ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 6
บทที่ 6
ในวันอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อ ตั้งแต่ก่อนฟ้าสางก็มีเหล่าเจ้าหน้าที่ของสำนักพิธีกรรมและสำนักห้องเครื่องสองแห่งเร่งมือทำงานอยู่ในตำหนักเป่าเหอ เรียงโต๊ะวางเก้าอี้ เตรียมแผ่นติดประกาศสีทอง กระทั่งขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาวจึงจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย
นอกประตูวังตะวันออกเมื่อเปรียบกันแล้วดูเงียบเหงา ข้าราชบริพารหลายคนยืนอยู่ใต้ระเบียงเงียบๆ เห็นข้างในมีแสงเทียนสว่างไสวก็ไม่มีใครกล้ารบกวน
มีคนเดินมาจากที่ไกล ข้าราชบริพารคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางที่หน้าประตูตามสัญชาตญาณ รอคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ พอเขาเห็นชัดก็ยิ้มบอก “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าเสิ่น”
เสิ่นจือหลี่มือถือสมุดบางเล่มหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ มองคนผู้นั้น “หลายวันก่อนองค์รัชทายาทมีรับสั่งให้กรมทหารตรวจสอบคนผู้นั้น ข้าตั้งใจเร่งส่งมาให้องค์รัชทายาทผ่านพระเนตรก่อนการอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อ” นางพูดพลางชะโงกหน้ามองไปในตำหนัก แล้วถาม “องค์รัชทายาทไม่ได้บรรทมทั้งคืนอีกแล้วหรือ”
ข้าราชบริพารพยักหน้า สีหน้าอับจนปัญญายิ่ง “อุปนิสัยขององค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่นก็ทราบดี” เขาพูดพลางเบี่ยงตัวเดินไปข้างหน้า เคาะประตูรายงาน “องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่นจากฝ่ายจื๋อฟางซือพ่ะย่ะค่ะ”
รออยู่นานจึงมีเสียงอนุญาตให้เข้าไปดังมาจากข้างใน
เสิ่นจือหลี่ผลักประตูเข้าไปข้างใน เดินไปพลางร้องเรียกไปพลาง “องค์รัชทายาท”
อิงกว่าเดินออกมาจากข้างใน บนร่างมีเสื้อคลุมตัวนอกคลุมไว้หลวมๆ พอเห็นนาง สีหน้าก็เยียบเย็นขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดคนของกรมทหารจึงให้เจ้ามา”
“หม่อมฉันก็เป็นคนของกรมทหาร มีอันใดถึงมาไม่ได้” นางยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปส่งมอบของที่อยู่ในมือ “องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้คนตรวจสอบชาติกำเนิดของเมิ่งถิงฮุย พวกหม่อมฉันเลยไม่ได้นอนกันทั้งคืน เวลานี้ได้คัดลอกลงสมุด เร่งนำมาถวายพระองค์ก่อนรุ่งสาง”
สีหน้าของเขาเฉยเมย เพียงยื่นมือไปรับมา “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว”
เสิ่นจือหลี่กลับไม่ออกไป นางรออยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกเปิดสมุดเล่มนั้น กวาดสายตาอ่านไปทีละหน้าๆ อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าของเขาดูแปลกประหลาดคลุมเครือ
ไม่ผิดจากที่คาด หลังจากเขาพลิกไปหลายหน้าคนก็ตัวแข็งทื่อแล้ว พักใหญ่จึงปิดสมุดลง หันมาพูดกับนาง “เพราะเหตุใดยังไม่ไป”
นางเบ้ปาก “ถึงหม่อมฉันจะไม่มีความดีความชอบแม้แต่น้อย ก็ต้องมีความเหนื่อยยากอยู่บ้างกระมัง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันเช่นนี้หรือ” ส่วนลึกในดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดูจากลักษณะท่าทางของเมิ่งถิงฮุย กลับมองไม่ออกว่าชาติกำเนิดของนางจะน่าสงสารเพียงนี้ ตั้งแต่เล็กไม่มีบิดามารดา ตอนเด็กถูกคนลักพาตัวไปที่อารามชีทางตอนเหนือของเมืองชงโจว เฉาอันเป่ยลู่ ยังไม่ทันมีชื่อในทะเบียนครัวเรือนก็ถูกโกนผมบวช ปีที่อายุแปดขวบเจอกับราชโองการของฝ่าบาทพอดี มีรับสั่งให้ถอดถอนยกเลิกวัดวาอารามในเฉาอันเป่ยลู่ที่ไม่มีชื่ออยู่ในราชโองการ มีคำสั่งให้เณรแม่ชีอายุน้อยลงทะเบียนครัวเรือน ตอนนั้นจางเยวี่ยผู้ดำรงตำแหน่งทงพั่นจัดการคำสั่งได้ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เณรแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากไม่มีบ้านให้กลับในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ และเมิ่งถิงฮุยก็เป็นหนึ่งในนั้น”
เขาสีหน้าไม่พอใจ ชายตามามองจ้องนาง คล้ายรู้ว่านางจะพูดอะไรต่อไป
เสิ่นจือหลี่หลุบตาลงมองสมุดบางในมือเขา แล้วบอก “แต่ภายหลังนางกลับได้รับความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์ ได้มีชื่อในทะเบียนครัวเรือน จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปสำนักศึกษาสตรีแห่งชงโจวที่ตอนนั้นเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน” นางหยุดไปชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อว่า “แต่ผู้สูงศักดิ์ในตอนนั้นคือใคร กรมทหารกลับยังตรวจสอบไม่พบ องค์รัชทายาทจะให้พวกหม่อมฉันตรวจสอบต่อไปหรือไม่เพคะ”
เขาจ้องเขม็งดุดัน “ออกไปจากวัง”
นางเม้มปากยิ้มบาง ถอยออกไปที่ประตู ปากก็บอก “ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิด คดีเณรและแม่ชีน้อยของเฉาอันเป่ยลู่เมื่อสิบปีก่อนพระองค์ทรงจัดการแต่เพียงผู้เดียว ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียงสิบสี่พรรษา กลับทำให้ขุนนางที่โอหังอวดดีในเฉาอันต่างรู้สึกถึงอันตราย เรื่องนี้ในตอนนั้นครึกโครมไปทั้งใต้หล้า ในราชสำนักใครจะลืมได้”
เขากำสมุดเล่มนั้นไว้แน่น แล้วพูดซ้ำอีกครั้ง “ออกไปจากวัง”
เมื่อเห็นว่าตนเองทายถูกแล้วจริงๆ นางก็หยุดคำพูดที่จะกล่าวต่อไป ใบหน้ายังคงเจือรอยยิ้มบาง ล่าถอยออกไป แล้วยื่นมือมาปิดประตู
ห่วงแดงสั่นไหวเบาๆ อยู่บนบานประตู ส่งเสียงดังแกร๊กๆ
เขาย่นหัวคิ้ว มือขวายิ่งกำแน่นขึ้น
ไฉนจึง…
ไฉนเมิ่งถิงฮุยจึงเป็นเด็กคนนั้นไปได้
ปีนั้นเขาขึ้นเหนือไปเฉาอันเป่ยลู่ หลังจากนั้นก็ปลอมเป็นสามัญชนเดินทางเป็นการส่วนตัวมาทางตะวันตก ระหว่างทางพบเห็นเณรและแม่ชีอายุน้อยจำนวนมากพลัดที่นาคาที่อยู่ระเหเร่ร่อน เขาย่อมช่วยได้เท่าไรก็เท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ได้อ่านสิ่งที่กรมทหารส่งขึ้นมานี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงคิดไม่ถึง เมิ่งถิงฮุยถึงกับเป็นหนึ่งในคนที่เขาได้ช่วยเอาไว้
‘…ถ้าร่างกายของข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ข้าจะไม่เสียดายเลย’
เส้นสายที่แข็งขึงบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง จากที่นางเขียนมาเช่นนี้ เป็นเขาที่พูดคำพูดนี้กับนางเมื่อตอนนั้น และบนเส้นทางนั้นในค่ำคืนนั้นก็มีเพียงฝนตก ในวัดร้างแห่งนั้น เขากล่าวคำพูดนี้กับนางคนเดียว
คิดไม่ถึงว่านางกลับจดจำมานานปีเพียงนี้
เขาพลันนึกไปถึงวันสอบหน้าพระที่นั่ง สายตาของนางที่มองเขาในท้องพระโรง
นางจะต้องจำเขาได้แน่ บางทีตั้งแต่วันนั้นที่ได้พบกันที่นอกเมืองชงโจว นางก็เฝ้าหวังให้เขาจดจำนางได้แล้ว
พริบตานั้นเขาก็พอจะเข้าใจถึงการกระทำของนางที่มุ่งมั่นจะโดดเด่นเหนือผู้อื่นแล้ว
แต่ชั่วแวบเดียวหัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าสิ่งที่นางเฝ้าปรารถนาคือเขา นั่นกลับเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายและรับมือไม่ทันเรื่องหนึ่ง