บทที่ 27-4
ห่าวค่วงเข้ารับราชการด้วยฐานะบัณฑิตจิ้นซื่อในรัชสมัยเสี่ยนผิงราชวงศ์ก่อน ผ่านฮ่องเต้มาสองพระองค์ และผ่านการเปลี่ยนแผ่นดินผลัดราชวงศ์ เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีท้องพระคลัง ภายหลังเนื่องจากสุขภาพอ่อนแอมีโรคประจำตัวมากจึงขอเกษียณอายุกลับบ้านเกิด ถึงแก่กรรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อเดือนสิบเอ็ด รัชศกเฉียนเต๋อปีที่ยี่สิบห้าที่บ้านในหลิ่วโจว เส้นทางหย่งซิง หลังจากฮ่องเต้ทราบเรื่องยังแต่งตั้งบรรดาศักดิ์และปูนบำเหน็จหลังจากถึงแก่กรรมให้เขาเป็นกรณีพิเศษ พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อขุนนางเก่าในราชวงศ์ก่อนทำให้เหล่าขุนนางราชสำนักในเวลานั้นรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
ห่าวค่วงกับสวีถิงเข้าสอบบัณฑิตจิ้นซื่อปีเดียวกัน ทั้งสองเป็นขุนนางในราชสำนักมาหลายสิบปี มีไมตรีจิตมิตรภาพต่อกันไม่น้อย ในช่วงหลายปีที่ห่าวค่วงลาออกจากราชการเพราะเจ็บป่วย สวีถิงก็ส่งของขวัญของกำนัลไปให้อยู่เสมอ ถึงหลังจากดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายแล้วก็ไม่ได้ห่างเหินจากห่าวค่วงที่อยู่ด้านนอก ขุนนางอาวุโสทั้งสองมีความสนิทสนมส่วนตัวกันมาก เรียกได้ว่าในราชสำนักไม่มีผู้ใดไม่รู้ นับแต่ย้ายเมืองหลวงรวมแว่นแคว้น เหล่าขุนนางอาวุโสที่เข้าเป็นขุนนางมาหลายสิบปีที่แก่ก็แก่ที่ป่วยก็ป่วย ทุกปีต้องมีคนลาออกจากราชการ แม้แต่ขุนนางสำคัญไม่กี่คนที่ยังคุมอำนาจอยู่ทุกวันนี้ มีคนใดบ้างที่ยังคงองอาจผึ่งผาย มีปณิธานยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นระหว่างขุนนางอาวุโสด้วยกันจึงมีความเห็นอกเห็นใจกัน คนนอกเห็นอยู่ในสายตาก็ไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้อง จะอย่างไรก็เป็นสหายร่วมงานกันมานานย่อมยากจะตัดขาดไมตรีจิตมิตรภาพ ถึงจะลาออกจากราชการไปแล้วแต่ก็ยังติดต่อกับขุนนางในราชสำนักอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ถ้อยคำในจดหมายส่วนตัวนี้กลับค่อนข้างน่าตกใจ ทำให้นางไม่อยากจะเชื่อว่าจดหมายนี้สวีถิงเป็นผู้เขียน
จดหมายที่นางถืออยู่ในมือฉบับนี้ลงวันที่เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนั้นฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาท แต่สวีถิงกลับไม่พอใจแนวทางการจัดการงานราชกิจขององค์รัชทายาทอย่างมาก และเขียนตำหนิไว้ในจดหมายที่เขียนถึงห่าวค่วงฉบับนี้ ระหว่างบรรทัดเต็มไปด้วยความแค้นเคือง นางแม้จะไม่ได้อ่านจดหมายฉบับอื่นในห่ออย่างละเอียดว่าเขียนอะไร แต่ก็พอรู้ว่าในนั้นจะต้องเป็นถ้อยคำที่สวีถิงแสดงความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ หาไม่อิ่นชิงก็คงไม่จำเป็นต้องเอามาให้นาง ทั้งยังบอกนี่เป็นของขวัญแรกพบหน้าเพื่อ ‘แสดงความจริงใจ’…
นางย่อมรู้ถึงความสำคัญของของชิ้นนี้ แต่นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดอิ่นชิงจึงมีของเหล่านี้ได้ จดหมายส่วนตัวระหว่างสวีถิงกับห่าวค่วง…หลังจากห่าวค่วงป่วยถึงแก่กรรม คนในครอบครัวยังคงอยู่เมืองหลิ่วโจว เส้นทางหย่งซิง บุตรชายสองคนแยกกันเป็นขุนนางที่เหอหยางตะวันออก และเส้นทางตะวันตกซึ่งอยู่ไกลออกไปนับพันหลี่ ส่วนอิ่นชิงมาจากเฉาอันเป่ยลู่ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะผูกสัมพันธ์กับคนในบ้านห่าวค่วงได้ ไม่ต้องพูดถึงจดหมายที่เป็นความลับส่วนตัวอย่างยิ่งยวดนี้ ถึงเป็นข้าวของธรรมดาทั่วไปของบ้านสกุลห่าว เขาจะเอามาไว้ในมือได้อย่างไร
ดินฟ้าอากาศแม้จะอบอุ่น แต่สายลมยามราตรีพัดผ่านถนน ยังคงทำให้นางอดตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวไม่ได้
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้รอยยิ้มบนใบหน้ายากแก่การคาดเดา นางไม่กล้าคาดเดาเจตนาของเขาง่ายๆ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยปากถามออกไป “ท่านได้จดหมายเหล่านี้มาได้อย่างไร”
อิ่นชิงกลับไม่ตอบ เพียงบอก “ของสิ่งนี้เพียงแสดงถึงเจตจำนงของผู้น้อยที่ยินดีจะติดตามใต้เท้าเมิ่ง ถ้าใต้เท้าเมิ่งเห็นว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องซักถามถึงความเป็นมาของจดหมายเหล่านี้”
เมิ่งถิงฮุยกลับกลัวตนเองจะตกหลุมพรางเขา ปากยิ้มเย็นบอก “ท่านบัณฑิตจิ้นซื่อที่เพิ่งเข้าราชสำนักผู้หนึ่ง เหตุใดจึงมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ได้ ท่านไม่กลัวข้าจะเอาของสิ่งนี้ไปมอบให้ใต้เท้าสวีโดยตรง ทำให้ท่านร่วงตกจากหลังม้า นับแต่นี้ไม่อาจลุกขึ้นมาเงยหน้าอ้าปากในราชสำนักได้อีกหรือ”
เป็นเพียงบุรุษที่เพิ่งเคยพบหน้ากันสองครั้ง จะให้นางเชื่อเขาได้อย่างไร
อิ่นชิงฟังแล้วยิ้มน้อยๆ บอก “ผู้น้อยย่อมกลัวใต้เท้าเมิ่งจะเปลี่ยนสีหน้าไม่ยอมรับคน แต่ผู้น้อยยินดีจะเดิมพันสักครั้ง เวลานี้ใต้เท้าเมิ่งกำลังติดขัดเรื่องโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านการทหารและขุนนางในกองการขนส่งของเฉาอัน ถ้าเป็นเพราะจิตใจที่ระแวงสงสัยและทำให้สูญเสียโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป ไยมิใช่น่าเสียดาย ใต้เท้าไม่สู้มาร่วมเดิมพันกับผู้น้อย ถึงที่สุดแล้วค่อยดูว่าต่อไปจะเชื่อผู้น้อยได้หรือไม่…เป็นอย่างไร”