ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 6
แก้มซ้ายของเขายังคงมีกลิ่นหอมและความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ ในสมองกลับมีเพียงสี่คำนี้ผุดเข้ามา ยามหลุบตาลงมอง สบเข้ากับดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้น เป็นแววตาที่ใสกระจ่างไร้สิ่งใดแปดเปื้อน
แม้จะรู้ว่าในใจของนางมีบางสิ่งที่ปรารถนาจากเขา แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่านางจะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!
ชั่วขณะนั้นเขาเพียงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่ได้ยื่นมือไปผลักนางออก
นางเห็นเขาทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ ส่วนลึกในดวงตาคล้ายมีประกายไฟวูบไหวระริก นางค่อยๆ ขยับเข้าไปอีก จุมพิตเขาอีกครั้ง
ขมับของอิงกว่าเต้นตุบๆ เขาหลุบตาลง ครานี้จึงคล้ายได้สติกลับคืนมา
ริมฝีปากของนางคล้ายดั่งปีกของผีเสื้อกระพือ เคลื่อนไหวเบาๆ บินโฉบเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเขา
ร่างของเขาแข็งทื่อ ครานี้ยังคงไม่ได้ขยับและไม่ได้ผลักนางออก แต่สายตาที่จับจ้องนางกลับเป็นประกายดุจคมมีดดุจเปลวไฟ ฟาดฟันเข้าไปในส่วนลึกของดวงตานาง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน
ปีที่อายุสิบสองก็มีนางกำนัลมาปรนนิบัติถึงบนเตียง หากใช้คำพูดของบิดาของเขา เรื่องนี้ก็ถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ผู้เป็นกษัตริย์จะสูญเสียพลานุภาพได้อย่างไร
เพียงจำได้ว่าตอนนั้นมารดายิ้มพลางแค่นเสียงฮึทีหนึ่ง ใบหน้าแดงเล็กน้อย
ทว่าเขากลับลิ้มรสถึงความสุขชนิดวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกจากร่างจากเรื่องนี้ไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าเป็นพิธีกรรมที่ทำไปอย่างลวกๆ เพื่อบอกว่าเขากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว นับแต่นั้นสามารถเข้าสำนักราชเลขาธิการเพื่อสังเกตการณ์และร่วมหารือเรื่องการเมืองได้
หลังจากนั้นหลายปีได้บังเอิญพูดถึงเรื่องนี้กับเสิ่นจือซู กลับถูกเสิ่นจือซูหัวเราะบอก คิดว่าเขาเกิดมาเป็นคนเย็นชาและมีความต้องการน้อย ไม่มีท่าทางเฉกเช่นบิดา
เขาไม่ได้ผลักไสนางออกไป เพียงอยากดูว่าสุดท้ายแล้วนางจะกำเริบเสิบสานไปถึงขั้นใด กลับคิดไม่ถึงว่านางถึงกับได้คืบจะเอาศอกจริงๆ ยื่นมือมาโอบกอดเอวของเขา
หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา
นางต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ หาไม่เหตุใดจึงขวัญกล้าถึงกับทำเช่นนี้กับเขาในตำหนัก…
บางทีองค์รัชทายาทผู้ซึ่งฐานะสูงศักดิ์มีรูปโฉมหล่อเหลาหลายปีมานี้ในราชสำนักมีขุนนางสตรีที่มามอบกายถวายตัวให้มากมาย เขาจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก หรือไม่ก็ยินดีที่จะเสพสุขจากความชื่นชอบจากอิสตรีเหล่านี้…
พอคิดได้เช่นนี้ นางพลันหยุดมือ
เขาเองในที่สุดก็ยกมือขึ้น จับมือซ้ายนางไว้ ตวาดให้นางหยุดเสียงเยียบเย็น “เมิ่งถิงฮุย!”
แต่เขาก็เพียงเรียกชื่อนางคำเดียว ไม่มีคำพูดอื่นตามมา
นางมองเขาเงียบๆ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เมิ่งถิงฮุยเข้าใจว่าเขาจะทำอะไรนาง ไหนเลยจะรู้เขาเป็นเพราะตื่นตะลึงเกินไป ส่งผลให้ไม่รู้ว่าควรจัดการกับนางอย่างไรดี
ประตูตำหนักพลันถูกคนเคาะจากข้างนอกสองที มีขันทีผลักประตูแง้มเป็นช่อง “องค์รัชทายาท เมื่อครู่ฝ่าบาท…”
ยังพูดไม่จบ คำพูดต่อจากนั้นของเขาก็ถูกกลืนกลับลงไปทั้งอย่างนั้น
คนผู้นั้นมองภาพในตำหนักตาปริบๆ จะเข้ามาก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ คนคล้ายถูกตอกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น แม้แต่ก้มหน้าก็ลืมไปแล้ว
การอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อก่อนการติดประกาศใหญ่เดิมก็เป็นเพียงขั้นตอนอย่างหนึ่ง องค์รัชทายาทเรียกพบคนก็เพื่อจะกำหนดบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งบัณฑิตเอกชั้นรองของจิ้นซื่อสตรีทั้งสิบคน ตามระเบียบการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ที่กำหนดไว้ เดิมเข้าใจว่าเวลานี้เมิ่งถิงฮุยน่าจะใกล้ออกจากตำหนัก ใครเลยจะคาดคิด…ใครเลยจะคาดคิด…
มือขวาของนางยังแตะอยู่ที่เอวคอดของเขา มือขวาของเขาก็กุมมือซ้ายนางไว้แน่น
นางตัวแนบชิดอยู่กับเขา ส่วนเขาก็โน้มตัวเข้าหา ระหว่างคนทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงช่วงกระดาษกั้นแผ่นเดียว ท่าทางที่สนิทสนมแนบชิดทำให้คนเห็นแล้วหน้าแดงใจเต้น
นอกประตูมีคนของสำนักห้องเครื่องเฝ้าอยู่ ยามนี้ก็มองผ่านช่องประตูที่เปิดอยู่เข้ามาเห็นภาพข้างใน ชั่วขณะนั้นได้ดึงตัวขันทีที่ยังตะลึงงันอยู่ผู้นั้นออกไปทันที
ปึงๆ!
เสียงดังสนั่นสองเสียง ประตูตำหนักถูกคนลนลานปิดจากข้างนอกแล้ว
ในตำหนักมืดลงมาทันที แม้แต่เปลวเทียนเล็กเรียวตรงมุมห้องก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
ทั่วร่างของอิงกว่าทั้งบนล่างคล้ายมีไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา ถึงเขาไม่พูดอะไรสักคำก็ทำให้นางหนังศีรษะชาได้
เห็นชัดว่านางไม่คาดคิดว่าจะถูกคนพบเห็นเข้า ในใจใคร่ครวญอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี…
ลักษณะท่าทางระหว่างพวกเขาสองคนไม่ว่าตกอยู่ในสายตาใคร คิดว่าก็คงทำให้คนเข้าใจว่าเขากำลังข่มเหงนาง
ชื่อเสียงดีงามของเขาองค์รัชทายาทที่สั่งสมมาหลายปี วันนี้จะมาถูกทำลายด้วยน้ำมือของนางเช่นนี้ได้อย่างไร
นางพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ถึงกับไม่คำนึงถึงความเดือดดาลของเขา มองเขาแล้วบอก “เป็นหม่อมฉันที่ล่วงเกินเบื้องสูง พระองค์ทรงตัดชื่อเสียงลาภยศของหม่อมฉันได้เลย”
“เมิ่งถิงฮุย” เขาพลันเอ่ยปาก “ตำแหน่งจ้วงหยวนในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีในครั้งนี้ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”
นางประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าจนถึงตอนนี้เขายังเอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้อีก
เขาหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะทองกลางตำหนัก บนนั้นมีแผ่นประกาศทองขนาดใหญ่เล็กพร้อมทั้งพู่กันและหมึก…รอให้เขาใส่ชื่อจิ้นซื่อที่ได้รับตำแหน่งด้วยตนเองหลังจากอ่านราชโองการและจัดอันดับจิ้นซื่อแล้ว ทว่าเวลานี้เห็นแผ่นประกาศขลิบทองนั่นแล้วกลับรู้สึกขัดตายิ่ง
นางมองเงาด้านหลังของเขาโดยไม่ละสายตา เห็นเขาโน้มตัวลงหยิบพู่กันจุ่มหมึก จรดปลายพู่กันลงไปบนแผ่นประกาศ เขียนชื่อนางลงไปในตำแหน่งบนสุดจริงๆ
เมิ่งถิงฮุยอดตื่นตะลึงไม่ได้ ยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นางกำเริบเสิบสานเพียงนี้ เขาไม่เพียงไม่ลงโทษนาง กลับยังคงมอบตำแหน่งจ้วงหยวนให้นางอีก
ผู้คนต่างบอกว่าองค์รัชทายาทจิตใจล้ำลึกยากแก่การคาดเดา
พูดได้ไม่ผิดเลย
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 2567)