ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่สิบเอ็ด
ฟู่ถิงจวินเฉลียวฉลาดมาก ทั้งมีสายตาเฉียบคม เรื่องในศาลเจ้าก็คาดเดาออกได้ถึงเจ็ดแปดส่วน ทว่ามันไม่ได้ทำให้จ้าวหลิงเปลี่ยนความคิดที่จะพูดเปิดอกกับนางทุกอย่าง
ในเมื่อนางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไขความเรื่องนี้ให้แจ่มแจ้ง เขาตอบคำถามนางก็แล้วกัน นางจะได้เลิกถามซักไซ้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
จ้าวหลิงคิดคำนึงพลางลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก
ตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแออยู่มาก จะลุกจากเตียงยังต้องให้คนประคอง ตามหลักแล้วฟู่ถิงจวินสมควรช่วยเหลือเขาถึงจะถูก แต่พอนางคิดถึงที่ตนเองเห็นเขาเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุด ขอเพียงเป็นการตัดสินใจของเขา นางล้วนทำตามโดยไม่ลังเลใจสักนิด ส่วนเขากลับเห็นนางเป็นเช่นคนผ่านทาง มีอะไรก็ปิดบังอยู่ร่ำไปแล้วรู้สึกคับอกคับใจ จึงตกลงใจว่าจะให้เขาลิ้มรสชาติถูกนางเห็นเป็นคนผ่านทางบ้าง
เห็นเขาลุกขึ้นนั่ง นางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ลุกขึ้นไปหาพัดใบลาน
อากาศร้อนจัด นางไม่คิดฝืนตัวเองให้ลำบาก เวลาที่เย็นสบายได้จะปฏิเสธไปไย
ครั้นหมุนกายลงนั่ง เพิ่งพบว่าจ้าวหลิงหน้าตาซีดเผือด เหงื่อไหลท่วมศีรษะ
ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเห็นเขาพิงกับราวเตียงโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และคิดถึงเรือนกายผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกของเขาแล้ว…นางไม่สบายใจอยู่สักหน่อย
หลังพิงกับของแข็งๆ อย่างนี้น่าจะเจ็บมากกระมัง!
ยิ่งกว่านั้นเขายังป่วยอยู่
หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างห้ามใจไม่อยู่ หยิบห่อสัมภาระที่ใช้หนุนหลังเขาก่อนหน้าแต่ตอนนี้ถูกทิ้งไว้ด้านข้างขึ้นมา “ขยับตัวหน่อย” เสียงพูดของนางทุ้มต่ำ น้ำเสียงติดจะกระด้างเย็นชา
จ้าวหลิงอดหันหน้าไปมองนางไม่ได้
เรียวคิ้วของนางขมวดเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวหลุบลง นางใช้ผ้าหยาบสีฟ้านวลทำเป็นเชือกมัดเรือนผมดำสลวยแล้วมุ่นเป็นมวยแน่นไว้ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นเรียวคอนวลเนียนขาวผ่องปานหิมะแรก มีรอยข่วนสีแดงบางๆ ตรงหลังคอเป็นทางยาวหายเข้าไปในปกเสื้อ ดุจดั่งรอยร้าวเส้นหนึ่งบนกระเบื้องขาวจนทำลายความงามอันสมบูรณ์แบบไป ทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความเสียดาย
เขาพลันจดจำได้ว่านั่นเป็นรอยที่หลงเหลืออยู่ตอนนางเกาผื่นบนหลัง ก็รู้สึกวาบลึกในอกอย่างปราศจากสาเหตุ
เขาคิดถึงว่าตลอดทางที่ระหกระเหินมา นางไม่เคยปริปากบ่น
เขาคิดถึงว่านางดูแลเขาอย่างเอาใจใส่โดยไม่เคยคำนึงถึงชื่อเสียง…
คำพูดที่มารออยู่ตรงปลายลิ้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เอ่ยออกมาไม่ได้
ด้านฟู่ถิงจวินกลับไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย
นางนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตรงหัวเตียง ฉวยพัดใบลานขึ้นมาโบกลม ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง นางลอบนึกเสียใจอย่างช่วยมิได้
เห็นจ้าวหลิงไม่ปริปากพูดอะไรอีก นางก็ไม่เอ่ยปากเช่นกัน ทั้งสองนั่งประจันหน้าอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดจาไปเช่นนี้ ปล่อยให้สายลมร้อนผะผ่าวพัดผ่านร่างกายจนเหงื่อซึมสาบเสื้อ
เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นกลัวดังมาจากชั้นล่าง
ฟู่ถิงจวินหน้าถอดสี
“เป็นอาเซิน!” นางลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไปข้างนอก “ข้าไปดูเอง!”
“กลับมานี่!” จ้าวหลิงคว้าข้อมือนางไว้
ถึงจะมีอาภรณ์ขวางกั้นอยู่ นางยังสัมผัสได้ว่ามือของจ้าวหลิงกำลังสั่นเทา พอหันไปมองอีกก็เห็นสีหน้าเขาขาวซีดมากกว่าเมื่อครู่นี้ บนหน้าผากมีหยดเหงื่อเม็ดโป้งผุดพราย
“ท่านเป็นอะไรไป” ฟู่ถิงจวินไม่กล้าบิดข้อมือออก “เจ็บแผลอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ข้างล่างมีโม่อี้ เฉินลิ่ว กับเสี่ยวอู่” เขาไม่กล่าวตอบ แต่พูดไปตามความคิดของตน “หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วพวกเขายังจัดการไม่ได้ ท่านลงไปมีแต่รนหาที่ตายเปล่า ท่านอยู่ข้างๆ ข้าจะปลอดภัยกว่า!”
ชั่วเสี้ยวขณะนี้เอง ฟู่ถิงจวินประจักษ์แจ้งในบัดดลแล้วว่าเหตุไฉนนางถึงขุ่นเคืองที่จ้าวหลิงปิดบังตนเองขนาดนั้น
นางจ้องตาเขา “ข้าย่อมรู้ว่าข้าอยู่ข้างๆ ท่านจะปลอดภัยที่สุด ดีที่สุดคือแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วหลบเข้าไปอยู่ใต้เตียง ถ้าเกิดมีคนบุกเข้ามาสังหารท่านทิ้ง ไม่แน่ว่าคนพวกนั้นจะแบกศพท่านจากไปด้วยความดีใจ เลยไม่ทันสนใจว่าใต้เตียงมีคนอยู่หรือไม่ ข้ายังอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้เพราะเหตุนี้ก็เป็นได้” ริมฝีปากแดงของนางสั่นระริก “แต่ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างหรือไม่ ในเมื่อข้างล่างมีพวกโม่อี้อยู่ เหตุไฉนอาเซินยังส่งเสียงร้องอย่างตกใจกลัวแบบนี้”
นางคิดถึงความรู้สึกตื่นกลัวและลนลานทำอะไรไม่ถูกตอนจ้าวหลิงล้มฟุบลงกับพื้นดินจนฝุ่นตลบขึ้นมา
นางคิดถึงความรู้สึกพรั่นพรึงและโศกเศร้าหมองหม่นตอนเอากริชจ่อลำคอตนเองในศาลเจ้า
สุ้มเสียงของหญิงสาวเบาลงอย่างช่วยมิได้ “เพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ ท่านให้ข้ามองดูพวกท่านเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา มองดูพวกท่านจบชีวิตอยู่ตรงหน้าข้า เช่นนี้ข้าขอตายดีกว่า ข้าขอตายก่อนเสียดีกว่า!”
ฟู่ถิงจวินยืนเหยียดแผ่นหลังตรงอยู่ที่เดิมประหนึ่งบุปผาแห่งคิมหันต์ฤดูบานสะพรั่ง แสงแดดยิ่งแรงกล้า มันก็ยิ่งเบ่งบานเต็มที่ แววตาของนางลุกโชนดุจเปลวไฟขับดวงหน้างามให้สว่างไสว และทำให้แขนเสื้อในมือเขาราวกับจะร้อนระอุขึ้นมา
เขาอดคลายยิ้มไม่ได้ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยข้อมือนางอย่างเชื่องช้า
“ไปยืนมองตรงหัวบันไดแวบหนึ่ง” รอยยิ้มฉายฉานออกมาทางดวงตาเขา ฉาบใบหน้าคร้ามเข้มให้เป็นประกายสดใส ชวนให้รื่นรมย์ใจดั่งสายลมเย็นดุจแสงจันทร์กระจ่าง “ถ้าไม่ชอบมาพากล ท่านก็หลบเข้าไปอยู่ใต้เตียงข้า ถ้าเกิดมีคนบุกเข้ามาสังหารข้าทิ้ง ไม่แน่ว่าคนพวกนั้นจะแบกศพข้าจากไปด้วยความดีใจ เลยไม่ทันสนใจว่าใต้เตียงมีคนอยู่หรือไม่ ท่านยังอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้เพราะเหตุนี้ก็เป็นได้!” ถ้อยคำสุดท้ายแฝงรอยกระเซ้า ไหนเลยจะมีท่าทางลึกล้ำยากหยั่งถึงเฉกที่ผ่านมา ทำให้ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้างด้วยความหลากใจ
เสียงตวาดเบาๆ ของอาเซินคละเคล้าเสียงตะคอกของเฉินลิ่วดังลอยมาจากชั้นล่าง
ฟู่ถิงจวินไม่ทันคิดมาก วิ่งตึงๆ ออกนอกประตูไป จับราวบันไดไว้แล้วก้มลงมองไปข้างล่าง
ภายในบริเวณร้านที่ไม่กว้างใหญ่ อาเซินกำลังวิ่งไล่ตามเด็กชายที่สูงไล่เลี่ยกับเขาคนหนึ่ง
อาเซินก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับว่องไวยิ่งกว่า ทั้งยังลื่นเป็นปลาไหล พอเด็กชายผู้นั้นหันหน้ามาทางนางโดยไม่ตั้งใจ ถึงพบว่าเป็นหนึ่งในหัวหน้าของพวกเด็กที่มาขอทานพวกนางบนถนนก่อนหน้านี้กลุ่มนั้น
โม่อี้ยืนนิ่งเฉยมองดูอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าบึ้งตึง เฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่ คนหนึ่งสกัดอยู่ที่ประตูหน้า คนหนึ่งสกัดอยู่ที่ประตูหลัง เด็กคนนั้นเผ่นหนีไปถึงหน้าประตูหลายครั้งหลายคราก็มีเฉินลิ่วกับเสี่ยวอู่ขวางอยู่จนต้องล่าถอยกลับมา
ผ่านไปหลายรอบเยี่ยงนี้ เด็กชายผู้นั้นสบช่องอาเซินหยุดพักหายใจ ร้องตะโกนขึ้น “นี่ไม่ยุติธรรม!”
อาเซินจับอีกฝ่ายไม่ได้ก็รู้สึกขายหน้าพวกโม่อี้มาก พอได้ยินเช่นนี้ เขาพูดเสียงดังทันที “ยุติธรรม!? เจ้าขโมยอาหารของพวกเราถึงยุติธรรมอย่างนั้นสิ!”
“อาหารของพวกเจ้าก็ซื้อมาด้วยการขู่เข็ญเช่นกัน” เด็กชายโต้คืนอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้วทำไมข้าจะขโมยไม่ได้”
“เช่นนั้นเจ้าถูกจับก็สมน้ำหน้าแล้ว” อาเซินไม่ใส่ใจเรื่องที่ซื้ออาหารมาด้วยการขู่เข็ญ “อย่างน้อยพวกเราก็จ่ายเงิน”
โม่อี้ดูพึงพอใจกับคำตอบของอาเซินมาก เขาพูดตวาด “จะพูดอะไรกับเขาหนักหนา จับตัวไว้ก็สิ้นเรื่อง”
อาเซินฟังแล้วเหวี่ยงกำปั้นใส่เด็กชายผู้นั้นหมัดหนึ่ง
เด็กชายผู้นั้นเบี่ยงกายแล้วต่อยกลับอาเซินหนึ่งหมัด
ทั้งคู่ต่อสู้กันอุตลุดอีกครา
ฟู่ถิงจวินกลับไปที่ห้อง “หัวหน้าคนหนึ่งในพวกเด็กขอทานกลุ่มนั้นมาขโมยของกิน ถูกอาเซินจับได้ก็เลยต่อยตีกัน”
จ้าวหลิงผงกหัวเบาๆ ท่าทางไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเอ่ยกับนาง “รินน้ำให้ข้าหน่อย!”
ในเมื่อโม่อี้รับผิดชอบอาหารน้ำดื่มให้ พวกเขาจึงมีน้ำกับหมั่นโถวแห้งเหลือเฟือ
ฟู่ถิงจวินรินน้ำชามหนึ่งแล้วยกมาให้ “น้ำทิ้งค้างไว้นานๆ ก็ต้องเน่าเสียอยู่ดี มิสู้ดื่มไปเลยดีกว่า”
จ้าวหลิงหัวเราะแผ่วๆ ดื่มรวดเดียวหมด “สาเหตุที่โม่อี้กับท่านสิบหกแสร้งทำไม่รู้จักกัน ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาสงสัยว่าพวกเราตั้งใจมาหาพวกเขา” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งถึงคิดตามทัน แต่นางเป็นดั่งลูกหนังถูกปล่อยลมออก มิได้กระตือรือร้นเช่นเมื่อครู่นี้อีกต่อไป
“อย่างนั้นหรือ?” นางนั่งลงบนม้านั่งตรงหัวเตียงอย่างเนือยๆ รอฟังเขาพูด
นางเป็นคนถามซักไซ้อย่างไม่ลดละเองมิใช่หรือ ไฉนพอตอนนี้บอกนาง นางกลับมีท่าทางหมดความสนใจเสียแล้ว
จ้าวหลิงรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจนางจริงๆ หากแต่ไม่อยากเห็นท่าทางเซื่องซึมของนาง
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ย “มิใช่ว่าข้าไม่อยากบอกท่าน เพียงแต่ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง…” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนมาก
“ข้ารู้” ฟู่ถิงจวินตัดบทเขา “ข้าคิดอยู่บ่อยๆ ว่าจะเป็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านลุงใหญ่ หรือว่าท่านย่าที่เป็นคนต้นคิดให้กรอกยาพิษข้า แล้วท่านแม่รู้เรื่องก่อนล่วงหน้าหรือไม่ และใช่หรือไม่ว่าท่านแม่ก็คิดเช่นกันว่าเป็นอย่างนี้ดีกว่า” นางพูดแล้วก้มหน้าลงมองสองมือเนียนนุ่มดุจหยกเนื้อดีของตนเอง สุ้มเสียงเบาลงเรื่อยๆ “ข้าถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยป้ายสีเช่นนี้ หรือว่าทุกคนล้วนเห็นว่าทำแบบนี้ถึงจะดีต่อข้า แต่ใจข้ายอมรับไม่ได้ ข้าขอยอมเผชิญหน้ากับจั่วจวิ้นเจี๋ย หรือใช้ผ้าแพรขาวผูกคอตายที่ซุ้มประตูยังดีเสียกว่าต้องมีชีวิตอยู่หลบๆ ซ่อนๆ ปกปิดชื่อแซ่อย่างนี้” นางรับรู้ได้ว่าขอบตาตนเองเริ่มร้อนผ่าวๆ
“ยังมีเรื่องที่ท่านได้รับบาดเจ็บ บางทีถึงข้ารู้แล้วก็อาจไม่มีปัญญาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ตอนข้าอยู่ที่ศาลเจ้า คิดว่าท่านคงต้องตายอยู่ที่นั่น จิตใจข้าเป็นทุกข์อย่างมาก ข้าถามตัวเองไม่หยุดว่าข้าทำแบบนี้ถูกหรือผิด ถ้าข้ามิได้เลือกที่จะมาหลินชุน ใช่หรือไม่ว่าจะไม่พบเจอโจรป่า หรือถ้าพวกเรามาที่หลินชุนแล้ว แต่เลือกหยุดพักในเมือง เหตุการณ์จะพลิกผันไปเป็นอีกแบบหนึ่งเลยหรือไม่…ข้ารู้สึกอยู่ไม่วายว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ท่านตาย…” น้ำตาของนางไหลรินลงมาหยดลงบนฝ่ามือละม้ายหยาดน้ำค้างวาววับ พอต้องไอแดดก็จะเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉับพลันนั้น ในใจจ้าวหลิงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด
ถึงอย่างไรนางก็เป็นสาวน้อยที่เพิ่งปักปิ่นคนหนึ่ง จู่ๆ ต้องพบกับมรสุมชีวิต อีกทั้งต้องร่วมเดินทางกับคนแปลกหน้าที่เกือบฆ่าตนเองตายอย่างเขา แม้ภายนอกนางจะดูสงบเยือกเย็น ทว่าภายในใจคงหวาดหวั่นว้าวุ่นอยู่ตลอด…
“ข้าไม่ดีเอง” บางทีอาจเป็นเพราะน้อยครั้งนักที่จะยอมอ่อนข้อ คำขอโทษของเขาฟังดูค่อนข้างขัดเขิน “วันหลังหากมีเรื่องอะไร ข้าล้วนบอกท่านทุกอย่าง แต่ท่านจะทำเป็นคนเจ้าอารมณ์อีกไม่ได้เหมือนกัน มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ มิใช่เอะอะก็โกรธ…”
เขายิ่งพูดยิ่งคล่องปาก ฟู่ถิงจวินซึ่งเริ่มจะตื้นตันใจอยู่สักหน่อยเมื่อครู่นี้เลิกคิ้วสูงขึ้นทุกที สุดท้ายนางก็เต้นผางๆ อย่างทนไม่ไหว “ข้าเจ้าอารมณ์เมื่อไหร่กัน กลับเป็นท่านต่างหากที่มักทำตัวพิลึกพิลั่นจนผู้อื่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เรื่องที่ผ่านมาข้าก็จะไม่พูดกับท่านแล้ว แต่จะขอพูดเรื่องตอนนี้ ทั้งๆ ที่ท่านระแวงโม่อี้ กลับไม่บอกอะไรข้าทั้งนั้น หากมิใช่ข้าหัวไว เกิดวันใดโม่อี้นึกอยากตะล่อมถามความข้าขึ้นมา ข้ามิพรั่งพรูทุกอย่างให้เขาฟังจนหมดสิ้นหรือไร ดูสิว่าท่านจะทำฉันใด มีคนกล่าวว่าวีรบุรุษยังต้องมีพวกพ้องสามคน ข้าจะดูสิว่าท่านคนเดียวจะทำอะไรได้…”
จ้าวหลิงส่งเสียงหัวร่ออย่างขบขัน
นิสัยเยี่ยงเด็กน้อยจริงๆ พูดอยู่ดีๆ ก็โมโหโทโสอีก
แต่สีหน้ามีชีวิตชีวาแบบนี้ดูแล้วสบายตากว่าท่าทางสลดหดหู่คล้ายดังดอกไม้เหี่ยวเฉาเป็นไหนๆ
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังเกินไปจนกระเทือนถูกบาดแผล เขารีบหยุดหัวเราะ กุมแผลตรงหัวไหล่พลางไอออกมาหลายที
ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแดงก่ำไปหมด
ไฉนจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ ถูกเขาพูดยั่วยุไม่กี่คำก็บันดาลโทสะแล้ว…
“นี่!” นางอายจนพาลโกรธ กล่าวขึ้น “พวกเรามีทั้งคนเจ็บ เด็กเล็ก ซ้ำพาสตรีมาอีกหนึ่งคน เหตุใดพวกเขาถึงสงสัยว่าพวกเราตั้งใจมาหาพวกเขา”
ท่าทางกระดากอายของฟู่ถิงจวินล้วนตกอยู่ในสายตาของจ้าวหลิง
ชายหนุ่มไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจริงๆ เขาเอ่ยต่อบทสนทนานี้ยิ้มๆ “เพราะเรื่องมันประจวบเหมาะเกินไปน่ะสิ”
ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้างมองจ้าวหลิง สีหน้าเอาจริงเอาจัง
เขาทำหน้าจริงจังเช่นกัน “ข้าก็เห็นพ้องกับการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของท่าน”
นางได้ยินแล้วมีรอยยิ้มปลื้มปีติปรากฏบนหน้า
“แม้หน่วยอาชาเหินได้รับคำสั่งให้จับตาดูเจ้าผู้ครองเขตทุกแห่ง แต่จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นพี่น้องของฮ่องเต้ หากมิใช่เรื่องใหญ่อย่างก่อกบฏ พวกนั้นย่อมไม่กล้าถวายฎีกาส่งเดช ทว่าหลังจากสือเหวินปินรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยอาชาเหิน นับวันหน่วยอาชาเหินยิ่งดำเนินการด้วยความโหดเหี้ยมรุนแรง และใช้วิธีการแปลกพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีการฟ้องร้องเอาผิดพวกท่านอ๋องบ่อยๆ ถึงขั้นที่สู่อ๋องถูกปลดเป็นสามัญชน และส่งผลให้ท่านอ๋องทั้งหลายพากันหวั่นกลัววิตก ด้วยไม่รู้ว่านี่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือว่าสือเหวินปินถือตนเป็นคนโปรดจึงหยิ่งผยองพองขนจนลืมตน ทำให้ยามเอ่ยถึงหน่วยอาชาเหิน พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสี จะพูดจะทำอะไรก็กลายเป็นระแวดระวังตัวขึ้นมา”
ยามจ้าวหลิงพูดเรื่องจริงจัง สีหน้าจะฉายรอยขึงขังหลายส่วน พลอยให้บรรยากาศเคร่งเครียดไปด้วย “ฉะนั้นตอนท่านสิบหกออกจากอาณาเขต เพียงพาองครักษ์ประจำตัวที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศสองคนกับขันทีที่ปรนนิบัติดูแลเรื่องการกินการอยู่หนึ่งคนติดตามมาเท่านั้น ถ้าในยุคบ้านเมืองสงบสุข มีสองสามคนนี้ข้างกายก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าภัยแล้งจะก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในส่านซี ดังนั้นการเดินทางกันไม่กี่คนเป็นเรื่องอันตรายเกินไป บางทีท่านสิบหกอาจต้องการปกปิดคนของหน่วยอาชาเหิน หรือไม่สถานการณ์วุ่นวายทำให้เขาขาดการติดต่อกับผู้ติดตาม ท่านสิบหกถึงได้เอ่ยถามโม่อี้ว่า ‘มีเจ้าเพียงคนเดียวรึ’ และโม่อี้ตอบว่า ‘พวกข้ามีกันทั้งหมดยี่สิบคน…มีเพียงพวกข้าที่โชคดีได้พบท่านสิบหก’ ”
ฟู่ถิงจวินพยักหน้าหงึกหงัก
“มีคำกล่าวว่ายุทธภพมิตอแยคนสามจำพวกคือ ผู้ละทางโลก เด็ก และสตรี” จ้าวหลิงกล่าว “ผู้ละทางโลกไม่บำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดวาอารามแต่กลับข้องแวะทางโลกียวิสัย เห็นได้ว่าอินทรีย์ทั้งหกไม่บริสุทธิ์ ยังตัดความโลภโกรธหลงไม่ขาด ส่วนสตรีกับเด็กที่กล้าออกมาผจญโลกภายนอกที่มีอันตรายแอบแฝงรอบด้าน ถ้ามิใช่เล่ห์กลชั้นเชิงเหนือผู้อื่น ก็ต้องมีผู้อาวุโสหรือเป็นศิษย์สำนักซึ่งมีชื่อลือลั่นในยุทธภพ พวกแรกไร้ความเมตตาการุญ พวกหลังชมชอบเอาชนะไม่ยอมใคร ไปตอแยเข้าล้วนเป็นเรื่องยุ่ง โม่อี้มีพวกมากมายยังหาท่านสิบหกพบได้ไม่ง่ายดาย พวกเรากลับปะเหมาะเจอเข้าพอดี หนำซ้ำยังเป็นหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีเข็นรถให้บุรุษสูงเจ็ดเชียะที่ล้มป่วยคนหนึ่ง อีกทั้งพอพวกเจ้าเสาะหาที่พักได้แล้ว อาเซินก็จะไปหาหมอในหลินชุนอีก ท่านว่าพวกเขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร”
“ด้วยเหตุนี้โม่อี้ถึงส่งเสี่ยวอู่ไปสะกดรอยตามอาเซิน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยอย่างใช้ความคิด “จริงๆ แล้วหมายจะหยั่งตื้นลึกหนาบางของพวกเรา ผลปรากฏว่าอาเซินหลงคิดว่าเสี่ยวอู่เป็นคนของเฝิงเหล่าซาน เลยเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับเขาอยู่ครึ่งค่อนคืน”
จ้าวหลิงพยักหน้า “อาเซินกับเสี่ยวอู่เล่นเจ้าล่อเอาเถิดอยู่ด้านนอก ฝ่ายโม่อี้ไม่ได้ข่าวคราวอะไร พวกโจรป่าก็บุกเข้ามาในศาลเจ้าอีก” พอกล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดเว้นจังหวะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมชื่นชม “ท่านสิบหกนับเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำใจ! ทั้งกลัวว่าพวกเราเป็นเขี้ยวเล็บของหน่วยอาชาเหิน อีกทั้งกลัวว่าพวกเราเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทางหนึ่งส่งสัญญาณบอกให้โม่อี้ดูต้นทางอยู่ด้านนอก ทางหนึ่งจับตาดูว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกับโจรป่าหรือไม่”
“จวบจนท่านสังหารหัวหน้าโจรคนนั้น พวกเขาถึงมั่นใจว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน จึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ” ฟู่ถิงจวินกระจ่างแจ้ง “จากนั้นก็มอบยาและพันแผลให้ สุดท้ายยังมอบเทียบชื่อใบหนึ่งให้ท่านไปเป็นทหาร และมอบหมายโม่อี้พาท่านมาพักรักษาบาดแผลที่หลินชุน” นางกล่าวพึมพำ “ดูท่าท่านสิบหกผู้นี้เป็นคนไม่เลว!”
จ้าวหลิงฟังแล้วเพียงยิ้มเท่านั้น
ฟู่ถิงจวินมักรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาคล้ายมีนัยบางอย่าง พาให้นางร้อนตัวอยู่บ้าง
คงมิใช่พูดอะไรผิดอีกแล้วกระมัง!
“บอกว่ามีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ มิใช่หรือ” นางอดบ่นอุบอิบไม่ได้ “ข้าไม่เหมือนกับท่านที่หูตากว้างขวาง ทั้งเป็นคนเจ้า…” เดิมทีนางตั้งใจจะพูดว่า ‘เจ้าเล่ห์’ แต่พอหวนคิดถึงรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนอยู่บ้างของเขาในวันนั้น รีบกลืนคำว่า ‘เล่ห์’ กลับลงไปแล้วเอ่ยว่า “ปัญญา…”
จ้าวหลิงได้ยินชัดถนัดหู ทำให้รอยยิ้มฉายฉานออกมาทางดวงตาอีกครา เขากล่าว “ท่านมองออกไปนอกหน้าต่างว่ามีอะไรต่างออกไปบ้าง”
ฟู่ถิงจวินไม่เข้าใจ วิ่งไปข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
“ไม่มีอะไรต่างออกไปนี่!” นางกล่าวงึมงำ “ที่นี่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง แต่ถนนหลวงกลับอยู่ทางทิศตะวันตก ที่ตั้งออกจะเปลี่ยวอยู่สักหน่อย…”
จ้าวหลิงกล่าวเตือนนาง “มองจุดที่ไกลออกไป”
“ไกลออกไป…” ฟู่ถิงจวินทอดสายตามองไป “ไกลออกไปมองเห็นถนนหลวง ป่าข้างทางหลวงก็เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง เอ๊ะ ยังมีศาลเจ้า ศาลเจ้าที่พวกเราหยุดพักเมื่อวานนี้…ล้วนมองเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง” นางพูดพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ อดเอ่ยพึมพำไม่ได้ “ไม่รู้ว่ามีคนพบศพพวกนั้นหรือยัง”
จ้าวหลิงจนวาจาไปครู่ใหญ่
ฟู่ถิงจวินดึงความคิดคืนมาแล้วรีบกล่าวขึ้น “ข้าเห็นเท่านี้เอง!”
เขาถอนใจ “เส้นทางมายังหลินชุนมีแค่สองสาย ทางหนึ่งคือถนนหลวง ทางหนึ่งคือทางดินลูกรังด้านข้างศาลเจ้า ที่นี่มองเห็นได้ทั้งถนนหลวงและศาลเจ้า หรือพูดอีกอย่างคือไม่ว่ามีคนเข้าสู่หลินชุนจากทางใดก็ตาม ถ้ายืนมองออกไปจากที่นี่จะสังเกตเห็นได้หมด ไม่ว่าจะเป็นถนนหลวงก็ดี หรือศาลเจ้าก็ดี ล้วนอยู่ค่อนข้างห่างออกไป ถ้าเกิดมีคนบุกมา จะมีเวลาออกจากที่นี่ได้อย่างสบายๆ” เขาเอ่ยทอดถอนใจ “รุกก็โจมตีได้ รับก็ป้องกันได้ โม่อี้ผู้นี้เป็นยอดฝีมือในเรื่องการเคลื่อนพลจัดทัพคนหนึ่ง”
ฟู่ถิงจวินอยากถามเขาคำหนึ่งมากว่า ‘ในเมื่อท่านมองออกเช่นกัน แสดงว่าท่านก็เป็นยอดฝีมือในเรื่องการเคลื่อนพลจัดทัพคนหนึ่งใช่หรือไม่’ ถ้อยคำมารอที่ปลายลิ้นแล้ว แต่นางเห็นว่าพูดเช่นนี้ดูสนิทสนมกันเกินไป จึงรีบเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “ท่านเก้า เมื่อครู่นี้ท่านฉวยจังหวะตอนพวกเราไม่อยู่ไปยืนมองสำรวจอยู่ข้างต่างอย่างละเอียดมาแล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ดีขนาดนี้ได้อย่างไร ข้ายังไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มองเห็นศาลเจ้าได้ด้วย”
มุมปากของจ้าวหลิงกระตุกเบาๆ สีหน้าเขาเหมือนไม่อยากถือสาหาความนาง
เขากล่าวโพล่งขึ้น “ท่านบอกว่าอาเซินกำลังต่อยตีกับหนึ่งในหัวหน้าเด็กชายกลุ่มนั้นที่มาขอทานพวกเราบนถนนก่อนหน้านี้หรือ”
ไฉนจู่ๆ จึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้น
“อื้อ!” ฟู่ถิงจวินเอ่ย “บอกว่าเด็กคนนี้มาขโมยอาหาร”
จ้าวหลิงกล่าว “อีกประเดี๋ยวท่านถามโม่อี้ดูว่าหลายวันนี้พวกเราจะเอาเสบียงอาหารจากที่ไหน”
หญิงสาวก็สนใจปัญหานี้อยู่เช่นกัน นางเห็นจ้าวหลิงมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนก็คุยเล่นกับเขาอีกไม่กี่คำแล้วพยุงเขานอนลง จากนั้นโบกลมให้ครู่หนึ่ง เห็นเขาหลับสนิทไปแล้วถึงเดินย่องลงไปข้างล่าง
เด็กชายคนนั้นหายตัวไปแต่นานแล้ว ส่วนอาเซินกับเสี่ยวอู่กำลังแข่งตั้งท่าขี่ม้ากันอยู่ โม่อี้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเย็นๆ “หากลำตัวช่วงล่างของเจ้ามั่นคง มีหรือจะถูกเจ้าเด็กนั่นเตะตัดขาจนล้มหงายกับพื้น ไม่รู้ว่าเจ้านายของเจ้าสอนเจ้ามาอย่างไร…”
อีกฝ่ายกล่าวไม่ทันจบ อาเซินชักสีหน้าทันควัน “ท่านเก้าของข้าสอนดีมาก เป็นข้าที่เรียนได้ไม่ดีเอง พี่อวี้…”
ฟู่ถิงจวินเห็นว่าเขากำลังจะเอ่ยคำว่า ‘พี่อวี้เฉิง’ ก็รีบกระแอมไอเสียงหนึ่งแล้วพูด “อาเซิน อากาศร้อนเหลือเกิน ตอนนี้ท่านเก้าล้มป่วยอยู่ คงทนไม่ไหวเหมือนปกติ เจ้าขึ้นไปโบกลมให้เขาเถอะ!”
อาเซินวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างเร็วรี่
ฟู่ถิงจวินไต่ถามโม่อี้ว่าหลายวันนี้จะจัดการเรื่องเสบียงอาหารอย่างไร
“พอให้พวกเรากินได้สี่ห้าวันแล้ว” เขากล่าว “แม่นางไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ข้าจะส่งเสี่ยวอู่ไปยังเมืองซีอาน ถึงตอนนั้นค่อยนำน้ำดื่มอาหารมาอีกที”
นางกล่าวตามมารยาทเช่นว่า ‘ทำให้ผู้ช่วยโม่ต้องวุ่นวายแล้ว’ ทำนองนี้ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป
นางอบรมอาเซิน “พวกเรากับผู้ช่วยโม่พบกันโดยบังเอิญ อะไรพูดได้อะไรพูดไม่ได้ต้องคิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน รู้หรือไม่”
อวี้เฉิงกับหยวนเป่าเป็นหมากตัวสุดท้ายของจ้าวหลิง ลึกๆ ในใจนางไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้
อาเซินพูดแย้ง “พวกเขาพูดว่าท่านเก้าสอนไม่ดี…”
“ดีหรือไม่พวกเขามิใช่ผู้ตัดสิน” ฟู่ถิงจวินตัดบทเขา “ท่านเก้ายังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ ยิ่งเป็นเวลานี้เจ้ายิ่งต้องระแวดระวังตัว อย่ามีเรื่องมีราวกับพวกเขาจึงจะถูก”
“อื้ม” อาเซินพยักหน้า “พวกเราจะได้ไม่ตีกันเองเสียก่อน คนเร่ร่อนพวกนั้นเห็นแล้วจะวิ่งเข้ามาแย่งชิงอาหารของพวกเรา”
ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม
รอจนจ้าวหลิงตื่นขึ้นมา นางจึงเอาคำพูดของโม่อี้บอกกับเขา
“พูดเช่นนี้ พวกเขามิใช่คนของท่านสิบหกแล้ว” จ้าวหลิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง “น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าในเมืองซีอานตอนนี้มีใครพำนักอยู่บ้าง…”
นางประหลาดใจเล็กน้อย
เขาเอ่ยอธิบาย “เสี่ยวอู่ผู้นั้นบอกว่าขณะนี้เมืองซีอานให้ออกไม่ให้เข้ามิใช่หรือ ถ้าพวกเขาเป็นคนของท่านสิบหกจะต้องไม่คุ้นเคยกับที่นั่นเป็นแน่ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เข้าออกเมืองได้ตามชอบใจเยี่ยงนี้”
“เช่นนั้นพวกเขาเป็นคนของใคร” ฟู่ถิงจวินฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน
“ถึงไม่ใช่คนของท่านสิบหกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด” จ้าวหลิงกล่าวปลอบนาง “ถึงอย่างไรก็สืบรู้ได้” เขาเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปเชิญผู้ช่วยโม่มา!” จากนั้นพูดกับหญิงสาว “ถ้าฉวยโอกาสนี้ไปเมืองซีอานได้จะดีที่สุด”
น้ำเสียงเขาเริ่มจะมีร่องรอยเป็นเชิงปรึกษาหารือกับนางบ้างแล้ว
“แล้วบาดแผลของท่าน” ฟู่ถิงจวินเป็นห่วงมาก
“อดทนถึงเมืองซีอานได้ไม่เป็นปัญหา”
นางคิดถึงนัดหมายของจ้าวหลิงกับอวี้เฉิงและหยวนเป่า…อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว
หญิงสาวนิ่งเงียบไป
โม่อี้ประหลาดใจมาก
“พวกเราเตรียมตัวไปพักพิงที่เมืองซีอานแต่แรก ต่อมาได้ยินเสี่ยวอู่พูดว่าที่นี่ให้ออกไม่ให้เข้าก็เลยล้มเลิกความตั้งใจนี้ไป” จ้าวหลิงกล่าว “ในเมื่อผู้ช่วยโม่มีวิธีเข้าไปได้ พวกข้าไปเมืองซีอานเลยจะดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้พอพวกข้าตามหาญาติพี่น้องพบ ผู้ช่วยโม่ก็สามารถกลับไปหาท่านสิบหกได้ ไม่อย่างนั้นท่านคอยอยู่เป็นเพื่อนพวกข้าแบบนี้ พวกข้าไม่สบายใจเลย”
“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านระหว่างรักษาตัวเป็นความต้องการของท่านสิบหก ดังนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม พวกท่านจะไม่สบายใจไปไย” โม่อี้ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ยิ่งกว่านี้ในเมืองซีอานเต็มไปด้วยขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่หนีภัยมา มีการขึ้นราคาข้าวของมาห้าหกรอบจนวุ่นวายไปหมด ข้าว่าอยู่ในหลินชุนจะดีกว่า ถึงอย่างไรท่านต้องพักรักษาตัวสองสามเดือนจึงจะหายดี มิต้องด่วนใจร้อนตอนนี้”
“หรือไม่พรุ่งนี้พวกท่านพาอาเซินไปเมืองซีอานส่งสารให้ญาติข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็เบาใจได้บ้าง” จ้าวหลิงก็ไม่ยืนกราน เพียงเอ่ยอย่างประนีประนอม
โม่อี้ตอบตกลงอย่างง่ายดาย
จ้าวหลิงนั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ดูท่าทางพวกเราถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่แล้ว!”
ฟู่ถิงจวินหน้าถอดสีไปถนัดตา “เป็นท่านสิบหกใช่ไหม เพราะอะไร หรือว่ากลัวพวกเราเปิดเผยร่องรอยของเขา?”
“เป็นไปได้” เขานิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไป ขอเพียงท่านสิบหกกลับอาณาเขตไปแล้ว ต่อให้พวกเรามีเจตนาจะทำเช่นนั้น แต่ปราศจากพยานหลักฐานใด ยังสามารถไปรายงานหน่วยอาชาเหินได้หรือไร เมื่อนั้นเขาย่อมปล่อยตัวพวกเราเป็นธรรมดา” เขาสั่งกำชับอาเซิน “พรุ่งนี้เจ้าต้องหูไวตาไวหน่อย ข้อแรกดูว่าพวกเขาใช้วิธีการใดเข้าเมือง ข้อสองคิดหาหนทางส่งข่าวถึงอวี้เฉิงกับหยวนเป่า บอกสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเราให้พวกเขารู้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงจนออกตามหาสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันไร้หัว”
อาเซินพยักหน้าอย่างขึงขัง
วันรุ่งขึ้น เขาก็ติดตามเสี่ยวอู่ไปยังเมืองซีอาน
หลังจากอาเซินออกไป ฟู่ถิงจวินหารือกับจ้าวหลิง “ข้าอยากไปดูว่าสตรีคนที่อุ้มเด็กไว้ยังอยู่หรือไม่”
เขารู้สึกงุนงง
ฟู่ถิงจวินกล่าว “ถึงอย่างไรระหว่างนี้อาหารการกินของพวกเราล้วนมีโม่อี้จัดเตรียมให้ มิสู้เอาหมั่นโถวกับน้ำของพวกเรามอบให้ผู้อื่น ไม่แน่ว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนคับขันของพวกเขาได้พอดี”
แววยิ้มฉายชัดออกมาทางดวงตาชายหนุ่มอย่างเก็บงำไม่อยู่
เขานึกว่าพอนางประสบกับเรื่องของน้าชายแล้วคงไม่เชื่อใจใคร และไม่มีความเห็นใจให้คนที่อ่อนแอโดดเดี่ยวพวกนั้นอีกสืบไป คิดไม่ถึงว่า….
“ได้สิ!” เขาหยักยิ้มมองนาง ดวงตาเปล่งประกายวาววับดุจเม็ดหยก ฟู่ถิงจวินมองจนตาลอยไปบ้าง “ท่านระวังสักหน่อย อย่าให้คนเห็น ประเดี๋ยวจะรุมกันเข้ามาแย่งชิง กลับจะทำให้ตนเองบาดเจ็บเสียเอง”
“อื้อ!” นางรวบรวมสติคืนมาแล้วพยักหน้าไม่หยุด “ข้าจะแอบให้นาง ไม่ให้คนอื่นเห็น”
จ้าวหลิงยังกำชับนางอีกสองสามคำถึงยอมให้นางออกไป
หญิงสาวซึ่งออกเรือนแล้วคนนั้นยังอยู่ที่เดิม นางอุ้มลูกนั่งอยู่บนเสื่อด้วยสีหน้าเซื่องซึม ส่วนบุรุษที่ตวาดใส่นางไม่ได้อยู่ด้านข้าง
ฟู่ถิงจวินฉวยจังหวะเข้าไปใกล้ๆ นางแล้วก็ขยิบตาบอกให้ตามตนเองมา
สตรีผู้นั้นสองจิตสองใจครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะตนเองไร้สมบัติใดติดกาย ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะประสงค์ร้าย ท้ายที่สุดนางยังคงตามฟู่ถิงจวินไปยังลานด้านหลังร้านค้าที่อีกฝ่ายพักแรมอยู่
ฟู่ถิงจวินมองแล้วว่ารอบด้านปลอดคน เอาถุงหนังใส่น้ำใบหนึ่งกับหมั่นโถวสองใบให้นาง “มีเพียงเท่านี้ ให้พวกเจ้าประทังหิวชั่วคราว”
สตรีผู้นั้นมองอาหารในมืออีกฝ่าย นานครู่ใหญ่กว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ นางหลั่งน้ำตาไหลพรั่งพรูลงมา ขยับปากพะงาบๆ เหมือนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สุดท้ายอุ้มลูกคุกเข่าลงเบื้องหน้าหญิงสาวโขกศีรษะไม่หยุด
“รีบลุกขึ้น ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้ เจ้าป้อนให้ลูกกินเร็วเข้าเถอะ!” ฟู่ถิงจวินประคองนางขึ้น ลูบศีรษะที่มีเส้นผมหร็อมแหร็มของเด็กทารกซึ่งนอนกะปลกกะเปลี้ยอยู่ในอ้อมอกมารดา “ลูกของเจ้าหิวจนไม่มีแรงแล้ว!”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าไม่หยุดพลางพูดซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วตั้งท่าจะอุ้มลูกคุกเข่าลงโขกศีรษะให้นางอีก
ฟู่ถิงจวินออกแรงรั้งเอาไว้ สตรีผู้นั้นถึงยอมเลิกรา นางขอยืมชามกับช้อนไปแล้วบิหมั่นโถวชิ้นเล็กๆ แช่น้ำ จากนั้นรีบนั่งลงตรงธรณีประตูป้อนให้ลูกกินโดยไม่รอช้า
ฟู่ถิงจวินนั่งมองอยู่ด้านข้าง
นับจากท่านน้าล่วงลับไป นางคิดคำนึงถึงเคราะห์ร้ายของครอบครัวท่านน้ามาโดยตลอด
ทั้งที่เป็นการกระทำความดี เหตุใดลงท้ายกลับชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ครอบครัวพินาศ ชีวิตสูญสิ้น
การทำบุญกุศลเป็นความผิดกระนั้นหรือ
นางได้รับการอบรมสั่งสอนมาแต่เยาว์วัยว่าต้อง ‘เผื่อแผ่เพื่อนบ้าน เมตตาเด็กกำพร้า นับถือผู้อาวุโส เอ็นดูผู้เยาว์’ ไฉนความเป็นจริงถึงแตกต่างกับสิ่งที่รับรู้มาถึงเพียงนี้
จวบจนได้พบกับท่านสิบหกในศาลเจ้า ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้นมือหนึ่งถือเงินมือหนึ่งถือกระบี่ ทำให้นางบังเกิดความสะทกสะท้อนในใจ
ไม่มีความสามารถปกป้องตนเองก็ไปช่วยเหลือคน และการวางทรัพย์สินเงินทองล่อตาล่อใจ มีแต่ทำให้ผู้อื่นจับจ้องตาเป็นมัน ทั้งพาตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก มีเพียงในภาวะที่ป้องกันตัวเองได้แล้วถึงค่อยไปชั่วเหลือคน ถึงจะสามารถเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน เมตตาเด็กกำพร้าได้
ด้วยเหตุนี้มีวาทะอันเฉียบคมว่าไว้ ’ยามยากพึงรักษาคุณความดีแห่งตน ยามมีเพียรทำคุณประโยชน์ต่อผู้คน’
ตอนนี้พวกนางมีโม่อี้คุ้มครองอยู่ ทั้งยังมีอาหารเหลือเฟือ นางถึงกล้าช่วยเหลือเจือจานสตรีผู้นั้น
มาตรว่าจะเป็นเช่นนี้ ฟู่ถิงจวินยังไม่กล้ามอบอาหารทั้งหมดให้อีกฝ่ายในคราเดียว ด้วยกลัวว่าหลังจากนางกลับไปแล้วเป็นที่ริษยาของคนเร่ร่อนคนอื่นๆ จนถูกยื้อแย่งช่วงชิงไปเพราะไม่มีกำลังป้องกันตนเองได้ และอาจถึงขั้นจบชีวิตลงเพราะเหตุนี้ จากความหวังดีจะกลายเป็นเรื่องร้ายไปเสีย อีกประการหนึ่งหญิงสาวยังกลัวว่าสตรีผู้นี้อาจมีใจคิดร้ายต่อตนเองขึ้นมาด้วย
เห็นฟู่ถิงจวินมองตนเอง สตรีซึ่งออกเรือนแล้วเอ่ยอย่างกระดากอาย “ข้าอยากป้อนอาหารลูก แต่กลัวพวกเขาแย่งหมั่นโถวไป”
ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ นางถึงคลายใจลงได้
อาจเป็นเพราะเด็กทารกไม่คุ้นเคย แรกเริ่มเขาอมไว้ในปากไม่กลืนลงคอ แต่เมื่อป้อนไปได้สองสามคำ เขารับรู้ถึงรสชาติแล้วก็กินไม่หยุดอย่างตะกรุมตะกราม
ใบหน้าของแม่เด็กเริ่มประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจ ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วพลอยรู้สึกอบอุ่นในใจไปด้วย
นางถามสตรีผู้นั้น “เด็กอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบเดือนห้าวันเจ้าค่ะ!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น “เขาเกิดปีซินโม่* เดือนสิบเอ็ดวันที่หนึ่งเจ้าค่ะ หมอดูบอกว่าเขามีดวงแปดอักษรดี” พูดถึงตรงนี้ ราวกับนางคิดอะไรขึ้นได้ รีบกล่าวกับฟู่ถิงจวิน “หรือไม่ให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเถอะ” ไม่ทันสิ้นเสียง นางรู้ตัวว่าพลั้งวาจาไป ลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลน “แม่นาง ดูข้าซิ ดีใจจนเลอะเลือนไปแล้ว ท่านยังไม่แต่งงานกระมัง ท่านเป็นคนช่วยชีวิตลูกข้า ข้าเลยอยากตอบบุญคุณของท่าน…”
คนชนบทมีธรรมเนียมรับบุตรบุญธรรมเพื่อขอลูก
ฟู่ถิงจวินรู้ว่านางประสงค์ดี จึงยิ้มอย่างไม่ถือสา
สตรีผู้นั้นขอขมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนลูกของนางร้องไห้ขึ้นมาเพราะกินไม่อิ่ม ถึงนั่งลงด้วยสีหน้าลุแก่โทษ และป้อนหมั่นโถวแช่น้ำจนเหมือนโจ๊กข้นๆ ให้เขากินต่อ
ฟู่ถิงจวินกล่าวเตือนนาง “อย่าป้อนมากเกินไป เวลาคนที่บ้านข้าไม่สบาย ต้องอดอาหารสองสามวันก่อน จากนั้นจะต้มแค่โจ๊กให้กิน ตอนเริ่มแรกยังกินได้แค่ครึ่งชามเล็กๆ ด้วย เพราะคนที่หิวมานาน กินทีเดียวมากๆ จะไม่สบายท้องได้”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าแล้ววางช้อนลงตามคำบอกทันที
เด็กทารกกลับแผดเสียงร้องไห้อย่างไม่ยินยอม
สตรีผู้นั้นอุ้มลูกเดินกล่อมอยู่ในลานเรือน
“แม่นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่กระมัง” นางสนทนากับฟู่ถิงจวิน
คุณหนูตระกูลใหญ่?
เมื่อก่อนนั่นใช่ แต่ตอนนี้…นางก็ไม่ต่างกับพวกเขา เป็นคนที่ตกระกำลำบากเช่นกัน นางแค่โชคดีได้พบกับจ้าวหลิง
นางส่ายหน้ายิ้มๆ
สตรีผู้นั้นกลับกล่าวอย่างไม่เชื่อ “คุณหนู หากท่านมีเสื้อผ้าสกปรกต้องการซักล้าง เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” แต่แล้วนางก็รีบพูดขึ้นอีกด้วยกลัวหญิงสาวเข้าใจผิด “ข้ามิใช่ต้องการของกิน แค่อยากตอบแทนบุญคุณท่านที่ช่วยชีวิตไว้เท่านั้น” กล่าวจบนางยิ้มอย่างเก้อกระดาก
ยามนี้แม้แต่น้ำดื่มยังฝืดเคือง ยังจะเอ่ยถึงเรื่องซักผ้าอะไรได้เล่า
“สามีข้ามักติว่าข้าพูดจาไม่เป็น” นางอธิบายเสียงอ้อมแอ้ม “คุณหนูอย่าได้เก็บไปใส่ใจเป็นอันขาดนะเจ้าคะ” นางปิดปากไม่กล่าววาจาอีก
ฟู่ถิงจวินเห็นว่าสตรีผู้น่าสนใจดี จึงเอ่ยถามนาง “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“สามีข้าแซ่เจิ้ง เป็นบุตรคนที่สามของตระกูล” นางลังเลใจครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ข้าแซ่เถียน เป็นเพราะเกิดเดือนห้าก็เลยมีชื่อว่าอู่เยวี่ยเจ้าค่ะ”
นางยังบอกชื่อก่อนออกเรือนอย่างถือฟู่ถิงจวินเป็นคนกันเอง
มีเพียงผู้ที่มีไมตรีเฉกคนครอบครัวเดียวกันหรือมีสัมพันธ์เป็นนายบ่าวกันถึงจะบอกชื่อก่อนออกเรือน
อันว่าผู้อื่นนับถือเราหนึ่งเชียะ เรานับถือผู้อื่นหนึ่งจั้ง
ฟู่ถิงจวินเอ่ย “เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าเจิ้งซานเหนียงแล้วกัน”
“มิกล้าๆ!” สตรีผู้นั้นรีบกล่าว “ท่านเรียกข้าว่าอู่เยวี่ยเถอะเจ้าค่ะ”
ฟู่ถิงจวินเห็นนางเป็นคนซื่อตรงก็ไม่โต้แย้งด้วย เพียงแย้มยิ้มเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าไปเมืองซีอานแล้วเสียอีก”
“พวกเรามาจากเมืองซีอานนี่แหละเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงกล่าว “ตอนนี้เมืองซีอานออกได้เข้าไม่ได้ ทุกคนถูกขับไล่ไปที่คูเก้าลี้หมด สามีข้าบอกว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดโรคระบาด เลยพาพวกข้ามายังตำบลหลินชุน…”
ฟู่ถิงจวินประหลาดใจอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่าบุรุษหยาบกระด้างปานนั้นถึงกับมีหูตากว้างไกลอย่างนี้
เจิ้งซานเหนียงพูดราวกับหยั่งเดาได้ว่าฟู่ถิงจวินไม่ชอบหน้าเจิ้งซานสักเท่าไหร่ “แต่ก่อนสามีข้าเป็นผู้คุ้มภัยอยู่ในสำนักคุ้มภัย ต่อมาเห็นสหายร่วมสำนักที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็พิการไป จึงไม่อยากมีชีวิตอย่างนั้นอีก พอหาเงินได้ก้อนหนึ่งก็กลับไปที่บ้านนอกซื้อที่นาหลายหมู่” ดวงตานางเป็นประกายวาววับด้วยความชื่นชมศรัทธา มองออกได้ว่านางภาคภูมิใจในตัวสามีผู้นี้เป็นอันมาก
“ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มภัยหรือว่าทำนา เขาล้วนเชี่ยวชาญช่ำชอง” แต่แล้วแววตานางค่อยๆ หม่นแสงลง “แต่เป็นเพราะปีนี้ผลเก็บเกี่ยวไม่ดี ถึงทำให้กลายเป็นเช่นตอนนี้” นางพูดแล้วสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝืนยิ้มสดใสออกมา “แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ดีกับพวกเราแม่ลูกมาก พาพวกข้าหนีภัยไปจนถึงเมืองซีอาน ยามไม่มีกิน มีคนอื่นจะเอาของมาแลกกับลูก สามีข้าไม่ตอบตกลง…”
ฟู่ถิงจวินขมขื่นใจจนน้ำตาเจียนไหลหยาดลงมา
เจิ้งซานเหนียงรีบกล่าวปลอบนาง “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเราได้พบกับคุณหนูแล้ว ดวงแปดอักษรของลูกดีมากจริงๆ”
ฟู่ถิงจวินยิ้มพลางสูดจมูก “สามีของเจ้าเล่า”
“เขาเข้าไปในเมืองดูว่าจะหาเปลือกไม้กับดินขาวได้หรือเปล่า…อุ๊ย…” พูดถึงตรงนี้ เจิ้งซานเหนียงอุทานขึ้นแล้วรีบเร่งลุกขึ้นยืน “เขาให้ข้าอยู่ที่เดิมอย่าไปไหน บอกว่าครู่เดียวก็กลับมา…” นางเงยหน้ามองดูท้องฟ้า จวนเจียนเป็นยามเที่ยงแล้ว “คุณหนู ข้าต้องกลับไปแล้ว รอสักครู่ค่อยมาโขกศีรษะให้ท่าน” นางพูดพร้อมกับเอาของกินที่เหลือยัดเข้าไปในซอกมุมหนึ่งของลานด้านหลัง จากนั้นกล่าวกับฟู่ถิงจวินอย่างอายๆ “เก็บไว้กินพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!”
“แล้วพวกเจ้า…” ฟู่ถิงจวินมองนางอย่างตกตะลึง
“พวกข้าเป็นผู้ใหญ่ หิวสองสามวันไม่เป็นไร แต่ลูกหิวไม่ได้เจ้าค่ะ” ใบหน้าเหลืองซีดของเจิ้งซานเหนียงเปล่งรัศมีรางๆ เทียบเทียมได้กับประกายเม็ดหยก ทำให้ฟู่ถิงจวินนิ่งไปเป็นนานกว่าจะพูดออก “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ข้าค่อยเอามาให้เจ้าอีก เจ้ากินรองท้องไปก่อนได้เลย…”
เจิ้งซานเหนียงส่ายหน้า “ขอบคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ!” นางมองหญิงสาวด้วยแววตาจริงใจ “ทุกคนล้วนกำลังลำบาก แต่ท่านสามารถเจียดเสบียงของตนเองแบ่งปันให้พวกเราได้ พวกเราก็ซาบซึ้งใจไม่สิ้นสุดแล้ว ไหนเลยจะให้ท่านช่วยเหลือเจือจานต่อไปอีกได้…” นางพร่ำพูดขอบคุณหนแล้วหนเล่า ก่อนจะอุ้มลูกจากไป
ตอนเดินออกไป นางยังปิดประตูลานเรือนให้อย่างรอบคอบ
ฟู่ถิงจวินยืนอยู่ในลานกว้างเนิ่นนาน ถึงได้หมุนกายขึ้นไปข้างบนอย่างเชื่องช้า
“เป็นอะไรไป จมูกแดงๆ” จ้าวหลิงถามนางเสียงนุ่ม “สตรีผู้นั้นทำให้ท่านเสียใจหรือ” ดวงตาเขามีประกายคมปลาบวาบขึ้น
ฟู่ถิงจวินซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดหาได้สังเกตเห็นไม่
“ไม่ใช่…” นางส่ายหน้าเบาๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
จ้าวหลิงคลี่ยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ “เห็นได้ว่านางยังเป็นคนดีอยู่”
ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มละไม ครั้นคิดได้ว่าตนเองออกไปครึ่งค่อนวัน จ้าวหลิงนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ไม่มีคนให้เรียกใช้สักคนก็รีบเร่งไปรินน้ำเย็นให้เขา “ตอนเช้าท่านเก้าทำอะไรบ้าง”
“มิได้ทำอะไร” จ้าวหลิงดื่มน้ำ “นอนตลอดทั้งเช้า”
น่าเบื่อปานนั้น!
ฟู่ถิงจวินกล่าว “ถ้าหาหนังสือสักเล่มมาอ่านคลายเบื่อได้ก็คงดี” นางพูดแล้วตาเป็นประกาย ยามข้าวยากหมากแพง สิ่งมีค่าคืออาหาร หนังสือตำราน่าจะไม่มีคนต้องการกระมัง!
“ท่านรอสักครู่ ข้าลองไปหาดู” นางจดจำได้ว่าชั้นล่างมีห้องบัญชีอยู่ ดังนั้นไม่ฟังเสียงห้ามของจ้าวหลิง เดินลิ่วๆ ลงบันไดไป
ที่ชั้นล่าง โม่อี้กำลังจุดไฟอยู่หน้าเตา
เขม่าควันดำลอยคลุ้งไปทั่วเรือน ทว่าฟืนยังคงเป็นฟืน กระทะเย็นยังคงเป็นกระทะเย็น
เขากระอักกระไอไปพลาง สบถด่าเสียงเบาๆ ไปพลาง เห็นได้ชัดว่าไม่ถนัดเรื่องจุดเตาหุงหาอาหารเอาเสียเลย
พอเห็นฟู่ถิงจวิน เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี ราวกับปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า “แม่นางฟู่ ท่านน่าจะทำอาหารเป็นกระมัง”
แม่นางฟู่? ใครบอกเขาว่านางแซ่ฟู่ โม่อี้ผู้นี้มิใช่ธรรมดาจริงๆ
ฟู่ถิงจวินแค่นเสียงฮึอยู่ในใจ นางทำตาโต เอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “ข้าหรือ? ยามข้าอยู่บ้านมีบ่าวคนครัวทำอาหารให้”
โม่อี้อ้าปากค้างหุบไม่ลงอยู่เนิ่นนาน
แป้งย่างเหลืองเกรียม โรยด้วยต้นหอมสีเขียวสด เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอ
โม่อี้มองจ้าวหลิงที่กำลังกินแกงจืดไข่น้ำอย่างเอื่อยเฉื่อยแวบหนึ่ง จากนั้นมองแป้งย่างอีกแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ อย่างห้ามไม่อยู่
พวกเขามีกันสามคน แต่เหลือแป้งย่างแผ่นนี้แผ่นเดียวแล้ว…
ท่าทางของโม่อี้ตกอยู่ในสายตาจ้าวหลิง เขาวางชามลง กล่าวเสียงเนิบนาบ “พี่โม่ไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อรู้สึกว่าอร่อยก็กินได้เลยเต็มที่ หากยังระมัดระวังตัวอย่างนี้ มิตรภาพระหว่างท่านข้าก็ไร้ความหมาย หลังจากนี้ไปการกินการอยู่ของพวกข้าล้วนต้องอาศัยพี่โม่เป็นธุระให้ หรือว่าพี่โม่ยังคิดบัญชีกับข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย” เขาพูดแล้วยิ้มออกมา สายตามีร่องรอยกระเซ้าน้อยๆ “ข้านั้นเตรียมตัวจะดื่มกินโดยไม่เสียเงินสักอีแปะเดียว ต่อให้พี่โม่อยากคิดบัญชีกับข้า ข้าก็ไม่รับมือท่านหรอกนะ!”
โม่อี้นิ่งงันไป ก่อนจะหัวร่อเสียงดังออกมา
เสียงหัวเราะเขาก้องกังวานฟังดูห้าวหาญ ทั้งแฝงไว้ด้วยความแกร่งกล้าน่าคร้ามเกรงอยู่รางๆ ผิดจากท่าทีเงียบขรึมยามปกติลิบลับราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ฟู่ถิงจวินตระหนกในใจ
หรือว่านี่ถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของโม่อี้
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ยังจะเหลือลักษณะท่าทางของบริวารผู้อยู่ใต้อำนาจใครที่ไหนกัน กลับคล้ายแม่ทัพใหญ่จอมอหังการผู้หนึ่ง
จ้าวหลิงมีสีหน้านิ่งสนิท กินแกงจืดไข่น้ำคำหนึ่งอย่างสงบเยือกเย็น
“สหาย เป็นข้าถือดีเอง” โม่อี้พูดแล้วหยิบแป้งย่างขึ้นกัดคำโตๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แป้งย่างของน้องสะใภ้เทียบเคียงได้กับคนครัวมือหนึ่งของ ‘สือซานซาน’ ได้แล้ว ข้ายังแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยเลย”
‘สือซานซาน’ เป็นหนึ่งในหอสุราใหญ่ที่สุดของเมืองซีอาน เชี่ยวชาญการทำอาหารจากเส้นหมี่ และขึ้นชื่อลือชาเรื่องขนมหวาน คนที่มาถึงซีอานล้วนต้องนำขนมหวานของหอสุราสือซานซานติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของขวัญของกำนัล
ได้ยินโม่อี้เรียกขานฟู่ถิงจวินว่า ‘น้องสะใภ้’ จ้าวหลิงมีสีหน้าเก้อเขิน เขาชำเลืองมองนางปราดหนึ่งอย่างว่องไว เห็นนางกำลังก้มตัวเช็ดล้างพื้นแท่นเตา ดูเหมือนไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกันอยู่ ก็เบาใจขึ้นบ้าง เขากล่าวยิ้มๆ “พี่โม่ให้เกียรติแล้ว นางมีฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้ที่ดีพอจะอวดผู้อื่นได้”
“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เหลือจะพอ” โม่อี้ได้ยินวาจานี้แล้วหัวเราะเสียงดังอีกครา “วันหน้าน้องจ้าวมีลาภปากแล้ว!”
จ้าวหลิงอมยิ้ม มีแววขัดเขินจุดวาบขึ้นในดวงตา
โม่อี้ไม่เก็บใส่ใจ
ถึงอย่างไรก็เป็นคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังเป็นว่าที่สามีภรรยากัน ย่อมหน้าบางเป็นธรรมดา
ฟู่ถิงจวินกลับค่อนขอดอยู่ในใจ
ผู้ใดบอกว่าข้าทำได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่เจ้าเป็นกบในกะลาถึงไม่รู้เท่านั้นเอง!
แม้กระนั้นก็ตามที พอคิดถึงว่าดีชั่วจ้าวหลิงยังยอมรับว่าฝีมือทำครัวของตนเองดีพอจะอวดผู้อื่นได้ พาให้นึกยินดีอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่มีเครื่องปรุงอยู่จำกัด ไม่อย่างนั้นนางจะทำเครื่องจิ้มสูตรลับประจำตระกูลฟู่ให้พวกเขาจิ้มรับประทาน หรือว่าสอดไส้หมู เอ็นหอยตากแห้ง หรือเห็ดหอม ก็ยิ่งรสชาติดีมาก…
นางยกน้ำสกปรกจากการชะล้างพื้นแท่นเตาสาดออกไปที่ลานด้านหลัง
มีคนเมียงมองอยู่ด้านหลังกำแพง
ฟู่ถิงจวินเพ่งสายตามองไป เป็นเจิ้งซานเหนียงที่อุ้มลูกอยู่
เจิ้งซานเหนียงมองเห็นฟู่ถิงจวินแล้วเผยรอยยิ้มอย่างยินดี
ฟู่ถิงจวินไปเปิดประตูหลัง
กลิ่นน้ำมันต้นหอมเจียวลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณทำให้เจิ้งซานเหนียงทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มน้อยๆ นางต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ อย่างสุดกำลัง ถึงจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “คุณหนู ข้าบอกเรื่องที่ท่านเมตตามอบอาหารให้กับสามี เขาได้ยินแล้วซาบซึ้งใจมาก เดิมทีเขาสมควรมาโขกศีรษะขอบคุณด้วยตนเอง แต่ว่าชายหญิงต่างกัน เขาเลยให้ข้ากับลูกมาโขกศีรษะให้ท่านแทนเขาด้วย” นางพูดแล้วคุกเข่าลง
ฟู่ถิงจวินเห็นว่าตนเองเพียงกระทำเรื่องที่มิได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด ไม่อาจรับคำขอบคุณคราแล้วคราเล่าจากคนของสกุลเจิ้งเช่นนี้จริงๆ แต่ไม่ว่านางพูดปรามเช่นไร เจิ้งซานเหนียงก็ยังคงโขกศีรษะให้เก้าที
นางแย้มยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น มีสีหน้าสบายใจขึ้นบ้าง ราวกับทำงานที่สำคัญมากอย่างหนึ่งลุล่วงไปแล้ว “คุณหนู สามีข้าบอกว่าอยากขอให้ท่านตั้งชื่อให้เจ้าหนูของพวกเรา พอเขาเติบใหญ่ขึ้นจะได้จดจำบุญคุณของคุณหนูไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
“ตั้งชื่อ?” ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน “ไม่ๆๆ เรื่องสำคัญแบบนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าได้อย่างไรกันเล่า หรือไม่ข้าตั้งชื่อแรกเกิดให้เขาดีหรือไม่”
ชื่อแรกเกิดเป็นชื่อที่คนในครอบครัวตั้งให้ สำหรับชื่อจริงส่วนใหญ่เมื่อถึงวัยเริ่มเล่าเรียนจึงจะเชิญบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในถิ่นเดียวกันหรือผู้อาวุโสในวงศ์ตระกูลเป็นผู้ตั้งให้
“สามีข้าบอกว่าขอให้ท่านตั้งชื่อจริงให้เจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงเอ่ยยิ้มๆ “เขาเกิดวันที่หนึ่ง เป็นทั้งลูกและหลานคนหัวปีของตระกูล มีชื่อแรกเกิดว่าหยวนหยวนเจ้าค่ะ”
ฟู่ถิงจวินเหงื่อตก
โม่อี้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูหลัง “เป็นผู้ใดรึที่อยู่ในลาน” น้ำเสียงเจือความระแวงระวัง ฟังดูคล้ายกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง
“คนรู้จักของข้าเอง” ฟู่ถิงจวินพูดพลางขยิบตาให้เจิ้งซานเหนียง “ข้ากลับเข้าเรือนก่อน มีเรื่องอะไรไว้ค่อยว่ากันคราวหน้า”
เจิ้งซานเหนียงนึกแต่ว่าโม่อี้เป็นคนในครอบครัวของหญิงสาว นางเห็นกับตาถึงความดุร้ายเมื่อตอนเข้าเมืองของโม่อี้ กอปรกับคิดว่าเรื่องที่ฟู่ถิงจวินมอบอาหารให้นั้นกระทำลับหลังเขา กลัวว่าทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน นางลุกลนยอบกายคารวะแล้วอุ้มลูกวิ่งออกไป
ฟู่ถิงจวินเอาอาหารให้คนอื่นอยู่ใต้จมูกโม่อี้นี่เอง แล้วจะปิดบังเขาได้อย่างไร
เขารู้สึกว่านี่เป็นความใจอ่อนเยี่ยงสตรี ก็เลยไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเป็นอย่างยิ่ง
โม่อี้ไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดเจิ้งซานเหนียงเห็นตนเองก็กลับไป เขารำพึงเบาๆ สองสามคำก่อนจะหมุนกายเข้าเรือนไปเอ่ยกับจ้าวหลิง “ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นสตรีที่อุ้มเด็กไว้นางหนึ่ง น้องสะใภ้ใจดีเกินไป ระวังถูกคนหลอกลวง”
“แทนที่จะถูกผู้อื่นหลอกลวงในวันหน้า มิสู้หัดดูคนอย่างไรเสียแต่บัดนี้” จ้าวหลิงกล่าวเอื่อยๆ พร้อมกับเทน้ำสะอาดลงในชามอ่างของโม่อี้ “พี่โม่ เชิญ”
โม่อี้ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ผู้ไม่รู้ยังนึกว่าเป็นสุรา
โม่อี้กล่าวอย่างทอดถอนใจเช่นกัน “หากเป็นสุราก็คงดี!” เขาพูดแล้วสีหน้ากระฉับกระเฉงขึ้น “แต่ท่านวางใจได้ ข้ากำชับเฉินลิ่วให้เขานำหมูเห็ดเป็ดไก่มาบ้าง ถึงตอนนั้นให้น้องสะใภ้จัดโต๊ะให้พวกเราพี่น้องได้สังสรรค์กันอย่างเต็มที่”
จ้าวหลิงกล่าวอย่างอ้อมค้อม “ปกติยามอยู่บ้าน น้อยครั้งนักที่นางจะทำเรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าปรุงพวกหมูเห็ดเป็ดไก่ออกมาเป็นอย่างไร แต่หวังว่าจะสามารถทำให้ถูกปากพี่โม่ได้เป็นพอ”
โม่อี้นิ่งงันไป
เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าฝีมือทำครัวของฟู่ถิงจวินดีพอจะอวดผู้คนได้ เวลาชั่วพริบตาเดียวกลับบอกว่าไม่รู้ว่านางปรุงพวกหมูเห็ดเป็ดไก่ออกมาเป็นอย่างไร…เขาฉุกคิดในใจแล้วหัวเราะเสียงดังออกมา
เห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายของถ้อยความนี้อยู่ที่ประโยคแรก ‘ปกติยามอยู่บ้าน น้อยครั้งนักที่นางจะทำเรื่องพวกนี้’
“พี่จ้าว ยังมิได้แต่งเข้าเรือนท่านก็ทูนไว้เหนือหัวเสียแล้ว นี่ถ้าแต่งงานกันท่านมิตกเป็นทาสของภรรยาหรือไร” เขาสัพยอกจ้าวหลิง “ท่านปกป้องแม่นางฟู่เกินไป ข้าจะบอกให้ พวกสตรีนั้นล้วนสามวันไม่ตี ลามปามขี่คอ…”
ตอนฟู่ถิงจวินเข้ามา ได้ยินคำพูดของโม่อี้พอดีก็อดหน้าแดงไม่ได้
เข้าใจผิดกันไปยกใหญ่แล้ว…ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้กระจ่างได้เมื่อใด
ใครจะรู้ว่าโม่อี้ยังกล่าวถ้อยคำต่อจากนั้นอีกว่า ‘สตรีล้วนสามวันไม่ตี ลามปามขี่คอ’ บันดาลให้ความเขินอายเล็กน้อยถูกกลบทับด้วยความเดือดดาลจนหมดสิ้น
มีการยุยงผู้อื่นอย่างนี้ด้วยหรือ!
ยากจะโทษที่คนหยาบกระด้างไร้การศึกษาพวกนั้นมักตบตีภรรยา ล้วนเป็นคนพรรค์อย่างโม่อี้ที่เสี้ยมสอนไว้
โม่อี้ผู้นี้มิใช่ผู้ที่จะคบหาเป็นมิตรได้
กระนั้นหญิงสาวไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ฉาบใบหน้า
จ้าวหลิงมองเห็นนางแล้วคิดถึงคำว่า ‘ยังไม่แต่งเข้าเรือน’ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างที่สุด เขารีบส่งเสียงไอทีหนึ่ง
โม่อี้ได้ยินแล้วลอบหัวร่อจนท้องคัดท้องแข็ง
ต้องมาติดอยู่ในสถานที่ผีสางนี้ช่างน่าเบื่อเหลือแสนโดยแท้ หากไม่หาเรื่องทำฆ่าเวลาสักนิด เขาเจียนคลั่งตายอยู่แล้ว
ยังดีที่มีว่าที่สามีภรรยาคู่นี้…
ทว่าเขาหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าตนเองได้ล่วงเกินฟู่ถิงจวินโดยสิ้นเชิงแล้ว
ตกดึก ฟู่ถิงจวินเทน้ำให้จ้าวหลิงล้างหน้าบ้วนปาก
จ้าวหลิงขอโทษนางแทนโม่อี้เสียงเบาๆ “แม่นางฟู่ ท่านอย่าเก็บคำพูดของโม่อี้มาใส่ใจเลย คนในกองทหารเป็นแบบนี้เอง ชมชอบพูดกระเซ้าเย้าแหย่ รออีกสักพัก พวกเราย่อมจะแยกกันไปคนละทาง”
ฟู่ถิงจวินตัดบทเขาอย่างฮึดฮัด “เขายังคิดจะกินหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ข้าทำอีก ฮึ…ฝากไว้ก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะเล่นงานเขาอย่างไร!”
จ้าวหลิงเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของนางแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
เขาหัวเราะขลุกขลักในลำคอ สายตาที่มองนางแจ่มจ้าดุจแสงจันทร์นวลกระจ่าง
ความหงุดหงิดในใจหญิงสาวพลันสงบลง
“เรื่องนี้จะโทษท่านเก้าได้อย่างไร” นางก้มหน้าลง แสงจันทร์ส่องลอดบานหน้าต่างกรุกระดาษเข้ามา มีเงาช่องหน้าต่างทอดทาบอยู่บนพื้น ในค่ำคืนแห่งฤดูร้อนที่ไร้สรรพเสียงประหนึ่งแฝงไว้ด้วยความเงียบสงบชั่วนิรันดร์ “จะพูดไปแล้วล้วนเป็นความผิดของข้า ถ้ามิใช่ข้าพูดจาส่งเดช ผู้ช่วยโม่จะเอ่ยถ้อยคำอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร…”
“ไม่ใช่ๆๆ” เห็นนางก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ จ้าวหลิงรีบเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นท่านทำไปเพื่อช่วยข้า หากจะพูดว่าใครผิด ล้วนเป็นความผิดของข้าคนเดียว…” แต่ผิดตรงไหน กลับนึกหาเหตุผลไม่ออกไปชั่วขณะ ชายหนุ่มจนวาจาไปทันใด
ณ เสี้ยวเวลานี้ ภายในห้องเงียบสนิท เฉกเดียวกับดวงจันทร์ที่ทอแสงเย็นตาอย่างไร้สุ้มเสียง
ใต้แสงจันทร์ ฟู่ถิงจวินแลเห็นสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของเขาได้ชัดถนัดถนี่
นางหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างสุดระงับจนทำลายความเงียบในห้อง “ทั้งที่เป็นความผิดของโม่อี้ กลับต้องให้พวกเราสองคนขอโทษกันไปมา เช่นนี้ออกจะสบายโม่อี้เกินไปแล้ว”
ท่ามกลางแสงจันทร์นวลตา รอยยิ้มพริ้มพรายของนางอ่อนหวานหยดย้อยแกมซุกซนอยู่สามส่วน ทำให้หัวใจเขากระตุกวูบหนึ่งด้วยความว้าวุ่นลนลานอยู่บ้าง “นั่นสิๆ!” เขายิ้มอย่างเก้อกระดาก
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วนึกเสียใจทีหลัง
เรื่องน่าอายเยี่ยงนี้ นางกลับกล่าวออกมาอย่างคะนองปาก ว่ามิได้ที่จ้าวหลิงไม่รู้จะเอ่ยตอบเช่นไรดี
นางแสนจะละอายใจ เดินคอตกออกไปข้างนอก “เช่นนั้นข้าออกไปก่อน ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านเก้าล้างหน้าบ้วนปากแล้วรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเถอะ”
เห็นหญิงสาวทำหน้าม่อยๆ จ้าวหลิงก็ส่งเสียงเรียกไว้ด้วยความร้อนใจ “แม่นางฟู่”
นางหันหน้าไปมองเขาอย่างงุนงงไม่เข้าใจ ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้างสุกใสดุจธารน้ำละม้ายเห็นเงาของเขาสะท้อนอยู่ในนั้น ทำให้ในหัวของจ้าวหลิงซึ่งเดิมทียังไม่ได้คิดดีๆ ว่าสมควรพูดอะไรยิ่งสับสนยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ เขานึกหาคำพูดส่งเดช “ถ้าท่านไม่อยากทำอาหาร ข้าจะพูดกับโม่อี้เอง” แต่เขายังกล่าวไม่ทันจบก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าไม่เหมาะ ราวกับว่านางเคยพูดบ่นเรื่องเหล่านี้กับเขามาก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วตลอดทางที่ผ่านมา ไม่ว่าพบกับเรื่องใด นางไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดออกมาแม้แต่น้อย ส่งผลให้เขาอธิบายด้วยสุ้มเสียงร้อนรนน้อยๆ “ความหมายของข้าคือ ระหว่างที่อาเซินไม่อยู่หลายวันนี้ พวกเรากินง่ายๆ ก็พอ ท่านไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากอย่างนั้นเพื่อทำแป้งย่าง…”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฟู่ถิงจวินคับใจพอดู “ข้ารู้…โม่อี้นั่นก็ช่างกินจุเหลือเกิน…ข้าทำแป้งย่างสิบแผ่น เขาคนเดียวกินไปแปดแผ่นแล้วยังไม่พอ จะให้ข้าทำอีกสิบแผ่น…ตอนแรกข้าตั้งใจจะปล่อยให้โม่อี้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปคนเดียว…” นางพูดแล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง “พวกข้าสามารถกินอะไรง่ายๆ ได้ แต่ท่านยังมีบาดแผลอยู่ จะอย่างไรก็กินตามมีตามเกิดไม่ได้กระมัง”
จ้าวหลิงหวนนึกถึงที่นางบังคับให้โม่อี้ออกไปหาไข่ไก่
‘แป้งย่างต้องใส่ไข่เท่านั้น ไม่ใส่ไข่แล้วจะทำอย่างไร!’
ผลสุดท้ายไข่ไก่สามฟอง สองฟองถูกนางเอาไปทำเป็นแกงจืดไข่น้ำให้เขา…
ส่วนลึกในใจเขาพลันบังเกิดอารมณ์ที่ไม่เคยคุ้นอย่างหนึ่งขึ้นเสมือนดั่งน้ำที่กระเพื่อมออกไปเป็นระลอกๆ พอชั่วอึดใจต่อมาดูเหมือนมันกำลังเอ่อท้นตรงกลางอก ทำให้เขาหวั่นหวาดระคนงงงันจนพูดไม่ออก
ภายในห้องเงียบงัน
ไม่ได้ยินคำตอบ ฟู่ถิงจวินอดประหลาดใจมิได้ ครั้นนางได้ตรึกตรองอย่างละเอียดแล้วก็หน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก
ไฉนนางเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างสนิทสนมว่า ‘พวกข้าสามารถกินอะไรง่ายๆ ได้ แต่ท่านยังมีบาดแผลอยู่ จะอย่างไรก็กินตามมีตามเกิดไม่ได้กระมัง!’ อย่างนี้ออกจากปาก มิน่าจ้าวหลิงไม่รู้ว่าจะกล่าวตอบเช่นไร
‘วิญญูชนพึงระวังปากคำทว่าการกระทำต้องว่องไว’ หญิงสาวบอกเตือนตนเองในใจไม่หยุด ‘พูดมากผิดมาก…จะทำผิดพลาดซ้ำสองอีกไม่ได้’