ก่อนการสอบหน้าพระที่นั่ง นางทำตามกฎระเบียบเอาความเรียงในการสอบของกรมพิธีการที่คัดลอกและจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วมาทูลถวายให้ฮ่องเต้ผ่านตา
แม้จะรู้ว่าไม่อาจทำเกินขอบเขตมากเกินไป แต่นางยังคงอดใจไม่อยู่เอาเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับที่เฉาจิงมอบให้นางในช่วงก่อนหน้านี้มาที่ตำหนักรุ่ยซือด้วย และส่งขึ้นไปพร้อมกับความเรียงของพวกอิ่นชิง
“ฝ่าบาท” นางอยู่ที่ด้านล่างโต๊ะทรงพระอักษรไม่ได้ล่าถอยออกไป เพียงรอให้เขาพลิกดูความเรียงเหล่านั้นพลางเลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันบังเอิญได้รับบทกวีที่อิ่นชิงเป็นผู้แต่ง เปรียบกับความเรียงบทนี้ของเขาแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่องยิ่งกว่า ฝ่าบาทจะทรงอ่านดูสักหน่อยหรือไม่เพคะ”
ระยะนี้อิ่นชิงอยู่ในเมืองหลวงมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นที่รู้จักในกลุ่มปัญญาชนว่าเป็นบัณฑิตจากเฉาอันเป่ยลู่ และผู้สอบได้ตำแหน่งฮุ่ยหยวนในการสอบของกรมพิธีการในเมืองหลวงมีคำเล่าลือว่ามีขุนนางในราชสำนักต้องการให้เขาเป็นบุตรเขย เวลานี้การสอบหน้าพระที่นั่งแม้จะยังไม่เริ่มขึ้น กลับเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักมีความมุ่งหวังต่อคนผู้นี้สูงเพียงใด
อิงกว่าได้ยินคำพูดของนางก็โยนกระดาษในมือ เอนร่างพิงพนักเก้าอี้ หลุบตามองจ้องนาง “เจ้าเคยพบกับอิ่นชิงผู้นี้หรือไม่”
นางพยักหน้าไปตามตรง “เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งเพคะ”
เขานิ่งรออยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็บอก “หลายวันก่อนได้ยินคนพูดถึง บอกคนผู้นี้หล่อเหลายิ่ง”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วบอก “หม่อมฉันคิดว่าหากเปรียบกับใต้เท้าเสิ่น…เสิ่นจือซู อิ่นชิงก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อยเพคะ”
เขาดึงเทียบที่อยู่บนโต๊ะฉบับนั้นออกมาช้าๆ ยื่นนิ้วไปเปิดออก กวาดตาผ่านๆ จากนั้นก็มองไปที่นาง “ถึงกับคู่ควรให้เจ้าไม่สนใจการสอบหน้าพระที่นั่ง แล้วมาแนะนำคนผู้นี้ให้กับข้าในเวลานี้?”
นางฟังออกถึงความไม่พอใจในคำพูดของเขา อดรู้สึกอึดอัดลำบากใจขึ้นมาไม่ได้ จึงช้อนตาขึ้นมองเขาพลางอธิบาย “หม่อมฉันเกรงว่าฝ่าบาทจะพลาดบุคคลที่ทำประโยชน์ได้ไป หากอิ่นชิงแสดงความสามารถในการสอบหน้าพระที่นั่งได้ไม่ดี ชื่อหลุดจากสามอันดับแรก มิใช่เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งหรือ”
เขาใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก กล่าวช้าๆ “ถ้าคนผู้นี้เขียนความเรียงที่ดีในการสอบหน้าพระที่นั่งไม่ได้ ถึงตัวอักษรบทกวีจะเทียบได้กับราชบัณฑิตในราชสำนัก ข้าก็ไม่มีทางจะเมตตายกให้เป็นกรณีพิเศษเพราะคำพูดของเจ้า”
เมิ่งถิงฮุยรู้ครั้งนี้นางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว จึงก้มหน้าเงียบเสียง ไม่พูดอีก
ในตำหนักยังมีนางกำนัลที่ยังไม่ออกไป เขากลับกางแขนออกยันโต๊ะ กล่าวกับนาง “มานี่” รอนางก้าวเข้ามาข้างหน้าแล้วเขาก็กล่าวเสียงเย็น “เปรียบกับเสิ่นจือซูแล้วไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย หล่อเหลาอย่างไรหรือ”
นางชำเลืองมองสีหน้าไม่พอใจของเขา แล้วฟังน้ำเสียงของเขา ในใจพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าจึงแดงวูบขึ้นมาทันที พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “หม่อม…หม่อมฉันทั้งไม่รู้สึกว่าใต้เท้าเสิ่น เสิ่นจือซูหล่อเหลา และไม่รู้สึกว่าอิ่นชิงผู้นี้หล่อเหลา”
“ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง เจ้ากลับไม่กลัวหรือ” เสียงของเขายังคงเยียบเย็นเฉยเมย แต่หว่างคิ้วกลับคลายออกเล็กน้อย “ก่อนการสอบหน้าพระที่นั่ง ห้ามเจ้าพบก้งเซิงเป็นการส่วนตัวอีก”
นางรีบบอก “หม่อมฉันหาได้พบเป็นการส่วนตัว…” เห็นอธิบายได้ไม่ชัดเจน นางจึงเบ้ปากเสียเลย บอกว่า “ฝ่าบาททรงอยู่ในตำแหน่งโอรสสวรรค์ เหตุใดยังจะหึงหวงเพียงเพราะก้งเซิงผู้หนึ่งด้วย”
เขาถูกนางพูดแทงใจดำ สีหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที “เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
นางก็ไม่มีสีหน้าที่ดีให้เขาเช่นกัน กล่าวเสียงเย็น “หม่อมฉันบังอาจแล้ว ฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันได้เลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางแสดงท่าทีไม่คล้อยตามเขา เห็นชัดว่าเขาเองก็คาดไม่ถึงว่านางจะโกรธ คล้ายเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางในอีกด้านหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง ครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ ข้าหึงหวงแล้ว แล้วอย่างไร”