล่าวเสียงต่ำ “เสิ่นจือหลี่ ที่ข้าทำเช่นนี้ไยมิใช่เพราะหวังดีต่อเจ้า!”
นางสะบัดเขาออกอย่างแรง “ท่านวางใจได้ ข้าไปครั้งนี้ก็แค่ช่วยผู้อื่นยื่นเทียบให้ท่านกู่เท่านั้น ไม่ได้จะไปทำเรื่องที่ทำให้คนดูถูกเหล่านั้น!”
ทางใต้ของเมือง แถบตรอกซานเหมินส่วนใหญ่เป็นจวนที่พักอาศัยของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ จวนโอ่อ่ากำแพงสูงประตูแดงตั้งอยู่ติดกัน มีเพียงจวนสกุลกู่ที่ค่อนข้างเรียบง่าย หากไม่มีแผ่นป้ายพระราชทานสีแดงแขวนไว้สูงบนหน้าประตูที่นอกลานเรือน คงไม่มีใครเดาได้ว่าที่นี่คือจวนของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย
สายลมบางเบาพัดผ่านทางเดิน ถนนมืดสลัวเงียบวิเวก ปุยเมฆบนท้องฟ้านุ่มนวลดุจใยไหมคล้ายจะร่วงหล่นลงมา
เสิ่นจือหลี่เดินตามหลังบ่าวรับใช้ของจวนสกุลกู่ไปช้าๆ ใจก็คล้ายปุยเมฆอ่อนนุ่มบนท้องฟ้าเช่นนั้น นุ่มนิ่มรวมอยู่ด้วยกันเป็นก้อน ล่องลอยเบาๆ ขึ้นลงซ้ายขวาอยู่ในช่องอก
“เดิมทีหลายวันมานี้นายท่านไม่พบแขกข้างนอก แต่เมื่อครู่เห็นเทียบนามของใต้เท้าเสิ่นก็ผ่อนปรนให้เป็นกรณีพิเศษ” บ่าวรับใช้เดินพลางกล่าวกับนาง น้ำเสียงเจือรอยยิ้ม
เสิ่นจือหลี่หลุบตามองเศษหญ้าที่ใต้ฝ่าเท้า “หลายวันมานี้จวี่เหรินสตรีที่มายื่นเทียบขอเข้าเยี่ยมคารวะที่จวนคงมีไม่น้อยเลยกระมัง”
“หรือมิใช่เล่าขอรับ!” บ่าวรับใช้เลิกคิ้ว “นับแต่มีราชโองการแต่งตั้งนายท่านเป็นขุนนางผู้คุมสอบลงมา ธรณีประตูของจวนก็แทบจะถูกคนเหยียบราบแล้ว”
นางยิ้มๆ “ด้วยนิสัยนายท่านของพวกเจ้า ปิดประตูไม่รับแขกก็ชอบด้วยเหตุผล”
บ่าวรับใช้เดินวนโค้งระเบียงทางเดินไปอย่างชื่นมื่น ชี้ไปที่ห้องโถงเล็กที่ด้านหน้า “เมื่อครู่นายท่านวาดภาพอยู่ที่โถงบุปผา ใต้เท้าเสิ่นเข้าไปเองเถิด บ่าวจะไปจัดเตรียมน้ำชามาให้ใต้เท้า”
เสิ่นจือหลี่เงยหน้ามองไป กระเบื้องสีเขียวบนหลังคาห้องโถงสะท้อนแสงอาทิตย์ แสบร้อนดวงตาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลง เดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วหันกลับมาเรียกคนผู้นั้นไว้ “ข้ามาที่นี่เพื่อจะพูดกับท่านกู่ไม่กี่คำ น้ำชาก็ไม่ต้องแล้ว”