บทที่ 27-1
หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่เขาก็ปฏิบัติหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงนับได้ว่าเป็นปีแล้ว แต่ไรมาก็คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้แม่นยำกว่าผู้อื่น ยามนี้เห็นอีกฝ่ายพาเมิ่งถิงฮุยควบม้าตรงออกจากสนามฝึกมุ่งหน้าไปทางวังซีหวา หวงปอก็กระโดดขึ้นหลังม้าทันที สะบัดแส้ควบม้าไปทางลัด ต้องการจะเร่งไปให้ถึงวังซีหวาก่อนฮ่องเต้เพื่อจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย
เหล่าขุนนางสำนักกลาโหมต่างมองหน้ากันไปมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันกะทันหันทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูกในทันที ดีที่ฟางข่ายมีท่าทีตอบสนองเร็ว หมุนตัวไปบอกให้ทหารองครักษ์ในสนาม รวมถึงเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างสนามแยกย้ายกันไป ทว่าตนเองกลับมองตามเงาด้านหลังของม้าฝีเท้าดีสีดำที่ห้อตะบึงทรายเหลืองปลิวคละคลุ้ง ยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานาน
เจียงผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด กล่าวกับฟางข่ายว่า “ขุนพลฟางเห็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำเมื่อครู่ชัดเจนหรือไม่” แม้ทั้งสองจะเข้ามาอยู่สำนักกลาโหมนานแล้ว แต่ยังคงเคยชินกับการเรียกกันแบบเก่าสมัยที่อยู่ในกองทัพ
ครานี้ฟางข่ายจึงได้ถอนสายตากลับ ผงกศีรษะน้อยๆ เมื่อชายตามองไปเห็นสีหน้าเจียงผิงก็พูดอย่างรำคาญใจ “เรื่องนี้มีอะไรคู่ควรให้ต้องตื่นตระหนกตกใจ พูดถึงซั่งหวงกับผิงอ๋องในตอนนั้น ขุนพลเซี่ยกับอิ่งกั๋วฮูหยิน เสิ่นไท่ฟู่กับใต้เท้าเจิง เรื่องเหล่านั้นมีเรื่องใดบ้างไม่แปลกประหลาดกว่าวันนี้ ขุนพลเจียงไม่ได้แก่คร่ำครึเหมือนพวกขุนนางในที่ทำการสำนักการปกครองที่วันๆ เอาแต่คิดแผนการร้ายเต็มไปด้วยเงื่อนงำ จะแสดงสีหน้าเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด”
เจียงผิงแค่นเสียงฮึเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบเครา ในใจรู้ฟางข่ายแต่ไรมาก็พูดจาตรงไปตรงมา จึงไม่ถือสาเขา ปากก็บอก “ผู้แซ่เจียงเพียงอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เพิ่งรู้ว่าข่าวลือก่อนหน้านี้มากน้อยก็มีความจริงอยู่บ้าง ฝ่าบาททรงเป็นพระโอรสองค์เดียวของผิงอ๋อง ทั้งการวางแผนปกครองแผ่นดินก็ไม่แพ้ให้กับผิงอ๋องในตอนนั้น ต้องการสตรีสักคนยังไม่ถึงกับต้องให้พวกที่อยู่ในที่ทำการสำนักการปกครองมาชี้มือชี้ไม้ ก็ได้แต่มองคนเหล่านี้แต่ละคนวันๆ นัยน์ตาจมูกแหงนขึ้นฟ้า หารู้ไม่ผืนแผ่นดินนี้ใครเป็นคนต่อสู้ทำศึกยึดครองมาได้! เปรียบกับผิงอ๋องแล้วฝ่าบาททรงมีอุปนิสัยสุขุมสำรวมกว่ามาก ถึงได้ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้ปัดแข้งปัดขากันด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย ถ้าฝ่าบาทตรัสออกมาคำเดียว ท่านข้าขุนพลเก่าในกองทัพเหล่านี้หาใช่พวกกินผัก*”
ฟางข่ายเข้าใจอุปนิสัยเจียงผิงเป็นที่สุด นี่คือคนที่ในตอนนั้นแม้แต่กับซั่งหวงยังกล้าใช้ดาบใช้หอก ความจงรักภักดีที่มีต่อผิงอ๋องยิ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ ปกติยามพูดจาไม่เคยคิดอะไรมาก เวลานี้ได้ยินคำพูดของเขาแล้วฟางข่ายก็โบกมือติดๆ กันบอก “คำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดช! การแก้ไขกฎระเบียบของราชสำนักไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในชั่ววันหรือคืนเดียว ฝ่าบาทย่อมทรงใคร่ครวญและมีแผนการ เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงเรื่องนี้ อีกทั้งสำนักกลาโหมแต่ไรมาก็ไม่ถามไถ่เรื่องการเมือง สำนักการปกครองก็ไม่ก้าวก่ายกิจการทหาร เจ้าไม่อาจทำให้เหล่าขุนนางอาวุโสต้องอึดอัดลำบากใจในราชสำนัก!” เขาหมุนตัวกวาดตามองแม่ทัพนายกองของกองทหารองครักษ์ที่อยู่ในสนาม แล้วกดเสียงลงต่ำบอก “รอสายอีกสักหน่อย เจ้าอย่าลืมถ่ายทอดคำสั่งลงไป เรื่องที่ฝ่าบาททรงทำในสนามฝึกวันนี้จะต้องไม่แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอกเด็ดขาด ถ้าพวกขุนนางอาวุโสรู้แม้แต่น้อยนิด ทุกคนที่อยู่ในสนามฝึกตอนนี้จะถูกตัดสถานะทางทหารและถูกลดขั้นให้ไปอยู่ชายแดน!”
คำพูดนี้พูดได้เด็ดขาดดุดัน หากไม่ใช่คนที่ปกครองกองทัพมายาวนานไม่มีทางกล้าออกคำสั่งที่เข้มงวดเช่นนี้ แต่เจียงผิงฟังแล้วถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย บอกว่า “เรื่องนี้ยังต้องให้ขุนพลฟางสั่งกำชับ ถ้าฝ่าบาทกระทั่งอยู่ต่อหน้าเจ้ากับข้ายังไม่สามารถทำในสิ่งที่ทรงต้องการทำ เช่นนั้นผู้แซ่เจียงก็ต้องยอมรับผิดและขอให้ผิงอ๋องลงโทษแล้ว”
จากนั้นฟางข่ายก็ยกมือขึ้นกวักมือเรียกเขาให้ออกจากสนามพร้อมกัน พูดไปพลางเดินไปพลาง “ดีที่เมิ่งถิงฮุยยังสามารถขี่ม้าได้น้าวคันธนูเป็น ถ้าคนที่ฝ่าบาทโปรดปรานไว้วางพระทัยเป็นหญิงงามที่งามหยาดเยิ้มอ่อนแอบอบบาง ผู้แซ่ฟางก็จะไปเมืองหลวงตะวันตกพูดคุยถึงเหตุผลกับซั่งหวงจริงๆ แล้ว!”
เจียงผิงได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน หว่างคิ้วขมวดมุ่นจนคลายไม่ออก
แสงอาทิตย์ร้อนแรงเหนือศีรษะสาดส่องลงมาที่พื้น แผดเผาจนทั้งด้านนอกด้านในสนามฝึกแห่งนี้ร้อนระอุ ทรายละเอียดบนพื้นเคลื่อนตัวไปตามแรงลม รอยเกือกม้าเป็นแถวๆ ในช่วงก่อนหน้านี้จางหายไปนานแล้ว เหลือเพียงลูกธนูที่ด้านปลายมีขนนกสีขาวปักกระจายอยู่บนเป้าหลายสิบดอก ยังคงสั่นไหวอยู่