ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เดิมอยู่ที่วังซีหวา ทว่านับแต่ขึ้นครองราชย์มาเพราะยุ่งอยู่กับงานราชกิจแผ่นดินจึงมักค้างคืนที่ตำหนักรุ่ยซือ ดังนั้นวังซีหวาจึงกลายเป็นวังลึกตำหนักห่างไกลที่ลงกลอนไว้ทุกคืน แม้แต่ขันทีนางกำนัลที่อยู่รับใช้ในวังก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ถอนออกไปทั้งหมดเพื่อลดค่าใช้จ่ายปกติของวังหลวง
ตอนสองคนหนึ่งม้าควบขี่มาถึง หวงปอได้เร่งรุดมาถึงก่อนนานแล้ว ก่อนสั่งการให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ด้านนอกตำหนักล่าถอยออกไปจนหมด และเปิดประตูรออยู่
ม้าฝีเท้าดีสีดำหยุดอยู่ที่หน้าขั้นบันไดอย่างฉับพลัน มันแหงนหน้าส่งเสียงร้องยาว รอสองคนลงจากหลังม้า หวงปอก็เข้ามาจูงม้า แล้วก้มหน้าล่าถอยไปอย่างรู้จักดูทิศทางลม
ครั้นเข้าไปในตำหนักแล้วก็ปิดประตู เสียงดาลประตูหนักอึ้งดังกังวานขึ้น ฝุ่นละอองถูกแรงสะเทือนจนปลิวกระจาย เม็ดฝุ่นเล็กๆ ลอยตัวอยู่ในแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้มุมสว่างของตำหนักมุมนี้แผ่คลุมไปด้วยละอองฝุ่นหนาอีกครั้ง
นางยืนตัวตรง หัวใจยังคงเต้นเร็วยิ่ง ลมหายใจค่อนข้างหอบหนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างของเขาที่ยืนอยู่ข้างหน้า พลันรู้สึกราวถูกน้ำพุใสเย็นสาดรดลงมาที่ศีรษะ สมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท” นางรู้เพราะก่อนหน้านี้ตนเอาแต่ใจเกินไปจนทำให้เขาโกรธ จึงขออภัยแต่โดยดี “หม่อมฉันรู้ตัวว่าผิดแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงยับยั้งโทสะ”
เขามีสีหน้าราบเรียบไม่คล้ายกำลังโกรธ แต่แววตากลับคมกริบ “เจ้าผิดที่ตรงใดหรือ”
นางยิ่งทำตัวว่าง่าย “หม่อมฉันไม่ควรพูดว่าจะไม่ฝึกขี่ม้ายิงธนู ยิ่งไม่ควรปฏิเสธความตั้งใจดีที่ฝ่าบาททรงมีต่อหม่อมฉัน” นางกล่าวทวนคำพูดของเขาอีกครั้ง จงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ความตั้งใจดี’ เป็นพิเศษ เพียงรู้สึกว่าใบหน้าออกจะร้อนผ่าว ทั้งที่รู้ถึงความรักของเขา แต่กลับไม่กล้าเชื่อคำพูดที่เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาบนหลังม้าเมื่อครู่ และช้อนตาขึ้นมองเขาเงียบๆ
เขากล่าวอย่างไม่เผยอารมณ์ “รู้ตัวว่าผิดแล้วจริงหรือ”
นางรีบพยักหน้า “จริงเพคะ”
หัวคิ้วของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย เบี่ยงตัวไปเริ่มถอดเสื้อเกราะ ยกมือขึ้นถอดเกราะที่แขนออกก่อน แล้วดึงเกราะที่ไหล่ที่อก พอจะขยับอีกครั้งกลับคิดไม่ถึงว่านางจะแนบตัวเข้ามา มือเล็กคู่หนึ่งโอบไปรอบเอวเขา แล้วกอดเขาเอาไว้ “ฝ่าบาท”
แม้ความน่าเกรงขามในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาจะมีอยู่มาก แต่นางก็รู้ว่าที่เขาควบม้าพานางมาวังซีหวามีความหมายว่าอย่างไร นางความคิดฉลาดเฉียบแหลม เห็นเขาไม่คล้ายโกรธเคืองจริง จึงเป็นฝ่ายช่วยถอดชุดเกราะที่เหลือของเขาออก จากนั้นจึงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง
เขามองจ้องดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้นของนาง ยืนนิ่งอยู่นานจึงค่อยๆ ยื่นมือลงไปกอดนาง
ปลายนิ้วเพิ่งจะสัมผัสถูกร่างนาง นางก็รุกเร้าพันพัวเขาทันที ก่ายขึ้นมาบนตัวเขา ให้เขาโอบกอดไว้ และโน้มตัวมาจุมพิตแก้มและริมฝีปากของเขา