บทที่ 27-5
นางเดินไปตลอดทาง ในใจก็คิดกลับไปกลับมา อิ่นชิงเกิดที่เฉาอันเป่ยลู่ คนที่มีความสามารถมีชื่อเสียงเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เป็นที่รู้จัก บางทีนางอาจเขียนจดหมายสักฉบับส่งไปที่ทำการเขตชิงโจว ขอให้เสิ่นจือซูช่วยสอบถามถึงภูมิหลังของคนผู้นี้ในเฉาอัน…
แต่แล้วนางกลับปฏิเสธความคิดนี้ของตน
เสิ่นจือซูเป็นข้าหลวงในเขตใหญ่ที่ชายแดน และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการขนส่งของเฉาอันเป่ยลู่ นางอยู่ในราชสำนักมีตำแหน่งขุนนางใหญ่สองฝ่าย ทั้งควบคุมดูแลสำนักคัดเลือกประเมินกรมปกครอง จะคบหาสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับขุนนางใหญ่ชายแดนได้อย่างไร
เรื่องที่นางต้องระวังมากที่สุดในเวลานี้ก็คือไม่อาจมีจุดอ่อนใดๆ ตกอยู่ในมือผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจส่งจดหมายส่วนตัวไปที่ชิงโจว ขอให้เสิ่นจือซูช่วยตรวจสอบภูมิหลังความเป็นมาของบัณฑิตจิ้นซื่อใหม่ผู้นี้เป็นอันขาด
เมื่อคิดได้ดังนี้นางก็อดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ฝีเท้าหนักอึ้งขึ้นมา
ปีนั้นตอนเข้าราชสำนักใหม่ๆ นิสัยที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่กลัวไม่ว่าอะไรก็ไม่กังวลเกรงว่าคงเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว คนเรายิ่งเดินขึ้นที่สูงก็ยิ่งยากจะยืนได้มั่นคง เรื่องที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญก็ยิ่งมีมากขึ้น จะเดินสักก้าว ก็ต้องห่วงหน้าพะวงหลังไปหลายสิบก้าว ทั้งยังต้องกลัวว่าเดินออกไปก้าวนี้จะทำให้หกคะเมนล้มลงไม่เป็นท่า
เด็กรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งเห็นนางเดินออกมาจากถนนอวี้เจียแต่ไกล จึงบังคับรถม้าเข้ามารับ เลิกม่านให้นางขึ้นรถ “ใต้เท้า พวกเรากลับบ้านกันเลยหรือไม่”
เมิ่งถิงฮุยมุ่นหัวคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง สั่นศีรษะบอก “ยังไม่กลับบ้าน เจ้าส่งข้าไปที่จวนใต้เท้าเลี่ยวผู้ตรวจการกลาง”
เด็กรับใช้รับคำ หมุนตัวแล้วบังคับรถออกไป ปากก็บอก “ใต้เท้ายังไม่ได้รับอาหารค่ำกระมังขอรับ ต้องระวังสุขภาพร่างกาย…”
นางนั่งอยู่ในรถม้ากลับไม่ได้ตอบคำ ในสมองเต็มไปด้วยสิ่งที่อิ่นชิงพูดเมื่อครู่
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคำพูดของอิ่นชิงมีเหตุผลยิ่ง ถ้านางเอาจดหมายเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับสวีถิงเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องพูดถึงว่าวันหน้าหากฮ่องเต้ทราบเรื่องเข้าจะมีผลตามมาเช่นไร ถึงสวีถิงจะรับปากว่าต่อไปทุกเรื่องของสำนักตรวจสอบคัดเลือก กรมปกครองจะไม่ทำให้นางลำบากใจอีก นางก็ไม่มีความมั่นใจว่าวันหน้าคนอื่นๆ ในกลุ่มขุนนางจะกระโดดออกมาขัดขวางหนังสือกราบทูลข้อคิดเห็นของนางทุกวิถีทางอีกหรือไม่ อีกทั้งถ้าสวีถิงไม่สร้างความลำบากใจให้นางอีก ในราชสำนักต้องบอกสวีถิงเป็นคนใจกว้าง ชื่อเสียงของนางเมิ่งถิงฮุยย่อมไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยนิด ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้เอาจดหมายเหล่านี้นำขึ้นทูลถวายฮ่องเต้โดยตรง ให้ฮ่องเต้ถอดถอนสวีถิงจากตำแหน่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มขุนนางรู้สึกหวั่นเกรงนาง และนางก็ไม่ต้องกังวลถึงผลที่จะตามมาจากเรื่องที่ตนรู้เรื่องจดหมายแล้วไม่รายงาน ทั้งหลังจากเหตุการณ์นี้ ‘กลุ่มเมิ่ง’ อยู่ในราชสำนักย่อมจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ถ้าเห็นขุนนางอาวุโสกลุ่มตะวันตกหลุดจากตำแหน่ง พวกที่รู้จักปรับตัวตามทิศทางลมก็ย่อมรู้ว่าต่อไปควรทำเช่นไร
นับแต่เลี่ยวฉงควนได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ตรวจการกลาง นางก็ยังไม่มีโอกาสแวะมาเยี่ยมคารวะเขาเลย แต่นางคิดในใจ ด้วยไหวพริบปฏิภาณของเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลในการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ได้อย่างไร และครั้งนี้หากนางคิดจะกล่าวโทษสวีถิงรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผย ย่อมไม่อาจขาดการสนับสนุนข้อคิดเห็นของสำนักตรวจการกลาง นี่ถือเป็นโอกาสที่จะไปจวนสกุลเลี่ยวอีกครั้ง จับมือกับเลี่ยวฉงควนนับว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คิดว่าเขาคงไม่ปฏิเสธคำขอของนาง เพราะเมื่อใดที่ตำแหน่งรองเสนาบดีสำนักการปกครองฝ่ายซ้ายว่างลง สถานการณ์ระหว่างปัญญาชนรุ่นใหม่ ขุนนางอาวุโสในราชสำนัก กลุ่มตะวันออกตะวันตกสองกลุ่ม และฝ่ายเมิ่งถิงฮุยของนางที่ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอจะต้องถูกทำลายลงอีกครั้ง สำหรับเขาเลี่ยวฉงควนก็มีผลประโยชน์ให้มุ่งหวัง
คิดพลางนางก็ยิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สาบานว่าจะต้องใช้จดหมายส่วนตัวเหล่านี้ทำให้เหล่าขุนนางอาวุโสได้รู้ นางเมิ่งถิงฮุยแม้ไม่ต้องพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ก็สามารถทำให้พวกเขาปล่อยมือเปิดทางได้
แม้เรื่องนี้จะต้องก่อให้เกิดคลื่นลมพายุที่สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในราชสำนัก แม้เรื่องนี้จะทำให้ชื่อเสียงเลวร้ายของนางโด่งดังขึ้นอีกครั้ง นางก็ต้องลงมือเดิมพัน
รถเข้ามาใกล้ตลาดอันคึกคัก ยิ่งวิ่งก็ยิ่งช้า เสียงจ้อกแจ้กจอแจของตลาดกลางคืนที่อยู่ด้านนอกดุจเสียงไม้หลิวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดังเข้ามาในหู
เมิ่งถิงฮุยจิตใจล่องลอย พลันหวนนึกถึงเมื่อครั้งมาเดินเที่ยวตลาดกลางคืนในปีนั้น ในใจอดอุ่นวาบขึ้นมาไม่ได้