ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่สิบ
สุ้มเสียงของคนผู้นั้นทุ้มใหญ่ติดจะแหบพร่าเหมือนจงใจกดเสียงพูดให้ต่ำลง
ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้างามเกลี้ยงเกลา
หรือว่าคนผู้นี้ไม่เข้าใจว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน
นางจะรับผ้าเช็ดหน้าของบุรุษได้อย่างไร
อาจเป็นเพราะมีความรู้สึกไม่ดีต่อพวกเขา ทำให้ฟู่ถิงจวินขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่คิดถึงว่าอย่างไรพวกเขาช่วยท่านเก้ากับนางไว้ จึงกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณท่านมาก บุญคุณในครั้งนี้ข้าไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต แล้วคงมิบังอาจรบกวนคุณชายไปมากกว่านี้!” กล่าวจบนางเบือนหน้าออกแล้วก้มตัวลงพยุงท่านเก้า
บุรุษผู้นั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นคลายยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสาทันที “แม่นาง ให้ข้าช่วยเถอะ! ลำพังท่านคนเดียวจะแบกเขาขึ้นมาได้อย่างไร!” เสียงเล็กๆ อ่อนหวานนุ่มนวลประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม ต่างจากเสียงเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง ฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลายอย่างยิ่ง
นี่กระมังถึงจะเป็นเสียงที่แท้จริงของเขา
เหตุอันใดเขาต้องกดเสียงให้ทุ้มต่ำลงยามพูดกับนาง
ฟู่ถิงจวินปรายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
เขามีสีหน้ากระดากๆ ขณะย่อเข่าลงไปพยุงท่านเก้า
“พวกท่านอย่าขยับตัวเขาส่งเดช!” ชายร่างกำยำผู้นั้นเดินเข้ามา ฝ่ามือใหญ่เท่าพัดใบลานยังเปื้อนโลหิต ไม่รู้ว่าเป็นโลหิตของเขาหรือพวกลูกน้องของชายหน้าเหลี่ยม “เขาใช้พละกำลังเกินตัว เกรงว่าจะบอบช้ำภายในด้วย ระวังจะทำให้อาการของเขาทรุดหนักขึ้น!”
ฟู่ถิงจวินฟังแล้วร้อนใจขึ้นมา นางคิดคำนึงว่าในเมื่อบุรุษผู้นี้ดูอาการบาดเจ็บของท่านเก้าออก เห็นทีว่าคงพอรู้วิชาแพทย์เล็กๆ น้อยๆ ด้วยเหตุนี้สายตาของนางที่มองเขาจึงฉายแววอ้อนวอนเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง “แล้วต้องทำอย่างไร”
ดวงตาดำขลับของนางฉาบด้วยม่านน้ำตา ยิ่งทอประกายแวววาวดุจหยกเนื้อใสชั้นเลิศ
ชายร่างกำยำมองนางซ้ำอีกคราอย่างอดใจไม่อยู่ก่อนกล่าว “ให้ข้าตรวจชีพจรของเขาดู”
ฟู่ถิงจวินรีบลุกขึ้นเปิดทางให้
เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ นิ้วมือแข็งสากใหญ่เทอะทะวางทาบบนจุดฉื่อกวนชุ่น* บนข้อมือท่านเก้าแล้วหลับตาลง ดูเหมือนกำลังจับชีพจรของท่านเก้าอยู่
ฟู่ถิงจวินกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ฉะนั้นมาตรว่าคนสองคนซึ่งยืนตรงอยู่หน้าประตูโถงจะสนทนากันเบาๆ ยังคงได้ยินเสียงลอยมาอย่างกระท่อนกระแท่น
“…ถูกปล้นสะดมไม่เหลือหลอ…หลายวันนี้ทางการตรวจค้นอย่างเข้มงวด พวกเขาไม่กล้ารั้งอยู่นาน…แต่ยังไม่ทันไรก็พบเข้ากับพวกเรา”
เป็นเสียงของชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่
พวกเขากำลังพูดคุยถึงสตรีที่ตกใจจนสิ้นสติสองนางนั่นใช่ไหม
ฟู่ถิงจวินอดชำเลืองมองไปทางนั้นมิได้
เห็นชายท่วงท่าผึ่งผายมีสีหน้าบูดบึ้ง เอ่ยกับอีกฝ่าย “ก็บอกมิใช่หรือว่าจะระดมกำลังจากกองพลมณฑลส่านซีมาปราบปราม ไฉนยังไม่ได้ยินข่าวใดอีก”
“ระดมพลครั้งใหญ่ มีหรือจะรวดเร็วปานนั้น!” ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่หยักยิ้ม ในรอยยิ้มมีร่องรอยระมัดระวังหลายส่วน “สองวันนี้สมควรเริ่มลงมือดำเนินการแล้วขอรับ”
ชายท่วงท่าผึ่งผายแค่นเยาะ “ถ้าพวกต๋าจื่อบุกมารุกรานเล่า พวกเขาก็ชักช้าอืดอาดเยี่ยงนี้หรือ ราชสำนักเลี้ยงทหารพันวัน ก็เพื่อใช้ในสงครามวันเดียว…”
ฟู่ถิงจวินฝืนข่มความตื่นตระหนกในใจไว้
คนผู้นี้เป็นใครกัน
ไม่เพียงล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของราชสำนัก ยังวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของราชสำนักด้วยน้ำเสียงติเตียนไม่พอใจประหนึ่งมีฐานะเป็นผู้อยู่เบื้องบน
ในใจฟู่ถิงจวินบังเกิดความระแวดระวัง นางเงี่ยหูหมายฟังให้ละเอียด กลับมีเสียงของชายร่างกำยำดังขึ้นข้างหู “เหลียนเซิง ท่านน่าจะมีรากตันเซิน* ติดไม้ติดมือบ้างกระมัง ขอสักสองชิ้นมาบรรเทาอาการก่อนชั่วคราว!”
ถ้อยคำของเขาดึงดูดความสนใจของฟู่ถิงจวินไป นางหยุดฟังคนทั้งสองสนทนากันแล้วมองไปทางบุรุษรูปงามเกลี้ยงเกลาผู้นั้น
บุรุษที่ชายร่างกำยำเรียกขานว่า ‘เหลียนเซิง’ พยักหน้า จากนั้นพูดด้วยสีหน้าสองจิตสองใจ “ข้ายังมียาทะลวงเลือดลม ท่านว่าจะให้เขากินสองเม็ดได้หรือไม่”
“ใช้ยาทะลวงเลือดลมไม่ได้” ชายร่างกำยำกล่าว “ยานี้มีสรรพคุณเดินลมปราณและสลายการอุดตัน แม้จะเป็นผลดีต่ออาการบอบช้ำภายในของเขา แต่เขามีบาดแผลภายนอกด้วย กินรากตันเซินฟื้นฟูร่างกายก่อน รอเมื่อได้สติเต็มที่แล้วค่อยใช้ยาทะลวงเลือดลมก็ยังไม่สาย”
ฟู่ถิงจวินเคยอ่านตำราแพทย์มาบ้างจึงรู้จักยาทั้งสองชนิดนี้เช่นกัน อีกทั้งวิธีใช้ยาของเขาก็ถูกต้องตามหลักการ นางอดมิได้ที่จะลอบเห็นพ้องอยู่ในใจและเชื่อถือในวิชาแพทย์ของบุรุษผู้นี้มากขึ้นอีกหลายส่วน
เหลียนเซิงเดินเขย่งปลายเท้าอ้อมผ่านศพตรงกลางโถงไปเอายาสองขวดมาให้
ฟู่ถิงจวินหาชามของตนเองจากกองข้าวของกระจัดกระจายด้านข้าง และเตรียมน้ำไว้พร้อมสรรพ
ชายร่างกำยำป้อนยาให้ท่านเก้ากินไปพลาง เอ่ยถามนางไปพลาง “มีเสื้อเก่าสะอาดๆ หรือไม่ ข้าจะใส่ยาสมานแผลให้เขา”
“มีๆๆ!” ฟู่ถิงจวินคิดถึงเสื้อผ้าไหมตัวสั้นสีฟ้านวลของนางตัวนั้น รีบเร่งหาออกมาแล้วตั้งท่าจะฉีกเป็นแถบยาวๆ
มีคนพลิ้วกายเดินเข้ามาแผ่วเบาดุจนกนางแอ่น “ท่านสิบหก!”
ฟู่ถิงจวินมองไปตามต้นเสียง
คนที่เข้ามากลับเป็นชายหน้าเหี้ยมที่หายตัวไปกลางคันผู้นั้น เขาค้อมกายคารวะชายท่วงท่าผึ่งผายอย่างนอบน้อม “ข้าน้อย…” เสียงของเขาเบาลงกะทันหัน ทำให้นางได้ยินไม่ชัดเจน “…สำเร็จลุล่วงตามที่มอบหมายขอรับ!”
พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน?
แล้วเมื่อครู่นี้ทำไมต้องแสร้งทำท่าไม่รู้จักกัน
ฟู่ถิงจวินตะลึงพรึงเพริดไปหมด มือเท้าอ่อนระทวย ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะฉีกเสื้อไปชั่วขณะ
พวกเขามีวิชายุทธ์สูงขนาดนี้ กลับยอมมอบเงินดีกว่าเป็นปฏิปักษ์กับชายหน้าเหลี่ยม พอเห็นพวกนางวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตายก็ไม่ช่วยเหลือ วางท่านิ่งเฉยไม่อยากมีเรื่องมีราว…เช่นนั้นเหตุไฉนพวกเขาถึงเปลี่ยนใจช่วยเหลือท่านเก้ากับนางเล่า
ฟู่ถิงจวินเย็นวาบที่สันหลัง แขนขาสั่นระริก รับรู้ได้รางๆ ว่าตนเองประสบพบเจอกับบางอย่างที่ไม่พึงควรพบเจอเสียแล้ว นางสูดลมหายใจลึกๆ หลายเฮือก ถึงจะฉีกเสื้อผ้าไหมขาดดังแคว่ก
ท่านสิบหกอมยิ้มพยักหน้าให้ชายหน้าเหี้ยมแล้วกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว มีเจ้าคนเดียวรึ”
“พวกข้ามีกันทั้งหมดยี่สิบคนขอรับ” เสียงพูดของเขาเป็นจังหวะจะโคนแฝงความหนักแน่นมั่นคงดุจขุนเขา “คนที่อยู่กับข้ามี…” เขาลดสุ้มเสียงลงเบาลงอีกครา “มีเพียงพวกข้าที่โชคดีได้พบท่านสิบหก…เขาไปตอบสารกลับแล้ว อีกไม่นานก็จะตามมาถึงขอรับ”
ท่านสิบหกผงกศีรษะน้อยๆ เดินเข้าไปหาฟู่ถิงจวิน
ชายหน้าเหี้ยมกับชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่พยักหน้าส่งยิ้มทักทายกัน ดูท่าทางคุ้นเคยกันดี
ทั้งคู่เดินตามอยู่ข้างหลังท่านสิบหกห่างไปสองก้าว
“เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านสิบหกเอ่ยถามชายร่างกำยำ “อาการสาหัสแค่ไหน”
ชายร่างกำยำรีบลุกขึ้นยืนคำนับแล้วกล่าวเสียงนอบน้อม “หัวไหล่กับกลางหลังมีบาดแผลจากดาบที่ละหนึ่งแห่ง แต่ไม่โดนเข้าจุดสำคัญ ดูท่าทางได้รับบาดเจ็บมาไม่ถึงสองวัน แต่มิได้ชำระล้างและใส่ยาสมานแผลอย่างทันท่วงที จึงเริ่มเน่าเปื่อยเป็นหนองแล้ว หากสามารถให้หมอตรวจอาการแล้วเขียนใบสั่งยาแก้พิษบาดแผลและพิษไข้ได้ก็จะเป็นการดีที่สุด ยังมีอาการบอบช้ำภายในที่รุนแรงมากเช่นกัน อย่างน้อยต้องนอนพักรักษาตัวหนึ่งถึงสองเดือนถึงจะหายเป็นปกติขอรับ…”
ฟู่ถิงจวินนั้นมองดูที่ด้านนอกสาบเสื้อของท่านเก้าแวบเดียวเท่านั้น หาได้รู้ไม่ว่าเขายังมีบาดแผลที่แผ่นหลังอีก เพราะข้อแรกนางรู้สึกอาย ข้อสองคือพันแผลไม่เป็น
พอได้ยินชายร่างกำยำกล่าวขึ้นเช่นนี้ นางเจ็บปวดใจเหลือหลาย
ไม่รู้ว่าหลายวันก่อนหน้านี้ท่านเก้าอดทนผ่านมาได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังพูดปลอบนางด้วยรอยยิ้มเสมอ
น้ำตาหญิงสาวไหลพรากอย่างสุดจะห้ามด้วยความร้อนอกร้อนใจ
ได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ ทางที่ดีคือเชิญหมอชื่อดังของเมืองซีอานมารักษาได้ แต่เขาต้องนอนพักนิ่งๆ ไม่อาจทนนั่งรถม้าตรากตรำ แม้นในมือนางมีตั๋วเงินสองพันตำลึง และของมีค่าราคาพันกว่าตำลึงเงิน หากเป็นยามปกติ คงใช้เงินก้อนนี้เช่าเรือนสักหลังและเชิญหมอชื่อดังของเมืองซีอานมาตรวจอาการได้อย่างไม่เป็นปัญหา ทั้งยังมีเหลือให้ใช้สอยอย่างสบายมือ แต่ขณะนี้เกิดภัยแล้งทุกหย่อมหญ้า ถึงมีเงินจ่าย หมอพวกนั้นคงไม่ออกจากซีอาน ครั้นจะเช่าเรือนก็กลัวถูกคนเร่ร่อนปล้นชิง…
นางต้องคิดหาหนทางให้ท่านสิบหกผู้นี้พาพวกนางไปส่งที่เมืองซีอาน
ขอแค่ไปถึงเมืองซีอาน มีอวี้เฉิงกับหยวนเป่า ท่านเก้าก็ปลอดภัยแล้ว
ฟู่ถิงจวินกัดริมฝีปาก คุกเข่าตัวตรงอยู่เบื้องหน้าท่านสิบหก
“ท่านผู้มีคุณ!” นางก้มหัวเล็กน้อย แลดูอ่อนแอหากยังแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็งอยู่ในที “ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิต ได้โปรดบอกนามต้องห้ามของท่านให้ข้าทราบด้วย ข้าจะได้ตั้งป้ายหินสดุดีให้ท่านผู้มีคุณอายุมั่นขวัญยืน และขอให้องค์โพธิสัตว์คุ้มครองท่านอยู่เย็นเป็นสุข พรั่งพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญ มีลูกหลานสืบสกุลบริบูรณ์ วงศ์ตระกูลเจริญรุ่งเรือง…”
ขณะที่กล่าววาจา นางสัมผัสได้ว่าสายตาของท่านสิบหกจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลาทำให้นางอึดอัดมาก แต่นางไม่กล้าเพ่งพิศสีหน้าของอีกฝ่าย ครั้นหางตาเหลือบมองไปที่รองเท้าเขาโดยไม่ตั้งใจ ฟู่ถิงจวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง
นางแลเห็นถุงเท้าของท่านสิบหก เป็นผ้าฝ้ายซานหลิงจากซงเจียง* ปักลายดอกไม้มงคล มีสายรัดสีเหลืองอร่าม
สายรัดสีเหลืองอร่าม…จากนั้นนางคิดไปถึงเสียงของเหลียนเซิง…เงินหลวง…
ในหัวนางอึงอลว่างเปล่า เหงื่อเย็นผุดออกมาตามหน้าผาก จอนข้างหู และแผ่นหลัง สุ้มเสียงของนางเนิบช้าตึงเครียดยิ่งขึ้นทุกทีแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
“เจ้าเป็นอะไรกับเขารึ” เสียงของท่านสิบหกทำให้หัวใจนางเต้นเป็นรัวกลอง “แล้วไว้ทุกข์ให้ผู้ใดกัน”
ฟู่ถิงจวินดึงสติคืนมา ไม่รู้จะกล่าวตอบเช่นไรดี
หากบอกว่านางกับท่านเก้าเป็นนายบ่าวกัน ถ้าท่านสิบหกถามซักไซ้ต่อไป นางคงเผยพิรุธเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้นางปัดคำตอบนี้ทิ้งไปทันทีโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
หากบอกว่าเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องต่างสกุลกัน ก็จะมีแค่ว่าเป็นบุตรของอาหญิงกับบุตรของลุงฝั่งมารดา หรือไม่ก็เป็นบุตรของน้าหญิงและบุตรของป้าฝั่งมารดาเท่านั้น
ถ้านางกับท่านเก้าเกี่ยวดองกันในแบบแรก เช่นนั้นลุงของนางคือ ’บิดา‘ ของท่านเก้า ส่วนน้าหญิงของนางก็เป็น ’อาหญิง‘ ของท่านเก้าด้วย ขณะที่บิดาของนางจะเป็น ’อาเขย‘ ของท่านเก้า
ถ้านางกับท่านเก้าเกี่ยวดองกันในแบบหลัง เช่นนั้นมารดาของนางก็คือ ’น้าหญิง‘ ของท่านเก้า ส่วนป้าของนางจะเป็น ’มารดา‘ ของท่านเก้า ขณะที่น้าชายของนางก็จะเป็น ’น้าชาย‘ ของท่านเก้าด้วย ฉะนั้นจะมีเหตุผลที่นางแต่งกายไว้ทุกข์แต่ท่านเก้าไม่ต้องที่ไหนกัน
ฝ่ามือหญิงสาวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ทว่านางไม่กล้าถ่วงเวลาแม้เสี้ยวขณะ
เหลือความเป็นไปได้เพียงประการเดียว…นางกลั้นใจเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นว่าที่ภรรยาของเขา!”
เมื่อเป็นว่าที่ภรรยา ท่านเก้าย่อมไม่ต้องไว้ทุกข์ให้ ’พ่อตา‘ เป็นธรรมดา
ในโถงกลางเงียบงันไปชั่วอึดใจ
หรือนางตอบไม่ถูก
ฟู่ถิงจวินฉุกคิดขึ้นได้ รูปโฉมภายนอกของท่านเก้ากับนาง…คนหนึ่งยากจนต่ำต้อย คนหนึ่งร่ำรวยสูงศักดิ์…
หญิงสาวเหงื่อกาฬแตกพลัก
“บ้านว่าที่สามีข้าอยู่ที่อำเภอหล่งซี” ที่นั่นขึ้นอยู่กับเมืองก่งชาง ห่างจากเมืองซีอานพันกว่าลี้ อีกทั้งในคราวนี้ผู้ประสบภัยอพยพหนีภัยออกมาจากที่นั่นเป็นที่แรก ต่อให้พวกเขาอยากสืบก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสืบได้เรื่องอะไร และยังสามารถอธิบายได้พอดีว่าเหตุใดท่านเก้าถึงผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก “ส่วนข้าเป็นคนอำเภอผิงเหลียงเจ้าค่ะ” นางจดจำถ้อยคำของท่านเก้าตอนอยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่ได้ แต่หล่งซีกับผิงเหลียงอยู่ห่างไกลกันเกินไป แล้วการแต่งงานครั้งนี้ได้รับการชักนำมาจากทางใดเล่า ความคิดในหัวนางแล่นเร็วรี่ “พวกเราสองตระกูลล้วนมีผู้อาวุโสทำการค้าอยู่ต่างเมือง จึงได้คบหากันเป็นสหายสนิท และตกลงจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
น่าจะพอพ้นตัวไปได้กระมัง!
“ต่อมาเมืองก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง คู่หมั้นข้าบ่ายหน้ามาพึ่งพาอาศัย ผู้ใดจะรู้ว่าความเป็นอยู่ของตระกูลข้าก็ประสบกับความลำบากอัตคัด เลยเดินทางไปหาญาติที่เว่ยหนาน คู่หมั้นข้าเสาะหามาตลอดทางกว่าจะได้พบกันที่หฺวาอินอย่างไม่ง่ายดาย กลับถูกคนเร่ร่อนปล้นชิง คู่หมั้นข้าคุ้มครองข้าหนีมาได้…” นางเริ่มร้องไห้กระซิกๆ
ส่วนว่าไว้ทุกข์ให้ใคร ก็ให้พวกเขาคิดกันเอาเองก็แล้วกัน!
ท่านสิบหกส่งสายตาไปทางเหลียนเซิง เขารีบเข้าไปกล่าวปลอบเสียงนุ่ม “แม่นาง โปรดระงับความโศกเศร้าด้วย!”
ฟู่ถิงจวินขยี้ตาแรงๆ ตอนที่ลดแขนเสื้อลง ทำให้ดวงตาแดงเรื่อๆ
ท่านสิบหกกล่าว “ในเมื่อพวกท่านจะไปเมืองซีอาน ไฉนมาที่อำเภอหลันเถียน อีกอย่างเขาได้รับบาดเจ็บเพราะอะไร”
นางเล่าเรื่องที่พบกับเฝิงเหล่าซื่อให้ท่านสิบหกฟัง ส่วนเรื่องบาดหมางเก่าก่อนของเฝิงเหล่าซื่อกับท่านเก้า และเรื่องที่คนของเฝิงเหล่าซื่อถูกท่านเก้าสังหารไปเกือบหมด รวมถึงข้อตกลงระหว่างท่านเก้ากับเฝิงเหล่าซานล้วนต้องปิดบังไว้ “…พอท่านเก้าหมดสติไป พวกข้าทั้งไม่รู้จักทาง ทั้งเข็นรถเข็นไม่ชำนาญ ก็โซซัดโซเซมาจนถึงที่นี่ ได้ยินว่าห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลมีเมืองหนึ่ง คิดจะเชิญหมอสักคนมารักษาท่านเก้า แต่เป็นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงเข็นท่านเก้าเข้าไปในเมือง เลยจำต้องหยุดพักในศาลเจ้าแห่งนี้ คาดไม่ถึงเลยว่า…”
ฟู่ถิงจวินพูดช้าๆ นางพูดไปพลางครุ่นคิดเรื่องนี้ไปพลาง
ฮ่องเต้ครองราชย์มานานสามสิบแปดปีแล้ว พวกองค์ชายไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ ฉะนั้นท่านสิบหกคงเป็นแค่เจ้าผู้ครองเขต
บัณฑิตจวี่เหรินชราวัยเลยหกสิบ คนที่สอนหนังสือนางเมื่อก่อนเคยเล่าว่าตั้งแต่ในรัชศกหยวนคังเคยมีท่านอ๋องยกข้ออ้าง ’กวาดล้างขุนนางทุจริต‘ เพื่อก่อกบฏจนเกือบล้อมบุกเข้ามาถึงเมืองหลวง นับจากนั้นเป็นต้นมาได้เกิดข้อห้ามเด็ดขาดสองข้อคือหนึ่งท่านอ๋องจะออกจากอาณาเขตของตนโดยไม่มีพระราชโองการไม่ได้ สองจะติดต่อพบปะขุนนางใหญ่ไม่ได้ โดยมีองครักษ์ประจำพระองค์หน่วยอาชาเหินทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวภายในอาณาเขตของเจ้าผู้ครองเขตทุกคน เสด็จอาของฮ่องเต้พระองค์นี้ซึ่งครองอาณาเขตซื่อชวนก็ถูกปลดเป็นสามัญชนเพราะถูกผู้บัญชาการหน่วยอาชาเหินถวายฎีกาฟ้องร้องว่าผูกสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้นกับหลิวรุ่ยเฮ่าผู้ตรวจราชการเขตซงฟานนั่นเอง
เจ้าผู้ครองเขตส่านซีคือเจี่ยนอ๋อง แต่ได้ยินคนพูดว่า เจี่ยนอ๋องมีวัยเลยห้าสิบแล้ว ไม่มีทายาทสืบสกุล หลายปีนี้กำลังเกิดปัญหายุ่งเหยิงจนสางไม่ออกเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ท่านสิบหกจะเป็นคนในตระกูลของเจี่ยนฮุ่ยอ๋อง ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นท่านอ๋องคนอื่น อาณาเขตที่ใกล้ๆ กับส่านซีมีอันอ๋องแห่งซื่อชวนทางทิศตะวันตก กับมู่อ๋องแห่งหูกว่างทางทิศใต้
นางเย็นวาบๆ ที่แผ่นหลัง
มิน่าเขาถึงต้องปกปิดร่องรอย!
ถ้าคนของหน่วยอาชาเหินล่วงรู้เข้า แค่การออกจากอาณาเขตโดยพลการเพียงข้อเดียวก็ทำให้เขาถูกปลดหรือจบชีวิตได้แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรท่านสิบหกถึงช่วยพวกนางไว้
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ฟู่ถิงจวินได้ยินท่านสิบหกถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “บ้านเมืองวุ่นวายเฉกยามนี้ ใช้ยุทธ์หยุดกาลีใช่อื่นใด” น้ำเสียงเขาทดท้ออย่างมาก
นี่เป็นกลอนบทหนึ่งในราชวงศ์ก่อนที่ตู้ฝู่* มอบให้แม่ทัพหลี่ซื่อเยี่ยซึ่งปกครองเมืองปินโจวอยู่ขณะเดินทางผ่านไปทางนั้น มีนัยความหมายถึง ’บัณฑิตปกครองดูแลบ้านเมือง นักรบปกปักรักษาแผ่นดิน’
คนที่อยู่ด้านข้างท่านสิบหกฟังแล้วก้มหน้านิ่งเงียบไป
ฟู่ถิงจวินกลับคิดคำนึงในใจ
ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง พี่ชายสามกับพี่ชายสี่พูดคุยถกเถียงกันว่า หลายปีมานี้ฮ่องเต้มุ่งแสวงหาวิถีสู่ความเป็นอมตะมาโดยตลอด ปล่อยให้ราชเลขาธิการเสิ่นซื่อชงเป็นผู้ดูแลงานราชกิจแผ่นดินทั้งหมด แต่เสิ่นซื่อชงผู้นี้มีจิตใจคับแคบ เชี่ยวชาญการประจบสอพลอ เจ้าคิดเจ้าแค้น อีกทั้งเลือกใช้คนใกล้ชิด กำจัดคนคิดต่าง ในรัชศกซีผิงปีที่สามสิบสี่ พวกต๋าจื่อมารุกราน ซูมู่ ผู้บัญชาการกองพลมณฑลส่านซีสนับสนุนให้สู้รบ ขณะที่เสิ่นซื่อชงสนับสนุนให้สงบศึก ซูมู่ถวายฎีกาสามฉบับภายในวันเดียว ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพเจิงซี ควบคุมดูแลกำลังทหารในส่านซี ต้าถง และเซวียนฝู่ ต่อมาซูมู่ขาดแคลนเสบียง ทว่าเสิ่นซื่อชงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ ทำให้เขาพ่ายศึกสิ้นชีพไป
หญิงสาวคิดถึงสีหน้าของท่านสิบหกตอนวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักกับชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เมื่อครู่นี้
ท่านสิบหกจะต้องทั้งขุ่นเคืองใจทั้งจนปัญญากับการบริหารราชการบ้านเมืองเป็นแน่แท้
นางยังคิดถึงสตรีและเด็กทารกที่พบเจอมาตลอดทาง ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าตนเองยังเอาตัวไม่รอดยังมีใจอยากช่วยเหลือเจือจาน นับประสาอะไรกับเจ้าผู้ครองเขตอย่างท่านสิบหก ยามมองเห็นชาวบ้านในอาณาเขตตนประสบความยากแค้นทุกข์เข็ญ เห็นทีว่าเขาจะต้องเสียใจ เป็นทุกข์ และคับแค้นยิ่งกว่านาง ดังนั้นคาดเดาได้ไม่ยากว่าเหตุไฉนท่านสิบหกต้องยื่นมือช่วยเหลือแล้ว
ในใจฟู่ถิงจวินสงบลงบ้าง
เสียงครางแผ่วๆ ดังขึ้นข้างหู จากนั้นเป็นเสียงอู้ๆ อี้ๆ ของท่านเก้า “แม่นางฟู่…”
ท่านเก้าฟื้นแล้ว!
ความรู้สึกนานัปการประดังประเดเข้ามาตรงกลางอก ไหนเลยหญิงสาวจะยังสนใจอีกว่าใครเป็นท่านอ๋องหรือไม่ นางลุกขึ้นวิ่งไปหาท่านเก้า “ข้าอยู่นี่ๆ”
ท่านเก้าหน้าซีดขาวราวกระดาษ
เขาพยายามลืมตาขึ้น
“ข้าเองๆ!” ฟู่ถิงจวินทรุดตัวลงนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างเขา
เขาเพ่งสายตาไปทางต้นเสียง มองนางด้วยแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “พวกเราคงมิได้ตายกันหมดแล้วกระมัง”
“ยังไม่ตายๆ” ฟู่ถิงจวินพูดตอบ ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางเพียงรู้สึกแปลบปลาบใจ พาให้น้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย “เป็นท่านสิบหกกับผู้ติดตามหลายท่านนี้ช่วยพวกเราไว้!” นางกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง
ท่านเก้าพยายามยันตัวจะลุกขึ้นแสดงคารวะพวกท่านสิบหก
“ไม่ต้องเกรงใจปานนี้” ท่านสิบหกบุ้ยใบ้บอกให้เหลียนเซิงเข้าไปห้ามปรามพลางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นขึ้นมารวดเร็วอย่างนี้ เห็นได้ว่าท่านมีพื้นฐานพลังยุทธ์ดีมาก ท่านร่ำเรียนวิชายุทธ์กับใครหรือ” ท่าทางเขาสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ท่านเก้าลุกขึ้นนั่งจนได้
หยดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาจากหน้าผาก
“แค่วิชายุทธ์แบบงูๆ ปลาๆ สองสามกระบวนท่าที่ถ่ายทอดในตระกูล ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง” เขากล่าวยิ้มๆ
“วิชายุทธ์เช่นนี้ยังเรียกว่างูๆ ปลาๆ? เจ้าออกจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” ท่านสิบหกเอ่ยขันๆ แล้วถามขึ้น “เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
ฟู่ถิงจวินหน้าซีดไปทันใด
เมื่อครู่นี้นางมัวแต่คิดว่าจะปกปิดความจริงไว้ กลับลืมเลือนไปว่าถ้าเกิดท่านเก้าฟื้นขึ้นมา พอท่านสิบหกถามความกับเขา ทั้งสองยังมิได้ซักซ้อมคำตอบไว้ล่วงหน้า จะไม่เผยพิรุธออกมาหรืออย่างไร
ท่านเก้านึกว่าฟู่ถิงจวินเหนื่อยล้าแล้ว ส่งสายตาเป็นเชิงปลอบโยนนางก่อนเอ่ย “มิกล้า ข้าน้อยมีนามว่าจ้าวหลิง”
ที่แท้ท่านเก้าชื่อว่าจ้าวหลิงนี่เอง!
หญิงสาวร้อนใจยิ่งขึ้น
“จ้าวหลิง!” ท่านสิบหกขบคิดความหมายของชื่อนี้ “แกร่งกล้ายืนยงไร้ผู้กล้ำกราย เป็นนามที่ดี! ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่ มีชื่อรองหรือไม่”
“ข้าน้อยไม่เคยเข้าสำนักศึกษา เพราะเหตุนี้จึงไม่มีชื่อรอง” ท่านเก้ากล่าวตอบทว่าทำเฉไฉข้ามเรื่องอายุไป
ฟู่ถิงจวินกำลังร้อนรนอยากจะนัดแนะคำพูดกับท่านเก้าพอดี นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ท่านเก้า “ท่านเช็ดเหงื่อสิ” พร้อมกับฉวยจังหวะนี้กระซิบบอกข้างหูเขาสองสามคำอย่างฉับไว
ยามที่ได้ยินคำว่า ’คู่หมั้น‘ ท่านเก้าชะงักค้างไปชั่วขณะถึงดึงสติคืนมา แต่เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ท่านสิบหกก็เอ่ยขึ้นแล้ว “เจ้าอ่านออกเขียนได้หรือไม่” สายตาอีกฝ่ายฉายแวววาดหวังหลายส่วน
ฟู่ถิงจวินกระจ่างแจ้งฉับพลันในเสี้ยวเวลาชั่วแล่น
ท่านสิบหกเห็นว่าท่านเก้ามีวรยุทธ์ดี หมายดึงตัวเข้าเป็นพวก
ดุจเดียวกับสกุลฟู่ ยามพบผู้มีความสามารถในจัดการสะสางงานได้ดีก็จะหาทางดึงตัวมาเป็นคนดูแลงานต่างๆ ในตระกูลเช่นกัน
ทว่ายามนี้เจ้าผู้ครองเขตเองใช่ว่าอยู่ดีมีสุขนัก หากเข้าไปสวามิภักดิ์จริงๆ ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
นางต้องหาทางบอกเตือนท่านเก้าสักหน่อย
ท่านเก้าอมยิ้มกล่าว “เคยหัดเขียนอ่านกับมารดาเมื่อสมัยเยาว์วัยขอรับ”
ในเมื่อมารดาสอนบุตรชายอ่านหนังสือได้ จะต้องเป็นหญิงสาวตระกูลใหญ่ ฉะนั้นเห็นได้ว่าครอบครัวเขาตกอับ
ท่านสิบหกได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “ตอนนี้เจ้าทำมาหากินอะไร”
ท่านเก้ากล่าว “เดิมที่ครอบครัวข้ามีที่นาอยู่หลายหมู่ รอเมื่อผ่านพ้นภัยแล้งไปแล้วค่อยกลับไปฟื้นฟูขอรับ”
“เจ้ามีฝีมือดีขนาดนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายพอดู” ท่านสิบหกพูดยิ้มๆ
“แรกเริ่มที่ฝึกวรยุทธ์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีอันใดน่าเสียดายเล่า”
ท่านสิบหกฟังแล้วสีหน้ายิ่งพออกพอใจ
ฟู่ถิงจวินมองเห็นแล้วลอบร้อนรุ่มใจ ขณะกำลังคิดจะใช้วิธีอะไรสักอย่างตัดบทสนทนาของพวกเขาก็มีคนพูดรายงานอยู่นอกประตูโถง “พี่โม่ พี่เถามาแล้วขอรับ!”
พอชายหน้าเหี้ยมคนนั้นได้ยิน พูดกระซิบสองสามคำที่ข้างหูท่านสิบหกทันที
ท่านสิบหกนิ่งคิดแล้วออกไปที่ประตูโถงกับเขา ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับเหลียนเซิงติดตามไปด้วย ด้านชายร่างกำยำกลับยกนิ้วโป้งให้ท่านเก้าพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ลูกผู้ชาย” ก่อนถึงตามออกไป
ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นรีบบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบกับท่านเก้า “…ท่านสิบหกผู้นี้ออกจากอาณาเขตของตนเองโดยพลการ ข้างกายยังมีองครักษ์ฝีมือล้ำเลิศหลายคนอย่างนี้ เพียงดูก็รู้ว่ามิใช่เจ้านายที่รักสงบนัก ทางที่ดีพวกเราอย่าเข้าไปพัวพันกับเขาจะดีกว่า แต่ยาของเขาสรรพคุณดีมาก อีกประเดี๋ยวพวกเราหาวิธีให้เขามอบยาให้พวกเราบ้าง ตอนนี้รออาเซินกลับมา พวกเราก็ไปพำนักที่ตำบลหลินชุน ในเมื่อโจรป่าพวกนั้นถูกกำจัดไปแล้ว คงอยู่อย่างเงียบสงบได้อย่างน้อยสักสองวัน แล้วก็พวกเราไม่ต้องเชิญหมออีกแล้ว ให้อาเซินไปที่เมืองซีอานตามอวี้เฉิงกับหยวนเป่ามาคุ้มครองท่านไปที่ซีอาน…” ครั้นหางตานางมองเห็นพวกท่านสิบหกเดินมา รีบนั่งตัวตรงเรียบร้อย และเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแนบเนียน “ท่านสิบหกเป็นคนดี ประเดี๋ยวพวกเราขอยาจากเขา เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่…อุ๊ย…” หญิงสาวพูดอยู่ดีๆ ก็อุทานขึ้นเบาๆ แล้วหยุดสนทนาลงทันใด นางลุกขึ้นยืนราวกับร้อนตัวที่อีกฝ่ายล่วงรู้การดีดลูกคิดในใจของตนเอง
ท่านสิบหกกล่าวอย่างไม่เก็บใส่ใจ “ข้ายังมีธุระ ต้องจากไปในราตรีนี้เลย ถึงกระนั้นได้พบกันก็คือมีวาสนาต่อกัน ข้ามีบางเรื่องอยากบอกเจ้า” สีหน้าเขาขึงขังเป็นอันมาก
ฟู่ถิงจวินใจกระตุกวูบหนึ่ง
“ยามนี้ทางซีเป่ยเกิดสงครามใหญ่ พวกต๋าจื่อมารุกรานทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องการคนพอดี” ท่านสิบหกเอ่ยอย่างตรึกตรอง “เจ้ามีฝีมือดีขนาดนี้ ไยไม่ไปเป็นทหารที่ซีเป่ย สร้างคุณความดีที่สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน เชิดชูเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูล และไม่ทำให้วิชายุทธ์ประจำตระกูลของเจ้าต้องสูญเปล่า!”
นางประหลาดใจมาก ด้วยนึกว่าท่านสิบหกจะชักชวนท่านเก้าไปอยู่ด้วย เลยคาดไม่ถึงว่าจะเป็นการชักจูงให้ไปเป็นทหาร
ท่านเก้ามองท่านสิบหกอย่างตกตะลึง เขานิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ท่านสิบหกให้เวลาข้าตรองดูดีๆ เถิด!”
แม้นท่านเก้ามิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ท่านสิบหกกลับเห็นว่าเขาตอบอย่างซื่อตรง จึงมองเหลียนเซิงแวบหนึ่ง
เหลียนเซิงหยิบเทียบชื่อสีแดงเข้มเคลือบทองใบหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระยื่นส่งให้ท่านเก้า
ท่านสิบหกกล่าว “ข้ารู้จักกับอู๋ซิน หัวหน้ากองพลมณฑลส่านซี หากเจ้าอยากไปเป็นทหารก็ถือเทียบชื่อของข้าไป เขาจะเป็นธุระให้เจ้าเอง หากเจ้าไม่ไป เทียบชื่อนี้ก็ให้เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะ!” เขาพูดพลางชี้ไปที่ชายหน้าเหี้ยมคนนั้น “เขาชื่อโม่อี้เป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของข้า ตอนนี้พวกเจ้าไปไหนมาไหนไม่สะดวก ข้าจะให้เขาอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือ ส่วนพวกยาต่างๆ ก็ล้วนมอบไว้ที่เขา พวกเจ้าตามเขาไปที่ตำบลหลินชุนพักรักษาตัวอย่างสบายใจ” กล่าวจบเขาไม่รอท่านเก้ากับฟู่ถิงจวินพูดอะไรก็หมุนกายเดินออกไปด้านนอก
“ท่านสิบหก บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ข้าจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน” ท่านเก้าตะโกนพูดไล่หลังเขาไป
ท่านสิบหกหันมายิ้ม ก่อนจะหมุนกายออกจากศาลเจ้าไป
ด้านนอกมีเสียงร้องของอาชาลอยแว่วเข้ามา ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้าเร็วรี่ดุจพายุฝนกระหน่ำดังห่างออกไปทุกที
ค่ำคืนแห่งคิมหันตฤดูคืนสู่ความสงบเงียบอีกครา
โม่อี้ชายหน้าเหี้ยมยิ้มพลางเอ่ยกับท่านเก้า “ข้าเห็นพวกเจ้ามีรถเข็นไม้คันหนึ่ง หรือไม่ข้าเข็นให้เจ้านั่งแล้วพวกเรารุดไปที่ตำบลหลินชุนในราตรีนี้กันเลยเถอะ อยู่ในที่ที่มีซากศพกองเต็มไปหมด บอกตามตรง ถึงข้าจะไม่กลัว แต่ก็รู้สึกขยะแขยงอยู่สักหน่อยเหมือนกัน”
ยามเขายิ้ม ใบหน้าหยาบกร้านขรุขระจะสั่นกระตุกทำให้ดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น สู้ไม่ยิ้มจะดีกว่า
“พวกเรารอสักครู่เถอะ” ฟู่ถิงจวินไม่อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้แม้ชั่วเค่อเดียว แต่อาเซินยังไม่กลับมา “พวกข้ายังมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาไปหาหมอในหลินชุน…”
ไม่ทันสิ้นเสียงนาง อาเซินก็พุ่งทะยานเข้ามา “ท่านเก้า แม่นางฟู่…”
เสียงของเขาสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ พอแลเห็นซากศพเต็มโถงก็ตะลึงค้างตัวแข็งอยู่กับที่
ตอนที่พวกเขาเข้าสู่ตำบลหลินชุน ตรงปลายฟ้าเริ่มปรากฏแสงเงินเรื่อเรือง
สองฟากฝั่งของถนนใหญ่ซึ่งปูด้วยแผ่นศิลาเขียวเต็มไปด้วยชาวบ้านหนีภัยที่นอนกันระเกะระกะ บางคนมีเสื่อขาดๆ รองใต้ร่าง บางคนล้มกายลงนอนบนพื้นหินทั้งอย่างนั้น บางคนไม่แม้แต่สวมเสื้อสักตัว เพียงนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว แต่ละคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เปลือยเท้าดำเปรอะ พอได้ยินเสียง มีคนยกหัวขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วพลิกตัวนอนหลับต่อ บางคนลุกขึ้นนั่งมองพวกเขาเดินผ่านไปด้วยแววตาว่างเปล่า
ใกล้ๆ กันนั้นมีเด็กตกใจตื่นขึ้นส่งเสียงร้องไห้จ้าดังกังวานเป็นพิเศษในรุ่งเช้ากลางฤดูร้อนอันเงียบเชียบนี้ แม่ของเด็กน้อยรีบอุ้มเขาขึ้นมาปลอบเบาๆ ทว่าเสียงร้องไห้กลับดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางเปิดสาบเสื้อให้นมลูก เด็กน้อยดูดเต้านมที่แบนแฟ่บเป็นการใหญ่ แต่ดูดได้สองสามทีก็คลายปากออกแผดเสียงร้องไห้อีก บุรุษด้านข้างลุกพรวดขึ้นมาทำหน้าถมึงทึง “ร้องๆๆ อยู่ได้ ขืนเจ้าร้องอีก ข้าจะเอาเจ้าไปแลกเนื้อกินเสียเลย!” แม่เด็กหน้าเผือดลงทันควัน กดศีรษะลูกน้อยซุกกับอกแนบแน่น ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วเสียงร้องไห้ของเขาจะเบาลงได้ นางลุกขึ้นเดินตัวสั่นงันงกไปที่หัวมุมถนนซึ่งมีคนน้อย ทางหนึ่งพยายามป้อนเต้านมใส่ปากลูก ทางหนึ่งกล่าวพึมพำไม่หยุด “ไม่ร้องนะๆ ระวังพ่อจะเอาเจ้าไปแลกเนื้อกินนะ”
ฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ
อาเซินเอ่ยปลอบนาง “ถ้าเขาอยากขายลูกประทังชีวิตคงทำไปนานแล้ว คงไม่รอมาจนอีกแค่สองวันก็ถึงเมืองซีอานจึงคิดจะทำแบบนี้”
คนที่เดินอยู่ด้านข้างพวกเขาเป็นลูกน้องคนหนึ่งของโม่อี้ เขาบอกว่าชื่อเสี่ยวอู่ เป็นคนงานในสำนักการค้า
เขาได้ยินถ้อยคำของอาเซินแล้วตั้งท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป
อาเซินมองด้วยรอยยิ้มเย็นชา พร้อมกับกล่าวเป็นเชิงท้าทาย “หรือข้ากล่าวไม่ถูกต้อง”
เมื่อคืน ไม่สิ…สมควรพูดว่าเป็นวันนี้ตอนย่ำรุ่งราวๆ ยามอิ๋น ระหว่างทางที่กลับมาอาเซินได้กลิ่นคาวโลหิตจางๆ ระลอกหนึ่งแต่ไกล เขาคิดถึงท่านเก้าที่สลบไสลไม่ได้สติกับฟู่ถิงจวินที่อ่อนแอไร้ทางสู้แล้วเริ่มกระวนกระวายใจ สาวเท้าวิ่งเต็มเหยียดไปทางศาลเจ้าประจำเมือง ผลปรากฏว่ายิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้ากลิ่นคาวโลหิตยิ่งฉุนแรง จนกระทั่งเข้าไปในโถงกลาง เห็นแต่ศพกลาดเกลื่อนเต็มพื้น ตอนนั้นเขาตะลึงงันไปด้วยความตกใจ ถ้ามิใช่ฟู่ถิงจวินเรียกเขาไว้ได้ทันการ เขาคงถลันเข้าไปคุ้ยหาในกองศพแล้ว
เมื่อรู้ว่าโม่อี้เป็นหนึ่งในผู้มีคุณที่ช่วยชีวิตท่านเก้าไว้ เขาคุกเข่าลงโขกศีรษะเก้าทีให้อีกฝ่าย จากนั้นกอดขาท่านเก้าร้องไห้โฮๆ ’เป็นเพราะข้าคนเดียว…ถ้าข้ารีบกลับมาก็คงดี!’
ท่านเก้าลูบหัวเขายิ้มๆ ’เจ้ารีบกลับมาทำอะไรได้ เป็นเป้าให้พวกนั้นรุมตีรึ‘ น้ำเสียงท่านเก้าอ่อนโยนมาก
เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้น ก้มหน้าพูดเสียงงึมงำ ’พอข้าออกจากศาลเจ้ารู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตาม ข้าเลยวนเวียนอยู่แถวนี้ตั้งหลายรอบกว่าจะสลัดเขาทิ้งได้ ตอนขากลับ ดูเหมือนคนผู้นั้นติดตามมาอีก ข้าโมโหสุดจะทน วางกับดักในดงต้นหลิวนอกเมือง ล่อหลอกเขาอยู่นานพักใหญ่…’ อาเซินกล่าวแล้วเงยหน้ามองท่านเก้าตาปริบๆ สีหน้าจริงจังอย่างสำนึกตน ’ท่านเก้า วันหลังข้าไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!’
’กลับมาได้ก็ดีแล้ว’ ท่านเก้าคลายยิ้มอย่างไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ จากนั้นเอ่ยกับโม่อี้ ’เช่นนั้นรบกวนผู้ช่วยโม่ด้วย พวกเรามุ่งหน้าไปหลินชุนกันตอนนี้เลยเถอะ’
โม่อี้แม้มีหน้าตาดุร้าย ในยามนั้นสีหน้าเขาแลดูกระด้างอยู่บ้าง แต่ทุกคนล้วนไม่คิดอะไร พอเก็บข้าวของเสร็จ โม่อี้ก็พยุงท่านเก้าขึ้นรถเข็นไม้ จวบจนออกจากศาลเจ้าแล้ว พวกฟู่ถิงจวินถึงพบว่าข้างกายโม่อี้ยังมี ‘คนงาน’ อีกสองคน ทั้งคู่มีรูปโฉมสามัญ จัดอยู่ในพวกที่เดินอยู่กลางฝูงชนแล้วมองหาไม่เจอ คนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าชื่อเฉินลิ่ว อีกคนอายุสิบห้าสิบหกชื่อเสี่ยวอู่ ทั้งสองสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้าง เพียงแต่ร่างกายของเฉินลิ่วสะอาดสะอ้าน ขณะที่เสี่ยวอู่เปรอะเปื้อนฝุ่นดิน ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นเหม็นอุจจาระติดตัว ทันทีที่อาเซินมองเห็นเสี่ยวอู่ก็ทำตาโต ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ท่านเก้าก็เอ่ยสั่งเขา ’ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ถ้าพบกับพวกเจ้าหน้าที่ ต่อให้พวกเรากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างมลทินไม่ได้ รีบไปให้ถึงตำบลหลินชุนจะดีกว่า!’
โม่อี้คิดเช่นนี้ดุจเดียวกัน
คนทั้งกลุ่มออกเดินทางกันอย่างเร่งรีบ
ระหว่างทาง อาเซินกระซิบบอกฟู่ถิงจวิน ’คนที่สะกดรอยตามข้าถูกข้าล่อตกลงไปหลุมที่ขุดไว้…ข้ายังถ่ายอุจจาระไว้ในนั้นด้วย’
ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้างอย่างห้ามไม่อยู่ ’เจ้า…เจ้า…’
อาเซินกลับภาคภูมิใจ ’ผู้ใดใช้ให้เขาตามข้าล่ะ ข้าเลยเลี้ยงอาหารอร่อยๆ เขาสักมื้อ!’
ฟู่ถิงจวินฝืนสะกดความขบขันไว้ถึงไม่หัวเราะออกมา แต่ในใจบังเกิดความเคลือบแคลงขึ้นบ้าง
ถึงกระนั้นนางเชื่อใจท่านเก้ามากที่สุด
เรื่องชัดเจนแจ่มแจ้งปานนี้ ในเมื่อท่านเก้ายังไม่เอ่ยถาม ย่อมมีเหตุผลเป็นธรรมดา
’รอประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน‘ ฟู่ถิงจวินกำชับอาเซินเสียงเบา ’มีพวกโม่อี้อยู่ด้วย’
อาเซินพยักหน้า แต่ไม่วายรู้สึกว่าเสี่ยวอู่ขัดนัยน์ตาอยู่สักหน่อย ดังนั้นตั้งแต่ออกจากศาลเจ้าจนถึงตำบลหลินชุน เขาไม่ติเรื่องนั้นก็ติเรื่องนี้ ทว่าเสี่ยวอู่แลดูใจกว้างมาก ทำท่าทำทางไม่ถือสาหาความเด็กน้อยอย่างอาเซิน เป็นต้นเหตุให้เขาหัวเสียยิ่งขึ้น
ตอนนี้อาเซินถึงกับคัดกระดูกในไข่ไก่* พูดจาตีรวนใส่เสี่ยวอู่อีกแล้ว
ข้างฝ่ายเสี่ยวอู่แม้มิได้ยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจเฉกหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำกับอาเซิน กลับเอ่ยกับฟู่ถิงจวินด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนพากันคิดว่าพอถึงเมืองซีอานก็จะสบายแล้ว แท้ที่จริงเมืองซีอานยังเทียบกับตำบลหลินชุนไม่ได้เลย ดีชั่วที่นี่ยังมีที่นอน เมื่อครึ่งเดือนก่อนประตูเมืองซีอานปิดตายไม่ให้เข้า อนุญาตให้ออกได้เท่านั้น ที่ว่าการยังส่งคนออกลาดตระเวนทุกวัน ห้ามมิให้คนหยุดพักภายในรอบระยะห้าสิบจั้งของกำแพงเมือง ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกโบยจนตายโดยไม่ยกเว้น ฉะนั้นมีคนหิวตายและถูกโบยตายนับไม่ถ้วน จนคูเก้าลี้ทางทิศใต้ของเมืองใกล้จะกลายเป็นสุสานร้างอยู่แล้ว”
อาเซินโต้เถียงเสี่ยวอู่ “ซีอานเป็นเมืองหลักของส่านซี หรือไม่มีคนออกมาตั้งเพิงข้าวต้มเลย?” น้ำเสียงเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เสี่ยวอู่แค่นเสียง “ที่ว่าการไม่ออกหน้า ใครจะกล้าตั้งเพิงข้าวต้มโดยพลการ?”
ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้ว “หรือว่าใต้เท้าต่งไม่ดูแล”
“ใต้เท้าต่ง?” เสี่ยวอู่ทำหน้าเยาะหยัน “ตอนนี้เขาคิดแต่ว่าจะประจบสอพลอหัวหน้าขันทีตรวจฎีกาที่ชื่อหงตู้นั่นอย่างไร หรือจะจัดที่พำนักให้เจี่ยนอ๋องที่จะมาหลบภัยอยู่ในเมืองซีอานอย่างไร หากฮ่องเต้ทรงไล่เลียงเอาโทษจะได้มีคนช่วยพูดให้ แล้วก็ปัดความรับผิดชอบได้ ยังจะมีแก่ใจเหลียวแลว่าราษฎรในส่านซีจะเป็นหรือตายที่ไหนกัน!”
ฟู่ถิงจวินกับอาเซินหวนนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาตลอดทางแล้วต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา
ฉับพลันนั้น มีเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีสองคนโผล่พรวดออกจากด้านข้าง “นายท่าน พี่สาว! พวกเราไม่ได้กินอะไรมาสามวันสามคืนแล้ว พวกท่านได้โปรดทำบุญทำทาน ขออาหารให้พวกข้ากินสักหน่อยเถอะ!” ดวงตาคู่นั้นหลุกหลิกไปมา
เฉินลิ่วซึ่งเข็นรถเข็นไม้อยู่มองไปทางโม่อี้ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งอย่างลังเลใจอยู่บ้าง โม่อี้ส่ายหน้าเบาๆ
เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกับเด็กเจ็ดแปดคนจากที่ใดก็สุดรู้วิ่งกรูกันมา แต่ละคนสวมเสื้อขาดกะรุ่งกะริ่ง ผอมแห้งดุจท่อนฟืน วิ่งเข้ามาห้อมล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง แบมือขอทานพลางแย่งกันพูดตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์ “นายท่าน พี่สาว ทำบุญทำทานด้วย” บางคนถึงกับเอื้อมมือเข้ามาในรถเข็นไม้
“ไสหัวไปให้หมด!” โม่อี้ตวาดดังลั่นดุจเสียงฟ้าผ่า จับตัวเด็กคนหนึ่งในนั้นเหวี่ยงลงไปบนพื้นถนนศิลาเขียว
ชั่วขณะเดียวถนนทั้งสายเงียบกริบ ทุกคนมองดูโม่อี้ด้วยแววตาเกรงกลัว
“ยังไม่ไสหัวไปอีก!” โม่อี้ตวาดขึ้นอีกครั้ง พวกเด็กๆ คล้ายสะดุ้งได้สติ ช่วยกันแบกเด็กที่ล้มอยู่บนพื้นคนละไม้คนละมือแล้ววิ่งหนีไป
เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ส่งผลให้พวกเขายึดครองร้านค้าที่ไร้เจ้าของแห่งหนึ่งอย่างราบรื่นง่ายดาย
โม่อี้กับเฉินลิ่วช่วยพาท่านเก้าขึ้นไปพักอยู่ที่ห้องชั้นบน ส่วนฟู่ถิงจวินพักอยู่ในห้องเล็กที่เชื่อมติดกัน
“ยังต้องรบกวนให้ผู้ช่วยโม่กับเฉินลิ่วเสี่ยวอู่พักอยู่ชั้นล่างด้วย” ท่านเก้ากล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “พวกข้ามีสตรี…”
โม่อี้กลับพูดง่ายมาก “เช่นนั้นท่านมีเรื่องใดก็เรียกข้าได้เลย!”
“ขอบคุณมาก!” ท่านเก้าประสานมือคำนับโม่อี้ จากนั้นเอ่ยสั่งฟู่ถิงจวินให้เก็บกวาดห้องหับ และเรียกอาเซินให้ออกไปส่งพวกโม่อี้ลงไป
รอกระทั่งเสียงฝีเท้าของพวกโม่อี้หายลับไปทางบันได ท่านเก้าพูดกับหญิงสาวที่กำลังมองหาผ้าขี้ริ้วไปทั่วห้อง “ท่านพักสักครู่เถอะ เรื่องพวกนี้ประเดี๋ยวให้อาเซินกลับมาทำ!”
มิใช่ให้นางเก็บกวาดห้องหรือ? ไฉนยังบอกให้รออาเซินกลับมาทำ
ฟู่ถิงจวินงุนงงอยู่บ้าง
ท่านเก้าหน้าตาซีดเซียว เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียงที่ไม่มีม่านคลุม ส่งยิ้มมาให้นาง “ข้ามีเรื่องพูดกับท่าน” ท่าทีเขาอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
คนเราพอล้มป่วยจะอ่อนแอลงเป็นพิเศษใช่หรือไม่นะ!
ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงพลางยกม้านั่งตัวหนึ่งไปนั่งตรงหัวเตียง “ท่านไม่ไว้ใจพวกโม่อี้ใช่ไหม ถึงได้ให้พวกเขาไปพักอยู่ชั้นล่าง”
ชั้นบนยังมีห้องอีกสี่ห้าห้อง ส่วนชั้นล่างเป็นที่ค้าขาย จึงมีแค่หน้าร้านกับห้องเล็กๆ ติดกันไว้วางสินค้า
ท่านเก้าพยักหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง อาเซินย้อนกลับมาเห็นฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ตรงหัวเตียงก็พูดขึ้นทันที “ท่านเก้า ข้าไปหาถังน้ำมาให้!”
“เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยไปทำ! เจ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ มีคนมาก็ส่งเสียงบอก” ท่านเก้าบอกเด็กน้อยแล้วพูดกับฟู่ถิงจวิน “ท่านหยิบเทียบชื่อของท่านสิบหกคนนั้นออกมาที”
อาเซินขานรับแล้วเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่วนฟู่ถิงจวินหยิบเทียบชื่อส่งให้เขา เพราะในห้องไม่มีผ้าห่ม นางเอาห่อสัมภาระเสื้อผ้าวางหนุนหลังเขาและผลักบานหน้าต่างเปิดออก อยากให้เขาอ่านได้ถนัดตาขึ้น
นอกหน้าต่างเป็นทิวไม้ที่ยืนต้นแห้งตาย สามารถมองเห็นถนนหลวงสู่อำเภอหลันเถียนได้ไกลๆ
สายลมร้อนผ่าวพัดโชยเข้ามา ทว่าเพียงเท่านี้ยังทำให้ฟู่ถิงจวินเต็มตื้นเหลือหลาย “ไม่ได้รู้สึกถึงลมพัดมานานกี่วันแล้วนี่” นางกล่าวต่อ “ถ้าเป็นปีที่ฝนต้องตามฤดูกาล ไม่รู้ว่าทิศทัศน์จะงดงามสักปานใด”
ท่านเก้าแย้มยิ้มไม่พูดว่าอะไร เขามองเทียบชื่อในมืออย่างพินิจ
ฟู่ถิงจวินแลมองท่านเก้า
หน้าผากกว้าง จมูกโด่งเป็นสัน ดูลักษณะเป็นคนเจ้าปัญญา ริมฝีปากบาง ยามเม้มแน่นแฝงรอยเย็นชาจนไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ ยามยิ้ม มุมปากจะยกขึ้นน้อยๆ ทำให้ใบหน้าฉายแววมาดมั่นดูห้าวหาญเปิดเผย…ยามยิ้มชวนมองมากกว่า
บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง หรือดูเทียบชื่อในมืออย่างชัดเจนแล้ว ท่านเก้าเงยหน้าขวับ สบตาเข้ากับฟู่ถิงจวินพอดิบพอดี
ท่านเก้างันไป “มีอะไรรึ”
มองเขาแบบนี้…กลับไม่ระมัดระวังตัวสักนิด ดูเหมือนเขากับนางยังไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนี้กระมัง
ชายหนุ่มพลันหวนนึกถึงที่นางพูดว่า ‘ข้าไม่มีทางเลือก ได้แต่บอกพวกเขาว่าพวกเราเป็นคู่หมั้นกัน‘ แล้วรู้สึกเก้อกระดาก เขากระแอมไปทีหนึ่งเบาๆ
ฟู่ถิงจวินหน้าแดงจรดใบหู
ผีตนใดมาดลใจกัน มองแวบหนึ่งยังพอทำเนา ไฉนไปจับจ้องเขาไม่วางตา เอาเถอะจ้องเขาแล้วก็แล้วกันไป ซ้ำยังถูกเขาจับได้คาตาอีก…เกิดเขาเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นคนไม่สำรวมกิริยาจะทำประการใด
นางคิดถึงที่พูดกับพวกท่านสิบหกว่าทั้งคู่เป็นว่าที่สามีภรรยากันขึ้นได้ ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ไม่เหมาะจะพูดอะไรมาก ขณะนี้ได้พูดคุยกันตามลำพังแล้ว ต้องหาจังหวะอธิบายสักหน่อยจึงจะดี
“อ้อ! ที่แท้ท่านเก้าชื่อว่าจ้าวหลิงนั่นเอง” ฟู่ถิงจวินประหม่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้คำพูดที่เก็บไว้ในใจหลุดปากออกมา
พูดจบนางก็นึกเสียใจทีหลังอีก
พูดอะไรไม่พูด ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมานะ ทำให้ดูเหมือนที่จ้องหน้าเขาก็เพื่อซักไซ้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาต้องปกปิดนาง
จ้าวหลิงกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น
แรกเริ่มนึกว่าส่งนางถึงเว่ยหนานแล้วทั้งสองก็จะแยกย้ายกันไปคนละทางไม่เกี่ยวข้องกันอีกสืบไป เป็นแค่คนที่ผ่านมาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น จะบอกชื่อเสียงเรียงนามไปไย ทีนี้เป็นอย่างไรเล่า กลับกลายเป็นว่าเขาทำปิดบังเฉกคนใจคอคับแคบ
“เดิมทีมิได้คิดจะปกปิด…” เขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นไรดี
ฟู่ถิงจวินมองออกว่าเขาอึดอัด ลอบนึกเห็นใจอยู่บ้าง
เขาแค่ช่วยนางไว้จากอันตรายเท่านั้น หาใช่คู่หมั้นคู่หมายกัน อาศัยอะไรต้องบอกชื่อแซ่วงศ์วานว่านเครืออย่างแจ่มชัดด้วย หญิงสาวก็เลยเอ่ยแก้สถานการณ์ให้ “ข้าบอกกับท่านสิบหกว่าท่านเป็นชาวอำเภอหล่งซี ไม่ทำให้ท่านลำบากใจกระมัง”
จ้าวหลิงโล่งอก รีบพูดทันที “ข้าอาศัยอยู่ในเหลียงโจวมาก่อนหลายปี ทั้งเคยไปหล่งซีบ่อยๆ นับว่าคุ้นเคยกับที่นั่นพอประมาณ”
ฟู่ถิงจวินวางใจลงได้ นางกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินจากอาเซินเช่นกันว่าท่านเก้าเก็บเขาได้ที่เหลียงโจว ถึงได้พูดว่าท่านเป็นชาวอำเภอหล่งซีไปโดยไม่ทันคิด” นางรู้สึกได้รางๆ ว่าไม่ใคร่จะเหมาะที่พูดถึงวงศ์ตระกูลของผู้อื่นส่งเดชเยี่ยงนี้ จึงกล่าวอธิบายต่อ “ตอนนั้นข้าคิดว่าถึงอย่างไรหลังจากนี้พวกเราคงไม่ได้พบกับท่านสิบหกอีกแล้ว เลยตอบอะไรเขาไปก็ได้สักอย่างหนึ่ง…อ๊ะ…” พอพูดถึงตรงนี้ นางอุทานขึ้น
จ้าวหลิงหายใจไม่ทั่วท้องทันควัน
นางคงมิได้จะอธิบายเรื่อง ‘คู่หมั้น’ นั่นกับเขากระมัง
มาตรว่ามันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดใจ มิสู้ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยถึง ปล่อยให้เป็นประหนึ่งสายน้ำไหลผ่านไปไม่เหลือร่องรอยดีแล้ว
ดังที่นางกล่าวไว้ ถึงอย่างไรหลังจากนี้คงไม่ได้พบกับท่านสิบหกอีก ทั้งเขามิได้ตั้งใจจะไปพึ่งพาอาศัยอีกฝ่ายด้วย ซึ่งในจุดนี้ทั้งคู่กลับคิดตรงกัน
แม้นพูดว่าผู้หวังในลาภยศสรรเสริญต้องกล้าได้กล้าเสีย แต่ถ้าต้องเสี่ยงกระทำเรื่องที่จะเป็นที่ประณามของคนทั่วหล้า ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น
เขาได้ยินฟู่ถิงจวินกล่าว “ท่านเก้า ท่านดูเทียบชื่อนั่นแล้วมองอะไรออกบ้างหรือไม่”
ในที่สุดก็ไม่ต้องวนเวียนกับเรื่องนี้แล้ว จ้าวหลิงเบาใจขึ้นราวกับตนเองเดินหลงทางแล้วหาทางออกพบ
เขายื่นเทียบชื่อในมือให้ฟู่ถิงจวิน “ท่านดูสิ!”
เทียบชื่อเป็นแผ่นเทียบสีแดงเคลือบทองที่หาซื้อได้ทุกหนแห่ง ตัวอักษรเป็นลวดลายตัวบรรจงแบบที่นักศึกษาทั่วแผ่นดินล้วนต้องหัดคัดลายมือ
“ส่งผู้ใต้อาณัติมาเยี่ยมคารวะ ด้วยความนับถือ คนจรแห่งปี้ซี” ฟู่ถิงจวินอ่านชื่อบนเทียบ “ในเมื่อไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเทียบของใคร อีกทั้งไม่ได้เขียนอย่างชัดเจนว่าส่งผู้ใต้อาณัติไปพบด้วยเรื่องใด แล้วนามลงท้ายก็เป็นแค่ ‘ฉายา’…ต่อให้พวกเรานำเทียบใบนี้ให้ผู้อาวุโสที่มีหูตากว้างไกลพินิจแยกแยะ เกรงว่าคงบอกไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเทียบชื่อของใคร” นางดูเทียบชื่อใบนั้นทั้งข้างนอกข้างในอีกรอบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ถ้าทำหายไป คนอื่นก็เดาไม่ออกว่านี่เป็นเทียบชื่อของใคร ระวังตัวถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าท่านสิบหกต้องเป็นเจ้าผู้ครองเขตแน่แท้”
จ้าวหลิงผงกศีรษะน้อยๆ กล่าวขึ้น “ท่านช่วยเล่าเรื่องที่พวกท่านมาหยุดพักที่ศาลเจ้าได้อย่างไรให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบหนึ่งซิ” ก่อนหน้านี้มีคนของท่านสิบหกอยู่ด้วย นางบอกแค่สั้นๆ ไม่กี่คำ
ฟู่ถิงจวินรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกมามีความสำคัญต่อการตัดสินใจของจ้าวหลิงเป็นอันมาก นางทบทวนความทรงจำอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะเล่าอย่างละเอียดยิบโดยไม่ให้มีอะไรตกหล่นแม้แต่น้อย
เขาไม่พูดไม่จาเป็นนาน นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกล่าว “ตามที่ท่านเล่ามาเช่นนี้ ตอนเข้าไป โม่อี้กับท่านสิบหกแสร้งทำไม่รู้จักกัน ต่อมาพอพวกเรากับหัวหน้าโจรปะทะกัน โม่อี้ก็หายตัวไป ส่วนท่านสิบหกกลับนิ่งเฉยดูดายอยู่ตลอด จวบจนข้าสังหารหัวหน้าโจรแล้ว คนของเขาถึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ?”
นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ตอนนั้นข้าโกรธเคืองมาก ทั้งๆ ที่พวกเขามีวรยุทธ์สูงส่งขนาดนี้ เหตุใดต้องรอจนพวกเราเข้าตาจนแล้วถึงยื่นมือเข้ามา ข้ารู้เช่นกันว่าวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คนสำนึกบุญคุณคือส่งถ่านกลางหิมะ แต่เขาทำแบบนี้มันใช่เสียที่ไหนกัน แทบจะเป็นการส่งพัดกลางฤดูใบไม้ผลิโดยแท้ ต้องรอจนท่านต้านทานไม่อยู่ถึงปรากฏตัว หากเป็นข้าล่ะก็ คงลงมือตั้งแต่ตอนท่านกับหัวหน้าโจรต่อสู้กันแล้ว ข้าจะตะโกนขึ้นว่า ‘พี่ชาย ข้าขอช่วยท่านอีกแรงหนึ่ง’ จากนั้นให้ลูกน้องคนนั้นพุ่งเข้าไป…ตอนนั้นหัวหน้าโจรยังไม่ตาย ความดีความชอบส่วนใหญ่ย่อมตกเป็นของพวกเขา พวกเราก็ต้องซาบซึ้งใจต่อเขาไม่สิ้นสุด ทั้งได้หน้าได้ตาทั้งได้ใจคน…”
จ้าวหลิงมองดูท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นของหญิงสาว เหมือนเด็กน้อยแย่งลูกกวาดไม่ได้แล้วมาฟ้องผู้ใหญ่ มุมปากเขายกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
เขาพูดกับนาง “ท่านเรียกอาเซินเข้ามา ข้ามีอะไรจะถามเขาสักสองสามคำ”
ฟู่ถิงจวินเรียกอาเซินเข้ามาแล้ว
“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่สะกดรอยตามเจ้าได้หล่นลงไปในกับดักของเจ้า?” จ้าวหลิงทำท่าจริงจัง สีหน้ามีรอยเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นบ้าง พาให้บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่นี้อันตรธานไปสิ้น
“แน่ใจขอรับ” อาเซินยืนยัน “เดิมทีข้าตั้งใจจะจับเป็นเขา แต่กลัวว่าจะเป็นสายของเฝิงเหล่าซาน ท่านเก้า…ท่านบอกกับพวกเราเสมอมิใช่หรือว่าไม่ว่าทำอะไรให้เผื่อทางไว้สายหนึ่ง วันหลังยังมองหน้ากันได้ ข้ากลัวจะล่วงเกินเขาแล้วเขาไปพูดเหลวไหลต่อหน้าเฝิงเหล่าซาน ทำให้เฝิงเหล่าซานเอาจริงขึ้นมาแล้วตามไล่ล่าพวกเราอย่างไม่รามือ” เขากล่าวต่ออย่างลุกลนราวกับกลัวจ้าวหลิงเข้าใจผิด “แน่นอนว่ามิใช่พวกเรากลัวเกรงเฝิงเหล่าซาน ตอนนี้พวกเรากำลังจะรีบไปเมืองซีอาน ก็เลยไม่อยากก่อปัญหาแทรกขึ้นมาอีกเท่านั้น…”
ฟู่ถิงจวินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วปิดปากหัวเราะอยู่ในลำคอ
จ้าวหลิงเห็นหัวไหล่นางสั่นระริก ในดวงตาฉายแววยิ้มๆ ขณะพูดเอ็ดอาเซินเสียงเบา “เอาล่ะๆ เจ้าไม่ต้องมาพูดจาเล่นลิ้นกับข้า!”
อาเซินมองปราดไปยังฟู่ถิงจวินที่หัวเราะไม่หยุดแล้วมองจ้าวหลิงที่หัวเราะตามไปด้วยแวบหนึ่ง รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องผิดไปจากเดิม แต่จะบอกว่าแตกต่างอย่างไรเขาก็พูดได้ไม่แจ่มแจ้ง ถึงกระนั้นเขารู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ดีมาก
“ข้าพูดความจริงนะขอรับ” เขากล่าวอ้อมแอ้ม “หากมิใช่ได้กลิ่นคาวเลือด ข้ายังมีของดีไว้ต้อนรับเขาอีก…”
จ้าวหลิงไม่ไต่ถามต่อ เพียงบอกว่า “ไปเฝ้าอยู่นอกประตูเถอะ”
อาเซินเชื่อฟังคำพูดของเขาเป็นที่สุด ออกไปหน้าประตูทันที
ฟู่ถิงจวินเอ่ยถามจ้าวหลิง “ท่านพบอะไรแล้วหรือ” นางตาเป็นประกายด้วยความสนใจใคร่รู้มาก
จ้าวหลิงชะงักไปเล็กน้อยถึงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ว่าตอนข้าสลบอยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
คิดจะหลอกใครกัน!
ทุกคราล้วนเป็นอย่างนี้ พอถึงยามคับขันเขาก็จะทำหน้าเย็นชาไม่ให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้เพื่อกลบเกลื่อนความร้ายแรงของเหตุการณ์ลง…เห็นผู้อื่นเป็นคนโง่งมไปหมดก็ไม่ปาน
นางยังไม่ไล่เลียงเรื่องที่เขาปกปิดชื่อ เขาถึงกับตีหน้าแบบนี้ใส่นางเชียวรึ!
ฟู่ถิงจวินโมโหแทบอกแตกตาย ลุกพรวดขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
แต่พอเดินไปสองก้าวก็เห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะ ถ้าวันหน้าพวกเขาเผชิญกับเรื่องทำนองนี้อีก นางจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแบบนี้หรือ
ใช่ว่านางทำแบบนี้แล้วจ้าวหลิงจะเป็นฝ่ายบอกนางเองว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
นางเดินวนไปวนมาในห้องสองรอบ รอเมื่ออารมณ์ค่อยๆ สงบลงแล้วเอ่ยถามจ้าวหลิง “ท่านเก้าตอบข้าอย่างขอไปทีเช่นนี้ เพราะเห็นว่าข้าโง่เขลาเกินไป ถึงพูดให้ฟังข้าก็ไม่เข้าใจ หรือเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ฉะนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้เล่า”
ข้างฝ่ายจ้าวหลิงกำลังนึกฉงนอยู่ว่า ทั้งสองคุยกันอยู่ดีๆ ไฉนมีน้ำโหอีกแล้ว
อารมณ์ของนางเสมือนดั่งอากาศเดือนหก ประเดี๋ยวลมพัด ประเดี๋ยวฝนตก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซ้ำยังแปรปรวนอย่างปราศจากสาเหตุ
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ห่อผ้านุ่มนิ่มข้างหลังกับลมร้อนที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ตลอดจนห้องที่โล่งสว่าง ล้วนกำลังบอกเตือนเขาว่านางดูแลเขาอย่างเอาใจใส่เช่นไร หากเขาไม่อินังขังขอบนาง ก็ออกจะไม่เห็นอกเห็นใจกันเกินไปแล้ว
ภายในใจเขากระสับกระส่ายอยู่บ้าง คิดคำนึงอยู่ว่าสมควรทำลายความอึดอัดนี้อย่างไรดี ฟู่ถิงจวินก็ย้อนกลับมานั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง
เขากล่าวอย่างผ่อนคลายขึ้น “แม่นางฟู่อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงยังคิดไม่ออก หากคิดออกแล้วจะต้องบอกท่านแน่นอน”
ใจเร็วทำการด่วนมักไม่บังเกิดผล มีบางเรื่องต้องค่อยเป็นค่อยไป มีถ้อยคำนี้ของเขาก็พอแล้ว
ฟู่ถิงจวินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืน อีกทั้งได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้ พักผ่อนให้มากๆ เถอะ ไว้ตอนบ่ายพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน” นางไม่รอให้ท่านเก้าพูดอะไรก็เปิดประตูออกดังปึง ทำเอาอาเซินซึ่งพิงขอบประตูอยู่สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ “แม่นาง มีอะไรรึขอรับ”
“ไม่มีอะไร” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะลงไปข้างล่างหาผ้าขี้ริ้วสักผืน จะได้เช็ดถูห้อง”
ห้องที่นางพำนักอยู่ก็สกปรกเลอะเทอะเช่นกัน
“ข้าไปเอง!” อาเซินวิ่งตึงๆ ลงไปข้างล่าง
พวกเขาล้วนมิได้สังเกตเห็นว่าจ้าวหลิงทำสีหน้าปั้นยากอยู่สักหน่อย
ทำไมถึงเอ่ยถ้อยคำว่า ’ข้าเพียงยังคิดไม่ออก หากคิดออกแล้วจะต้องบอกท่านแน่นอน‘ พรรค์นี้ออกมาได้
หรือว่าตอนบ่ายจะถกเถียงหารือกับนางจริงๆ?
นางเป็นแค่อิสตรีคนหนึ่ง ต่อให้รู้แล้วจะทำอันใดได้ รังแต่ทำให้นางวิตกหวาดกลัวเปล่าๆ ปลี้ๆ เท่านั้น
เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า จึงเอนตัวลงนอนขมวดคิ้วแน่น
ชั้นล่างมีแค่โม่อี้นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงธรณีประตูหน้าร้าน
พอเห็นอาเซินลงมา เขาผินหน้าเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “มีเรื่องใดหรือ”
“ไม่มีเรื่องอะไร” อาเซินกล่าว “ข้าช่วยหาผ้าขี้ริ้วให้คุณหนูของข้า จะได้เช็ดถูห้องขอรับ”
โม่อี้พยักหน้า เฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่เดินเข้ามา
พวกเขาคนหนึ่งแบกถังน้ำ คนหนึ่งหิ้วตะกร้าใส่แป้งหมี่ ไข่ไก่ และต้นหอม
อาเซินตาเป็นประกาย “พวกท่านไปเอาของเหล่านี้มาจากที่ใด”
ทั้งคู่เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร
อาเซินคาดเดาเอาว่าของของพวกเขาอาจมีที่มาอย่างไม่สุจริต ก็ไม่ถามไถ่มากความ รอคอยให้ทั้งคู่ทำแป้งย่างแล้วยกขึ้นไปให้ท่านเก้ากับฟู่ถิงจวิน
โม่อี้ส่งสายตาบอกเฉินลิ่ว
เฉินลิ่วยกชามข้าวไปนั่งยองๆ ตรงเชิงบันไดข้างล่าง
โม่อี้ถามเสี่ยวอู่ “เป็นเจ้าเด็กนั่นที่ทำให้เจ้าตกลงไปในหลุมอุจจาระรึ”
เสี่ยวอู่หน้าแดง
โม่อี้มีสีหน้าขุ่นมัวเหมือนท้องฟ้ายามใกล้ฝนตก
ชั้นบน ฟู่ถิงจวินนั่งลงตรงหัวเตียง มองดูอาเซินปรนนิบัติท่านเก้ากินยา “ท่านเก้า เรื่องที่ศาลเจ้าท่านคิดออกหรือยัง” นางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าขบคิดอย่างละเอียดแล้ว ในเมื่อท่านสิบหกออกจากอาณาเขตโดยพลการมิได้ แล้วเขาลอบมาที่ส่านซีเช่นนี้ ท่านว่าโม่อี้มาหาเขาหรือเปล่า แล้วก็พบกันที่ศาลเจ้าพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราพลัดหลงเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาเลยจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก…”
จ้าวหลิงทำสีหน้าชวนขันพอดู ไม่รู้ว่าประหลาดใจในถ้อยคำของนางหรือว่าจนปัญญากับความไม่ลดละของนาง
ฟู่ถิงจวินเลิกคิ้วให้เขา “ท่านเก้า ที่ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ”
จ้าวหลิงยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน มิได้กล่าวตอบนาง
ฟู่ถิงจวินเอ่ยขึ้นเสียเอง “หรือไม่ท่านเก้ามีอะไรคิดไม่ออก ถามข้ามาสิ”
จ้าวหลิงแลเห็นแววเจ้าเล่ห์จุดวาบขึ้นในดวงตานางแล้วอดกุมขมับไม่ได้
คุณหนูเก้าสกุลฟู่ผู้นี้มีความดื้อรั้นเล็กน้อยแกมดันทุรังอยู่สักหน่อย…หาไม่แล้วตอนที่นางถูกคนใส่ร้ายว่ามีความสัมพันธ์ลับกับบุรุษคงไม่เพียรไต่ถามเอาความกระจ่างให้จงได้