ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 4
บ่าวรับใช้งงงัน เผยอปากทำท่าจะพูด กลับเห็นนางหมุนตัวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นจือหลี่เดินมาถึงหน้าห้องโถงเท้าก็หยุดชะงัก ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนยกมือขึ้นเลิกม่านลูกปัดตรงหน้า สาวเท้าเข้าไปอย่างแผ่วเบา
ในห้องโถงมีแสงสลัวนุ่มนวล มีโต๊ะไม้ยาวทาสีดำตัวหนึ่งตั้งอยู่ข้างผนัง หน้าโต๊ะมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ กำลังก้มตัวลง ถือพู่กันแต้มหมึก
นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่ได้เดินเข้าไปข้างในและไม่ได้เอ่ยปาก เพียงมองเขานิ่งๆ
บุรุษผู้นั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างหลังก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงเอ่ยเสียงต่ำ “เล่อเยียนมาแล้วหรือ”
ครานี้เสิ่นจือหลี่จึงได้เดินเข้าไปข้างใน ก้มลงไปเก็บกระดาษเซวียนจื่อที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้น ปากก็ขานรับ “อืม” เดินไปเอากระดาษวางบนโต๊ะเบาๆ แล้วยืนนิ่งไม่ส่งเสียง
ข้อมือของกู่ชินชะงักเล็กน้อย เขาเอียงหน้ามา ใบหน้าเรียวเปล่งประกายสดใสกระฉับกระเฉง สองตาแวววาวมองนางอยู่เป็นนาน จึงเบนสายตาไปแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้มาที่จวนข้านานมากแล้ว ครั้งก่อนตอนท่านพ่อท่านแม่เจ้ามาร่วมไว้อาลัยภรรยาของข้าก็ไม่เห็นเจ้าเลย วันนี้มาเพราะเหตุใดหรือ”
นางไม่อาจเบนสายตาไปได้ เพียงมองรอยยิ้มมุมปากของเขาอย่างเหม่อลอย พักใหญ่นางจึงคลายหัวคิ้ว หยิบเทียบบางของเมิ่งถิงฮุยฉบับนั้นออกมายื่นส่งให้ “มาแนะนำคนผู้หนึ่งให้ท่านกู่”
กู่ชินวางพู่กันลง ยื่นมือมารับเทียบ เขาไม่พูดไม่จาก็เปิดออกดู แต่พอเห็นชื่อในเทียบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนทันที โยนเทียบไปที่มุมโต๊ะ “เหลวไหล!” เขาเอามือเท้าโต๊ะคิดไปคิดมา แล้วจึงหันไปมองนาง มุ่นหัวคิ้วบอก “คนผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า ถึงกับทำให้เจ้ามายื่นเทียบให้นางได้”
เสิ่นจือหลี่คล้ายคาดเดาได้แต่แรกว่าเขาต้องมีท่าทีเช่นนี้ ก็หยิบเทียบมาอย่างไม่ร้อนใจไม่โกรธเคือง กางออกตรงหน้าเขา “วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญที่หอสุราอี๋ไท่ ข้ากลับชอบกลอนเล็กๆ สองบทนี้ของนาง”
กู่ชินหน้ายิ่งดำคล้ำ “ข้าเคยได้ยินเรื่องการสอบระดับมณฑลของคนผู้นี้ที่เฉาอันเป่ยลู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเจี้ยหยวนของนางเป็นองค์รัชทายาทเห็นชอบล่ะก็ ในการสอบของกรมพิธีการข้าจะต้องคัดชื่อคนผู้นี้ออก!” เขาหมุนตัวไป เอามือไพล่หลังเดินไปที่หน้าต่างแล้วผลักเปิด “ถ้าสตรีของสำนักศึกษาสตรีในใต้หล้าต่างทำตามอย่างนางด้วยการสร้างชื่อเสียงเช่นนี้ วันหน้าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีจะกลายเป็นเช่นไร”
“ท่านกู่อย่าเพิ่งใจร้อน” เสิ่นจือหลี่เอ่ยปากเบาๆ มุมปากเจือรอยยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมีอุปนิสัยเช่นนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาแนะนำนาง หาไม่การสอบของกรมพิธีการครั้งนี้ท่านเป็นขุนนางผู้คุมสอบ ถ้าเมิ่งถิงฮุยได้อันดับหนึ่ง ท่านจะต้องขีดฆ่าความโชคดีของนางทิ้งแน่นอน หรือถ้าเมิ่งถิงฮุยเพียงสอบได้ ก็เกรงว่าท่านจะจัดให้นางไปอยู่ในกลุ่มจวี่เหรินที่สอบไม่ผ่าน…”
กู่ชินริมฝีปากกระตุก คิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยปาก เพียงยืนหันหลังให้นาง มองออกไปไกลๆ นอกหน้าต่าง
เสิ่นจือหลี่มองเขาอย่างเฉยเมย แล้วกล่าวต่อ “ท่านกู่ลองคิดดู การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีครั้งนี้เปรียบกับที่ผ่านมามีอันใดแตกต่างกัน ความคิดขององค์รัชทายาทเป็นเช่นไรหรือว่าท่านไม่เข้าใจ สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งจะได้รับอนุญาตให้เข้ากองอาลักษณ์…ตอนนั้นท่านก็ออกจากกองอาลักษณ์มาเข้าสำนักราชเลขาธิการ ความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดกระมัง ส่วนกองอาลักษณ์เป็นสถานที่อะไร เป็นที่รวมตัวกันของปัญญาชนผู้ทรงคุณธรรมความรู้ ขุนนางผู้หยิ่งยโสอยู่ในอำนาจ ถ้าสตรีที่เพียงมีความรู้แต่ไม่เข้าใจการปฏิบัติตัวต่อผู้คนเข้าไปแล้วจะมีผลลัพธ์ที่ดีอะไร”
นางเห็นเขายังคงไม่ส่งเสียงก็อดเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ “เมิ่งถิงฮุยผู้นี้ความรู้และสติปัญญาเหนือผู้คน แต่กลับไม่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์เก่าๆ แม้จะบอกว่าทำอะไรค่อนข้างมีใจแสวงหาผลประโยชน์ แต่ยามเผชิญหน้ากับข้ากลับรู้การควรไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ข้าพูด ในบรรดาจวี่เหรินสตรีที่เข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ ข้ายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้ข้าชื่นชอบมากไปกว่านาง สตรีผู้นี้ถ้าไม่ได้เข้ากองอาลักษณ์ ใครจะเข้าได้ ใครจะสามารถเข้าได้”
กู่ชินหันหน้ามา แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน “เจ้ามาที่จวนข้าช่วยพูดจาขอร้องให้นาง กลับไม่คิดว่านางจะรับน้ำใจจากเจ้าหรือไม่”
นางมองสบสายตาของเขา ลำคออดตีบตันไม่ได้ ครู่ใหญ่จึงกล่าวต่อ “เมิ่งถิงฮุยเป็นคนฉลาด”
เขากลับแค่นเสียงเย็นชา “ลำพังเจ้าพูดก็ไร้ประโยชน์ ยังต้องดูว่าในการสอบของกรมพิธีการนางเขียนความเรียงได้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังต้องรอหลังจากการสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว ดูว่าฝ่าบาทจะทรงเลือกผู้ใด!”
เสิ่นจือหลี่ก้มหน้า “ท่านกู่ก็รู้เพราะเหตุใดครั้งนี้องค์รัชทายาทจึงขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการให้กองอาลักษณ์เพิ่มตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งให้สตรี หลายปีมานี้ขุนนางสตรีในราชสำนักเป็นเพียงดอกไม้ประดับ เรื่องนี้แตกต่างจากความคิดแรกเริ่มของฝ่าบาทที่ทรงให้ก่อตั้งสำนักศึกษาสตรีอย่างมาก! แต่นี่เป็นเพราะอะไร ท่านก็เป็นขุนนางเก่าที่ติดตามผิงอ๋องมาจากเมืองหลวงตะวันออก คิดว่าน่าจะเข้าใจยิ่งกว่าข้า เหล่าขุนนางเก่าของฝ่ายตะวันออกในราชสำนักเวลานี้มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน มีความคิดเช่นไรต่อเรื่องสตรีเข้าราชสำนักมาเป็นขุนนาง เกรงว่าท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ฝ่าบาทไม่ทรงคิดเล็กคิดน้อยต่อเหล่าขุนนางเก่าของฝ่ายตะวันออกเหล่านี้ ยังไม่ใช่เป็นเพราะทรงเห็นแก่ไมตรีจิตที่มีต่อผิงอ๋องมานานปี!”
กู่ชินได้ยินแล้วหน้าก็ดำคล้ำอีกครั้งไปทันที “เล่อเยียนไม่ควรกล่าววาจากำเริบเสิบสาน!”