ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 5
บทที่ 5
รัชศกเฉียนเต๋อปีที่ยี่สิบสี่ เดือนสี่ วันที่สิบแปด การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในเมืองหลวง ถนนเจ็ดสายจากทางเหนือของสำนักศึกษาไท่เสวีย ประตูหนานเชวี่ย ถึงทางตะวันออกของสนามสอบกรมพิธีการมีคำสั่งห้ามสัญจร ตอนกลางวันรถม้าห้ามผ่าน ตอนกลางคืนห้ามคนเดินผ่าน
หลังจากนั้นสามวันผู้เข้าสอบออกจากสนาม กู่ชินผู้ควบคุมการสอบเคอจวี่ของกรมพิธีการและเหล่าขุนนางใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำตามกฎระเบียบปิดสนามสอบพิจารณาตัดสินข้อสอบ เรื่องต่างๆ ของสำนักราชเลขาธิการในราชสำนักล้วนมอบให้สวีถิงราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายเป็นผู้ดูแลจัดการ
วันที่ห้าเดือนห้า ติดประกาศผลการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการ เมิ่งถิงฮุยเจี้ยหยวนแห่งเฉาอันเป่ยลู่สอบได้อันดับหนึ่ง ได้รับการตัดสินให้เป็นฮุ่ยหยวน ในการสอบของกรมพิธีการครั้งนี้
ข่าวนี้ไม่ถึงครึ่งวันก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง จวี่เหรินทั้งหลายได้ยินแล้วต่างฮือฮา ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถิงฮุยที่ ‘ประสบโชคใหญ่’ ในการสอบระดับมณฑลก่อนหน้านี้ จะสามารถคว้าที่หนึ่งในการสอบของกรมพิธีการได้อีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป มีคนบอกว่านางเป็นดาวเหวินฉวี่ หญิงแห่งยุค และมีคนบอกว่านางดวงกำลังขึ้น แต่ไม่ว่าจะพูดอะไร แทบทุกคนต่างก็กำลังชะเง้อคอรอการสอบหน้าพระที่นั่งในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า…
เมิ่งถิงฮุยผู้นี้ แม้แต่ตำแหน่งอันดับหนึ่งของการสอบหน้าพระที่นั่ง นางก็จะคว้ามาด้วยได้หรือไม่ กลายเป็นจ้วงหยวนหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าผิงที่สอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามสนามหรือไม่
เวลาย่างเข้าสู่ราตรีกาล นอกสนามสอบกรมพิธีการเงียบวิเวก แสงโคมเทียนในตัวเรือนอบอุ่น มองผ่านกระดาษที่กรุหน้าต่างก็จะเห็นขุนนางหลายคนยังคงทำงานยุ่งอยู่ข้างใน
กู่ชินทางหนึ่งเรียกคนให้ปิดผนึกกระดาษข้อสอบพลางถามเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมว่า “ปิดที่ทำการอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยินว่าหัวข้อในการสอบหน้าพระที่นั่งที่สำนักราชเลขาธิการกับสำนักที่ปรึกษาสองสำนักหลักหารือกันได้กำหนดออกมาแล้ว ตอนนี้ได้ทูลถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วหรือยัง”
เจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมส่ายศีรษะ “เมื่อวานยังไม่มีขอรับ วันนี้ไม่ทราบว่าทูลถวายแล้วหรือยัง”
กู่ชินใบหน้ามีแววฉงน “ยังไม่มีหรือ ปีที่แล้วๆ มาตอนนี้ต้องกำหนดหัวข้อ ปิดผนึกประทับตราวางบนโต๊ะราชบัณฑิตแล้ว เหตุใดปีนี้จึงล่าช้าเช่นนี้”
คนรอบข้างต่างส่ายศีรษะ แสดงท่าทีไม่รู้
ฉับพลันมีเสียงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดังมาจากนอกประตู…
“มารบกวนยามดึก ไม่ทราบท่านกู่จะยอมให้ข้าเข้าไปหรือไม่”
กู่ชินหันหน้าไป พอเห็นผู้มาเยือนชัดก็รีบลุกขึ้นก้าวเข้าไปหลายก้าว ก้มเอวจะทำความเคารพอย่างเต็มรูปแบบ ปากก็กล่าว “ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาเยือน กระหม่อมมีความผิดไม่ได้ออกไปรับเสด็จแต่ไกล”
อิงกว่ายื่นมือไปประคองเขาขึ้นมา “ข้าเองก็มาอย่างกะทันหัน เมื่อครู่ออกจากหกกรมมา ตอนรถผ่านมุมถนนเห็นในสนามสอบยังมีโคมไฟสว่างอยู่ คิดว่าท่านกู่คงกำลังปิดผนึกข้อสอบ ดังนั้นจึงถือโอกาสเข้ามาดู”
กู่ชินเชื้อเชิญเขาเข้ามาข้างใน “องค์รัชทายาทเชิญประทับ”
เขากลับไม่นั่ง เพียงเดินไปที่หน้าโต๊ะกวาดตามองไปสองที แล้วหันหน้ามาเอ่ยถาม “อยากจะขอยืมความเรียงของเมิ่งถิงฮุยที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบของกรมพิธีการครั้งนี้มาอ่านดูสักหน่อย ไม่ทราบจะได้หรือไม่”
กู่ชินสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงต่ำ “องค์รัชทายาทโปรดอภัย เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ”
อิงกว่าหันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมที่อยู่ด้านข้างหลายครั้ง แล้วมองไปที่กู่ชิน “ท่านกู่คงยังไม่ทราบ การสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ ฝ่าบาทมีราชโองการแล้ว ให้ข้าเป็นประธานในการสอบแทน”
กู่ชินตอนแรกงงงัน จากนั้นตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ปากก็พูดติดๆ กัน “นี่…นี่…” พักใหญ่เขาจึงพูดออกมาอีกหลายคำ “…กระหม่อมไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ”
ในใจกลับมีความคิดหลายอย่างพลุ่งพล่านเข้ามาปานจะพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล
ผู้ที่สามารถสอบหน้าพระที่นั่งผ่านได้เป็นจิ้นซื่อจะเป็น ‘ลูกศิษย์ของโอรสสวรรค์’ มาบัดนี้ฮ่องเต้กลับจะให้องค์รัชทายาทขึ้นเป็นประธานในการสอบแทน เห็นได้ว่าฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะสละราชสมบัติมอบอำนาจให้องค์รัชทายาทจริงๆ แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าจิ้นซื่อสตรีในปีนี้ไยมิใช่จะกลายเป็นขุนนางคนสนิทกลุ่มแรกขององค์รัชทายาทหลังจากขึ้นครองราชย์หรือ แล้วก็ยิ่งจะได้รับมอบตำแหน่งสำคัญ
เขายิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออก หมุนตัวไปเรียกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านข้างส่งม้วนความเรียงที่ปิดผนึกเรียบร้อยแล้วมา พวกเขาพลิกหาความเรียงของเมิ่งถิงฮุยออกมา สองมือประคองยื่นส่งให้ “ในเมื่อทรงเป็นประธานการสอบหน้าพระที่นั่งแทนฝ่าบาท เช่นนั้นจะทรงอ่านดูก็ไม่เป็นไร”
อิงกว่ารับมา เขาหมุนตัวหันหลังให้แสง คลี่ม้วนกระดาษออกมา อ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อน จากนั้นก็กวาดตาเร็วๆ อีกรอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตาขรึมเล็กน้อย หันไปกล่าวกับกู่ชิน “เอาม้วนความเรียงของห้าอันดับแรกมาให้ข้าดูทั้งหมด”
กู่ชินพยักหน้า เจ้าหน้าที่หลายคนที่อยู่ด้านข้างรีบพลิกหากระดาษข้อสอบออกมาส่งมอบให้
เขาอ่านทีละแผ่นจนจบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นค่อนข้างเยียบเย็น เหลือบตาขึ้นมองกู่ชิน “ความเรียงของเมิ่งถิงฮุยบทนี้แม้จะเขียนได้ไม่เลว แต่ข้ากลับมองไม่ออกว่าความเรียงของนางดีกว่าหลายคนนี้สักเท่าใด เพราะเหตุใดท่านกู่จึงตัดสินให้นางเป็นฮุ่ยหยวน”
กู่ชินกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินเขากล่าวเสริมอีกประโยค “หรือเป็นเพราะก่อนสอบนางเคยได้รับโอกาสยื่นเทียบไปที่จวนท่านกู่”
คำพูดนี้น้ำเสียงเย็นชา เห็นชัดว่าเจือความหมายเชิงตำหนิ
กู่ชินก้มหน้าเล็กน้อย “กระหม่อมได้รับเทียบของนางจริง ทว่าไม่ใช่นางมายื่นที่จวนของกระหม่อม หากแต่เป็นเล่อเยียนมายื่นแทนนาง”
อิงกว่าได้ยินแล้วเหลือบตาขึ้นมาทันที “คำพูดนี้เป็นความจริงหรือ”
กู่ชินพยักหน้า “กระหม่อมมิกล้าหลอกลวงองค์รัชทายาท ความเรียงของเมิ่งถิงฮุยแม้จะพอๆ กับหลายคนนี้ แต่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็สามารถผูกไมตรีกับเล่อเยียนได้ เพียงพอที่จะทำให้เห็นว่านอกจากสติปัญญาความสามารถแล้ว นางยังมีส่วนที่เหนือกว่าผู้อื่น ตอนนั้นฝ่าบาทมีรับสั่งว่าการตัดสินข้อสอบในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการไม่ต้องปิดบังชื่อผู้เข้าสอบ* เพื่อคัดเลือกปัญญาชนอย่างผ่อนปรน ในเมื่อจะคัดเลือกปัญญาชนอย่างผ่อนปรน จึงไม่ควรตัดสินจากความเรียงเท่านั้น”
อิงกว่าบีบนิ้วทั้งสองที่จับม้วนกระดาษแน่น แล้วก้มลงมองชื่อบนกระดาษข้อสอบแผ่นนั้นอีกครั้ง หว่างคิ้วอดขมวดมุ่นไม่ได้
ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงเอากระดาษข้อสอบวางกลับลงบนโต๊ะ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก
กู่ชินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอก “สำหรับความสูงต่ำของสติปัญญาความสามารถ ความดีเลวของความเรียง องค์รัชทายาทสามารถพิจารณาตัดสินชี้ขาดได้หลังการสอบหน้าพระที่นั่งพ่ะย่ะค่ะ”
เขาผงกศีรษะช้าๆ เอามือไพล่หลังเตรียมจะเดินจากไป
กู่ชินกลับพูดอยู่ข้างหลัง “องค์รัชทายาท” เห็นเขาหยุดลง จึงรีบกล่าว “เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินคนบอกว่าหัวข้อในการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้ สำนักราชเลขาธิการยังไม่ได้ทูลถวายให้ฝ่าบาททรงพิจารณาตัดสินพระทัย”
อิงกว่าพยักหน้า พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ฝ่าบาทมีรับสั่ง หัวข้อการสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ให้ข้าเป็นคนกำหนด”
กู่ชินตะลึงงันไปอีกครั้ง ครู่หนึ่งจึงได้สติ “ขอบังอาจถามองค์รัชทายาท เอาหัวข้อที่กำหนดไว้ให้กระหม่อมดูจะได้หรือไม่”
เขากลับส่ายหน้า สีหน้าคล้ายไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้กับผู้อื่นมากนัก “รอถึงวันสอบหน้าพระที่นั่ง ท่านกู่ย่อมรู้อยู่แล้ว”