รัชศกเฉียนเต๋อปีที่ยี่สิบสี่ เดือนห้า วันที่สิบห้า ตอนรุ่งอรุณ ท้องฟ้ามืดราวถูกสาดด้วยน้ำหมึก ลมพัดแทรกเข้ามาในเสื้อยังคงรู้สึกหนาว ทว่าบนแผ่นหินปูถนนนอกวังหลวงกลับมีเหล่าสตรีที่มาเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งยืนเข้าแถวกันอยู่เต็มนานแล้ว
เหล่าขันทีน้อยถือโคมชาววังอยู่ด้านข้าง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการได้เห็นชัดเจนขึ้นเวลาตรวจรายชื่อ มีขุนนางหญิงของสำนักพิธีกรรมหลายคนเอาขนมอบชาววังที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมาแจกจ่ายให้เหล่าสตรีที่เข้าแถวรอคอยอยู่ แล้วสั่งกำชับเสียงเบา “แต่ละคนมีเพียงห่อเดียว ต้องรอจนค่ำย่างเข้าราตรีกาลแล้วจึงออกมาได้ จัดแบ่งเอาเอง”
รอเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่มาเรียบร้อย ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ตอนนี้จึงมีคนของสำนักห้องเครื่องมานำทางเหล่าสตรีทั้งหลายไปรอที่เชิงบันไดหน้าตำหนักเป่าเหออย่างสงบ
เมิ่งถิงฮุยยืนอยู่ในหมู่คน นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสาสูงชายคาปลายงอนเชิดสูงของพระราชวังที่อยู่ไกลๆ กระเบื้องเคลือบบนหลังคาส่องแสงวามวาวภายใต้ผืนฟ้ายามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวคล้ายอยู่ในความฝัน
คนที่ยืนอยู่ด้านข้างคนหนึ่งจู่ๆ ร่างก็สั่นเทา ส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาจากลำคอ
เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาตรวจดู จากนั้นก็หันไปร้องเรียกนางกำนัลที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “อาเจียนแล้ว รีบมาประคองนางออกไป!”
เมิ่งถิงฮุยย่นหัวคิ้วน้อยๆ มองหญิงสาวผู้นั้นถูกนางกำนัลสองคนประคองออกไป สายตาเบนมาตรงจุดที่นางเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่
สีและความวาวของอิฐพระราชวังแผ่นนั้นเข้มทึม มีลวดลายแกะสลักสีเทาอมดำแผ่คลุมอยู่ข้างบน
มุมานะบากบั่นเล่าเรียนมากี่วันกี่คืน ต้องเข้าสอบมากี่สนาม เขียนความเรียงมากี่ความเรียง จึงจะเดินมาถึงที่นี่ได้
แต่กลับเป็นเพราะความตื่นเต้น ทำให้ตนเองต้องสูญเสียโอกาสที่ดีในการก้าวไปตามแผนการอันยิ่งใหญ่
ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง
นางทอดถอนใจเบาๆ อยู่ในใจ ถูๆ ปลายนิ้วที่ชาจากความหนาวเย็น
หลังจากรออยู่อีกราวหนึ่งเค่อ กว่าก็มีคนถ่ายทอดคำพูดออกมาจากในตำหนัก บรรดาเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการจึงให้เหล่าสตรีที่รออยู่ทยอยเข้าไปด้านในตามลำดับ
ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักจุดเทียนสว่างไสว แผ่นอิฐเกลี้ยงเกลามันวาวจนส่องคนได้ เพียงเห็นบัลลังก์มังกรอยู่บนที่สูง ด้านล่างมีโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ในการสอบตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
เมิ่งถิงฮุยหาที่นั่งของตนจนเจอ แล้วลงนั่งเรียบร้อยเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ไกลออกไปตรงมุมห้อง ลายมังกรบนเสาสีทองดูดุร้ายภายใต้แสงเทียน กรงเล็บทั้งเก้าขี่ก้อนเมฆท่วงท่าสยบผู้คน นางจับจ้องอยู่เป็นนาน จึงถอนสายตากลับ มองโต๊ะที่ว่างเปล่าตรงหน้า
ในตำหนักอบอุ่นกว่าข้างนอกมาก แต่ปลายนิ้วกลับคล้ายยิ่งหนาวเย็นขึ้น กลางฝ่ามือก็เริ่มมีเหงื่อเย็นซึมออกมา
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพิ่งจะเอาพู่กันกับหมึกของตนวางเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีโดยนักดนตรีหญิงในวังดังมาจากด้านนอก
บรรดาขุนนางของกรมพิธีการ สำนักห้องเครื่อง และสำนักพิธีกรรมทั้งสามแห่งเข้ามาในตำหนักยืนเป็นระเบียบ เหล่าสตรีที่รอการสอบก็พากันลุกขึ้นยืนอยู่ในที่นั่งของตน
เมิ่งถิงฮุยก็ยืนขึ้นมา ในใจรู้ว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่ตำหนักแล้ว
ต้องขอบคุณในสิ่งที่องค์รัชทายาทประทานให้ เพราะเรื่องการสอบระดับมณฑลทำให้นางมี ‘ชื่อเสียง’ ดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ในเมืองหลวง นางแม้จะไม่ได้พูดไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ แต่ส่วนลึกในใจของนางก็ไม่ชอบใจนัก เดิมเข้าใจว่าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแล้วเสียอีก แต่นางกลับไม่คาดคิดว่าในวันที่สามหลังจากสิ้นสุดการสอบของกรมพิธีการก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้องค์รัชทายาทจะเป็นประธานในสอบแทนฮ่องเต้
เป็นโชคไม่ใช่ภัย…เป็นภัยก็หลบไม่พ้น
นางยังคงจมอยู่กับความคิด ศีรษะก้มเล็กน้อย พอได้ยินผู้คนข้างกายร้องเสียงสูงว่า “องค์รัชทายาท” นางก็คารวะลงตามไปด้วย
แผ่นอิฐที่พื้นเย็นเฉียบและแข็งทิ่มแทงหัวเข่าของนางจนเจ็บมาก
มีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังมาจากที่นั่งสูงที่อยู่เบื้องหน้า “ทุกคนนั่งลงเถิด อยู่ในตำหนักไม่ต้องระมัดระวังตัวจนเกินไป ประเดี๋ยวตั้งใจเขียนความเรียงให้ดีจึงจะชอบด้วยเหตุผล”
เสียงนี้เปรียบเสมือนไม้ตีกลองเล็กๆ อันหนึ่งเคาะตึงเข้ามาที่แก้วหูของนาง
ในสมองมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา
นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด มองตรงไปข้างหน้า…
สองด้านของรองเท้าหุ้มแข้งสีดำมีลายเส้นสีทอง มังกรหยิ่งผยองห้าเล็บบนเสื้อคลุมสีดำดูดุดันฮึกเหิม สองมือของบุรุษวางอยู่บนหัวเข่า ขายาวงออยู่ครึ่งหนึ่ง นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์มังกร
คิ้วรูปดาบเข้มแข็งทรงพลัง ใบหน้าเรียวปานสลักด้วยมีด นัยน์ตาคู่หนึ่งถึงกับมีสีต่างกัน นัยน์ตาซ้ายมีสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาขวามีสีน้ำเงินอมดำ
ปิ่นหยกขาวรูปมังกรที่ด้านหลังศีรษะของเขาส่องประกายแวววาว เสียดแทงจนนางรู้สึกแสบตา