วันรุ่งขึ้นกรมพิธีการติดประกาศรายชื่อที่นอกสนามสอบ จวี่เหรินที่เข้าสอบพันกว่าคน เหล่าราษฎรในเมืองหลวงที่ชอบความครึกครื้น เหล่าขุนนางในเมืองหลวงที่ไม่ต้องเข้าราชสำนัก ยังมีบรรดาขุนนางสตรีที่จิตใจว่อกแว่กเหล่านั้นต่างพากันมาดูรายชื่อที่ปิดประกาศ ทางตอนใต้ของถนนอวี้เจียมีคนยืนดำมืดไปหมด ศีรษะคนรวมอยู่ด้วยกันขยับไปมาดุจกระแสคลื่น ไม่สามารถนับได้ว่ามีคนมากเท่าใดกันแน่
เมิ่งถิงฮุยเพราะเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบเป็นครั้งแรก จึงอยากจะไปดูบรรยากาศที่คึกคักในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในครั้งนี้ จึงตื่นแต่เช้าแล้วออกจากบ้านตามลำพังไปที่ด้านนอกสนามสอบ ปะปนอยู่ในหมู่คนรอดูการติดประกาศ
นางไม่ได้สวมชุดขุนนางสตรี มวยผมก็เพียงรวบแบบธรรมดาที่สุด รอบตัวเสียงคนอึกทึกครึกโครมไม่หยุด ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายไม่มีใครจำได้ว่านางก็คือ ‘ใต้เท้าเมิ่ง’ ที่ถูกผู้คนในเมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์ไปมาผู้นั้น ครั้นแล้วนางจึงแสร้งทำเป็นจวี่เหรินสตรีที่มาเข้าร่วมการสอบ แลซ้ายมองขวา มีความสุขอยู่ในความอิสระ ระหว่างรอการติดประกาศนางบังเอิญได้ยินเหล่าบัณฑิตที่มาจากที่ต่างๆ จำนวนมากแสดงความคิดเห็นกันเป็นการส่วนตัวว่าฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม ในใจอดไม่ได้ที่จะยิ่งรู้สึกดีใจ มุมปากก็เจือรอยยิ้มบางอยู่ตลอดเวลา
ตอนบรรดาเจ้าหน้าที่กรมพิธีการออกมาติดประกาศรายชื่อฝูงชนก็คึกคักขึ้นมา ชื่อที่เขียนด้วยหมึกดำร้อยกว่าชื่อเรียงรายแน่นแผ่นประกาศดึงดูดความสนใจคนยิ่งกว่าทองคำแท้เนื้อเต็มเสียอีก เสียงเอะอะอึกทึกค่อยๆ เงียบลง ทุกคนต่างรอคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าอ่านชื่อบนประกาศออกมา
ก้งเซิงที่กรมพิธีการตัดสินออกมามีทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบแปดชื่อ ในนั้นมีก้งเซิงสตรียี่สิบสามรายชื่อ ตัวเลขนี้มากกว่าการคาดการณ์ของผู้คนมาก ชั่วขณะนั้นคนที่มาดูติดประกาศต่างประหลาดใจ พากันทอดถอนใจ
เมิ่งถิงฮุยได้ยินเสียงอุทานของผู้คนก็เพียงยิ้มบางและถอยออกมาจากกลางฝูงชน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปบ้าน
ผู้คนหนาแน่นไปมาขวักไขว่ ตอนนางหมุนตัวก็มีคนขวางทางนางอยู่พอดี นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษในชุดเสื้อคลุมยาวสีเรียบ จึงกล่าวเสียงเบา “รบกวนขอทางด้วย”
บุรุษผู้นั้นได้ยินแล้วก็เบี่ยงตัวเปิดทาง หยักยกมุมปากมาให้นางเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนางเดินผ่านก็มองเขาอย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง เห็นบุรุษผู้นี้แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่าหัวคิ้วนัยน์ตาคมเข้มงดงาม เค้าหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่า บุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย
และรอยยิ้มจางที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนใบหน้าของเขากลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
นางหลุบตาสาวเท้าเร็วๆ เดินไป กลับได้ยินที่ด้านหลังมีคนร้องเสียงดัง “พี่อิ่น! พี่อิ่นมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่ง ต้องเชิญพวกข้าไปดื่มสุราจึงจะถูก!”
ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก หมุนตัวไปทันที มองกลับไปก็สบเข้ากับสายตาของบุรุษผู้นั้นที่ยังไม่ได้ละสายตาไปพอดี ใบหน้าอันหล่อเหลายังคงยกยิ้ม เห็นนางมองกลับมาก็ประสานมือค้อมศีรษะน้อยๆ ให้นาง
นางย่นหัวคิ้ว เห็นบุรุษผู้นั้นถูกหลายคนที่อยู่ข้างหลังหัวเราะพลางฉุดลากตัวไปแล้ว จึงหมุนตัวกลับมาช้าๆ
พี่อิ่น พี่อิ่น…อิ่นชิงคือเขากระมัง
นางอดนิ่งเงียบไปไม่ได้
ด้วยความรู้ความสามารถของเขา หลังการสอบหน้าพระที่นั่งจะต้องติดอันดับแน่นอน และวันหน้าเมื่อเขาเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ด้วยความสามารถระดับนี้กอปรกับรูปโฉมที่หล่อเหลาเช่นนี้ ไม่รู้จะก่อให้เกิดคลื่นลมเช่นใดในหมู่ขุนนางสตรี
คิดพลางนางก็รู้สึกน่าสนุกขึ้นมา
เสิ่นจือซูจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งที่ต่างเมืองเกือบสองปีแล้ว ในเมืองหลวงในราชสำนักก็มีน้อยคนมากที่มีท่วงทีสง่างามเช่นเขาในตอนนั้นได้ เวลานี้อิ่นชิงผู้นี้ เมื่อเปรียบกับเสิ่นจือซูแล้วกลับไม่ด้อยกว่าเลย อีกทั้งเขาไม่มีวงศ์ตระกูลที่ทำให้คน ‘เห็นแล้วเกิดความหวาดกลัว’ เช่นเสิ่นจือซู คิดว่าจะต้องทำให้เหล่าขุนนางสตรีในราชสำนักแห่แหนเข้ามาแย่งชิงแน่นอน
กลีบดอกจากต้นท้อที่ริมถนนปลิดปลิวลงมา พร่างพรมกลิ่นหอมบางเบาลงมาที่ร่างของนาง นางเดินไปเรื่อยๆ ก็อดแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามดวงตะวันที่สดใสไม่ได้ ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม
ได้เห็นการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งแรกหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็มีคนที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ภาพที่บ้านเมืองสงบสุขเจริญรุ่งเรืองทำให้คนสบายใจ นางมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใด