ตอนค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว ในตำหนักม่านเตียงสีเขียวอีกาทิ้งตัวห้อยลงมาดุจม่านน้ำตก ปิดกั้นแสงเทียนดวงดาวที่อยู่นอกตำหนักไว้ทั้งหมด
นางยื่นมือออกไปลูบคลำท่ามกลางแสงราตรีกาลสลัวราง ข้างกายไม่มีคน
ทว่าเมื่อมองผ่านม่านเป็นชั้นๆ ก็พอจะมองเห็นเงาร่างคนที่อยู่หน้าโต๊ะทองในห้องโถงชั้นนอกได้รำไร ท่าโน้มตัวถือพู่กันดูแข็งแรงผึ่งผาย แสงเทียนในวังสลัวๆ ส่องใบหน้าของเขาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน
นางลุกจากเตียงก่อนคว้าเสื้อผ้ามาคลุมร่างกายที่เปล่าเปลือย ลงสู่พื้นด้วยเท้าเปล่า แล้วเดินอย่างเบามือเบาเท้าไปหาเขา
ประตูตำหนักด้านนอกปิดอย่างแน่นหนา ตลอดทางเข้ามาตำหนักด้านในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยของนาง ภายใต้แสงเทียนอันอบอุ่นยามค่ำคืนยิ่งดูเคลือบคลุมมีเลศนัย ทำให้นางเห็นแล้วรู้สึกใบหน้าเห่อร้อน
จากหน้าประตูถึงโต๊ะทรงพระอักษร จากตำหนักด้านนอกถึงตำหนักด้านใน ลำตัวแนบชิดกับผนังที่เย็นและแข็ง คลอเคล้าคลอเคลียกันเข้าไปบนที่นอนนุ่มอุ่น ยืนอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ คุกเข่าอยู่ เอียงตัวอยู่…ภาพที่ชัดเจนและน่าอายเหล่านั้นผุดขึ้นมาในสมองของนาง ทำให้นางเดินไปก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่
เพียงหวนนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ โคนหูของนางก็เริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมารำไร
เขาเป็นฮ่องเต้ของราษฎรนับหมื่นในใต้หล้า และเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในชีวิตของนาง การปกครองที่เข้มแข็งและความเฉลียวฉลาดของเขาตอบสนองทุกความคาดหวังของนางที่มีต่อกษัตริย์ผู้ปรีชาญาณพระองค์หนึ่ง ความนุ่มนวลอ่อนโยนของเขาตอบสนองความจริงใจของนางที่ทุ่มเทให้กับความรักมาสิบปี ความอ่อนโยนเอาอกเอาใจที่ดุดันไร้เหตุผลของเขารุกล้ำเพียงนั้นแต่ก็ช่างเอาใจใส่เพียงนั้น เพียงพอที่จะตอบสนองร่างกายที่อ่อนนุ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาของนาง
ในใจของนางบุรุษผู้นี้สมบูรณ์ไร้ที่ติเพียงนี้ ทั่วทั้งร่างหาสิ่งที่ทำให้นางรังเกียจไม่พบสักนิด แล้วจะให้นางไม่รักเขาได้อย่างไร
เขาเท้าแขนกำลังอ่านหนังสือกราบทูลข้อราชการในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ หมึกแดงที่ปลายพู่กันเริ่มแห้ง กระทั่งนางเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว
นางเดินย่องไปข้างหลังเขา แล้วยื่นมือออกปิดตาทั้งสองของเขาเบาๆ พลางกลั้นหัวเราะ พูดเสียงกระซิบ “ฝ่าบาทไม่ทรงเหนื่อยหรือเพคะ ยังมีแก่ใจมาตรวจดูหนังสือกราบทูลข้อราชการอีกหรือ”
พูดยังไม่ทันขาดคำดีเขาก็หันมาคว้าแขนของนาง ดึงนางมานั่งบนตัก แล้วก้มหน้าลงกัดติ่งหูของนาง กล่าวเสียงแหบพร่า “ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่ไม่รู้สึกเหนื่อย ผู้น้อยล่วงเกินเบื้องสูง เจ้าควรมีความผิดสถานใด”
นางดิ้นรนเล็กน้อยแต่ไม่อาจหลุดจากการกักขังของเขา จึงกะพริบตาพลางยิ้มหวานโน้มตัวเข้าไป เล่นลูกไม้อย่าง ‘หน้าด้านๆ’ ขึ้นมา นับนิ้วแล้วพูดกับเขา “อีกครึ่งเดือนจะมีการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการ หม่อมฉันกับใต้เท้าสวีเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบร่วมกัน จะต้องปิดสนามสอบนานกว่าสิบวัน ไม่มีทางได้พบฝ่าบาท และหลังกรมพิธีการติดประกาศผลการสอบยังมีการสอบหน้าพระที่นั่งต่ออีก…รอการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ งานเลี้ยงฉยงหลิน* พิธีขี่ม้ายิงธนูต่างๆ เหล่านี้เสร็จสิ้นลงคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน หม่อมฉันจะเอาโอกาสจากที่ใดมาอยู่ตามลำพังกับฝ่าบาทในตำหนักเช่นวันนี้ได้”
เขารู้ปกติยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางมักสำรวมตนรักษามารยาท แม้แต่ตอนอยู่ตามลำพังกับเขาก็น้อยครั้งมากที่จะได้เห็นนางมีท่าทางรบเร้าเซ้าซี้คนเช่นนี้ จึงอดนึกขบขันขึ้นมาไม่ได้ แต่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เมิ่งถิงฮุย เวลานี้เจ้ากลับรู้จักหยิ่งผยองเพราะถือดีว่าได้รับความโปรดปรานแล้วหรือ”
นางหลุบตาลงเงียบๆ ดึงฝ่ามือใหญ่ของเขาไป แล้วเขียนตัวอักษรทีละเส้นทีละขีดลงบนกลางฝ่ามือเขา ปากก็บอก “หม่อมฉันหาใช่ถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘หยิ่งผยอง’ หากแต่หม่อมฉันถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘ออดอ้อน’…”
เขากลั้นไม่อยู่จึงหัวเราะเสียงต่ำออกมา ก่อนคว้าจับนิ้วมือเล็กนุ่มนิ่มของนางไว้ พยักหน้าบอก “ไม่เสียทีที่เจ้ามาจากกองอาลักษณ์ เวลานี้อยู่ในตำแหน่งขุนนางใหญ่สองฝ่าย นิสัยพินิจถ้อยคำเล่นตัวอักษรยังไม่เปลี่ยน แต่ ‘ออดอ้อน’ นี้ถูกใจข้านัก ต่อไปอนุญาตให้เจ้าถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจึง ‘ออดอ้อน’ ”
ดวงหน้าของนางแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาสุกใสแวววาว มองจ้องเขาพลางเม้มปากยิ้ม
เขาลูบมือไปตามเรือนผมยาวของนางที่ปล่อยสยายลงมาคลุมไหล่ นิ้วมือขีดผ่านแก้มนางเบาๆ แล้วกระชับอ้อมแขนกอดนางแน่นขึ้น