ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่สิบสอง
เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลอยสูง ตรงขอบฟ้าปรากฏริ้วเมฆสีแดงเพลิง แสงแดดเจิดจ้าร้อนระอุส่องสว่างไปทั่วทุกซอกมุม
จ้าวหลิงเอนพิงหัวเตียงโดยมีห่อผ้าหนุนหลังอยู่ อ่าน ‘พันบทกวี’* เล่มหนึ่งที่ฟู่ถิงจวินเสาะหามาจากที่ใดก็สุดรู้ ขณะที่นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมด้านนอกพลิกเปิด ’อรรถาธิบายสี่ตำรา‘ อยู่ ด้านโม่อี้ฝืกปรือเพลงมวยอยู่ลานด้านหลัง มีเสียงตะโกนคึกคักฮึกเหิมดังแว่วมาเป็นระยะ ทำให้รอบด้านเงียบสงบยิ่งขึ้น
ตั้งชื่ออะไรดีนะ
กัง (แข็งแกร่ง) อี้ (เด็ดเดี่ยว) มู่ (ซื่อสัตย์) เน่อ (สำรวม)** เปรียบได้ผู้ทรงธรรม
เลือกคำหนึ่งในถ้อยความนี้มาตั้งชื่อ…แต่เด็กคนนั้นเกิดในครอบครัวสามัญต่ำต้อย คำพวกนี้สละสลวยเกินไป ไม่ใคร่จะเหมาะ
วิญญูชนหนักแน่นไม่ยโส คนถ่อยยโสไม่หนักแน่น…คำว่า ‘ไท่***’ ยังมีความหมายว่าปลอดภัยด้วย คนเราหลังผ่านพ้นเภทภัยร้ายแรงมาได้ ย่อมปรารถนาเพียงสิ่งเดียวคือความสงบสุขปลอดภัย ชื่อนี้ไม่เลว!
ขณะที่ฟู่ถิงจวินครุ่นคิดอยู่ รู้สึกอยู่ไม่วายว่าคลับคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งแต่ก็ไม่เชิง กำลังจับจ้องอยู่ที่ตัวนางอย่างค้นหาอยู่บ้าง พอนางเงยหน้าขึ้น สายตาคู่นั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในห้องนี้มีแค่นางกับจ้าวหลิง
นางมองไปทางเขา
จ้าวหลิงนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่เดิม
ใบหน้าซูบผอมเยือกเย็นดุจแสงจันทร์สาดส่องลานเรือน แฝงรอยสงบมั่นคงดั่งขุนเขาไม่สั่นคลอน
ฟู่ถิงจวินกระดากใจเล็กน้อย
น่าจะมิใช่เขากระมัง ดูท่าทางเขาไม่คล้ายคนชอบแอบดู!
ยิ่งกว่านั้นเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบดูนางด้วยเล่า
พอฟู่ถิงจวินก้มหน้าลงคิดถึงคำพูดเมื่อคืนพวกนั้นแล้วเตือนตนว่า…ไม่ทำอะไรตามความรู้สึก ต้องคิดทบทวนก่อนทำการใด หาไม่แล้วยังจะสร้างเรื่องขบขันขึ้นอีก…สายตาค้นหานั่นก็กลับมาอีกทันควัน
ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นอีกครา
ในห้องเงียบเชียบ มีเพียงเสียงจ้าวหลิงพลิกหน้าหนังสือดังสวบสาบ
หญิงสาวงุนงงไปชั่วขณะ
“มีอะไรหรือ” จ้าวหลิงพลันมองมา ดวงตาเขากระจ่างแจ่มใสทอแววอ่อนโยนดั่งแสงเดือนสว่างไสว
ฟู่ถิงจวินอดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ตนเองสงสัยเขาเมื่อครู่นี้…
“ข้ารู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองข้าอยู่” นางเอ่ยเสียงอุบอิบ “แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร…”
“เป็นอย่างนั้นหรือ” จ้าวหลิงวางหนังสือลงด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ใบหน้าคล้ายจะฉาบด้วยความเคร่งขรึม “ข้าลุกไปดูเอง” เขาพูดช้าๆ ด้วยสุ้มเสียงเนิบนาบกว่าปกติ จากนั้นยันตัวขึ้นตั้งท่าจะลงจากเตียง
“บางทีอาจเป็นข้าช่างระแวงไปเอง ท่านก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้เจ้าเด็กวายร้ายนั่นมาขโมยอาหารอีกแล้ว!” ฟู่ถิงจวินรีบทัดทานเขา “อีกอย่างหนึ่ง ข้างล่างยังมีโม่อี้อยู่ทั้งคน”
ถ้ามีใครที่ไหนเข้ามาจริงๆ แล้วแม้กระทั่งโม่อี้ยังสกัดไม่อยู่ จ้าวหลิงซึ่งบาดเจ็บอยู่ก็ยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าสายตาคู่นั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรต่อตนเอง แล้วไยต้องก่อปัญหาเพิ่มขึ้น บางครั้งจ้าวหลิงก็เจ้าอารมณ์อยู่เหมือนกัน
ทว่าถ้อยคำพรรค์นี้จะพูดกับเขาไม่ได้ ประเดี๋ยวจะเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของเขา
“อืม” จ้าวหลิงขานรับคำหนึ่งแล้วมิได้ดึงดันต่อไป
ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจเฮือก รินน้ำเย็นให้เขาถ้วยหนึ่ง “ท่านอ่านหนังสือมานานขนาดนี้ จะพักสักครู่หรือไม่”
เขาดื่มน้ำแล้วยื่นชามคืนให้ “ก็ดี! ข้าเอนตัวนอนสักครู่เถอะ”
นางประคองเขานอนลง
เขาถามนาง “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้ใจลอยอย่างนั้น”
ใจลอยมากหรือ? ฟู่ถิงจวินถามตนเอง
ตัวนางกลับไม่รู้สึกเช่นนี้
“ท่านเก้ายังจำเจิ้งซานเหนียงผู้นั้นได้หรือไม่” นางปิดหนังสือแล้ววางลงข้างหมอนของจ้าวหลิง จากนั้นนั่งลงบนม้านั่งตรงหัวเตียง “สตรีคนที่ข้ามอบหมั่นโถวสองลูกให้อย่างไรล่ะ เมื่อวานตอนบ่าย นางอุ้มลูกมาอีกแล้วบอกว่าสามีของนางอยากให้ข้าตั้งชื่อให้เด็ก เขาจะได้จดจำไปชั่วชีวิตว่าผู้ใดช่วยชีวิตเขาไว้…” นางเล่าต้นสายปลายเหตุไปยืดยาว “…ข้าพลิกหนังสืออยู่พักใหญ่ก็ยังหาชื่อที่เหมาะเจาะไม่ได้สักชื่อหนึ่ง ท่านว่าชื่อเจิ้งไท่เป็นอย่างไร” นางขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
ชื่อจะติดตัวคนเราไปทั้งชีวิต นางถึงลังเลตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ได้
จ้าวหลิงขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คำว่า ‘ไท่’ ไม่ใคร่จะดี แม้มันจะมีความหมายว่าปลอดภัย แต่ใน “โจวอี้”* ยังมีนัยถึง ‘สภาวะเกิดดับ’ ข้าว่าเปลี่ยนเป็นคำอื่นดีกว่า” เขาพูดเป็นเชิงรำพึง “…ตั้งชื่อว่าหลินชุนเป็นอย่างไร” เขาเอ่ยพลางทอดสายตามองไปที่ฟู่ถิงจวิน “เภทภัยทุกข์ยากผ่านพ้นไป ทุกคนต่างมุ่งหวังเพียงความปลอดภัยราบรื่นเท่านั้น ท่านช่วยเด็กคนนี้ที่หลินชุน ชุนคือฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นฤดูแรกในสี่ฤดูกาล มีความหมายว่าเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต ข้าว่าชื่อนี้ดีที่สุดแล้ว!”
เขารู้จัก ’โจวอี้‘ ด้วยหรือนี่…
ฟู่ถิงจวินยิ่งอ่านชายหนุ่มไม่ออก
จ้าวหลิงเห็นนัยน์ตาสุกใสเป็นสีดำขาวตัดกันชัดของนางมองตนเองอย่างใคร่รู้ ก็เอ่ยขึ้นอย่างละล้าละลังเล็กน้อย “ตอนข้ายังเล็กๆ มารดาข้าตั้งความหวังไว้ที่ตัวข้ามาก สามขวบจึงเริ่มเล่าเรียน ต่อมาพอฐานะตกต่ำลงก็ไม่มีกำลังส่งเสียอีก…เอาเป็นว่าแต่ละเรื่องข้าพอรู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น”
ฟู่ถิงจวินนึกถึงที่เขาเคยบอกว่าหัดเขียนอ่านกับมารดาตั้งแต่เยาว์วัย
“มารดาท่านจะต้องเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศเป็นแน่”
แววอ่อนโยนบนใบหน้าจ้าวหลิงค่อยๆ เลือนหายไป สีหน้าสีตาเผยรอยกระด้างเย็นชา เขาไม่พูดไม่จาอยู่นาน
บรรยากาศตึงเครียดไปในชั่วพริบตา
ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองกล่าวถ้อยคำที่ไม่สมควรกล่าวเสียแล้ว
“ชื่อหลินชุนนี้ไม่เลว” นางคลี่ยิ้มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา หมายทำให้บรรยากาศดีขึ้นดังเดิม “หลินชุน…หลินชุนหมายถึงวสันตฤดูมาเยือน พวกเรารอดชีวิตอีกครั้งในตำบลนี้เช่นกัน เป็นชื่อที่ดี!”
จ้าวหลิงได้ยินแล้วส่งยิ้มให้นาง สีหน้าละมุนลงดังเดิมดุจน้ำแข็งละลาย
ฟู่ถิงจวินโล่งอก
มีคนวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดมา
เสียงของโม่อี้ดังมาจากชั้นล่าง “น้องจ้าวๆ!”
ฟู่ถิงจวินลุกขึ้นไปเปิดประตู
ในมือโม่อี้ถือเขียงทรงสี่เหลี่ยมยาวสองเชียะซึ่งฟู่ถิงจวินใช้คลึงแป้งเมื่อวานนี้ ยังมีเศษแท่งไม้อีกหลายชิ้น
“อากาศบัดซบนี่ร้อนเจียนคลั่งตายอยู่แล้ว” เขาก้าวปราดๆ เข้ามาแล้ววางเขียงลงบนโต๊ะ “ข้าทำหมากรุกชุดหนึ่ง พวกเรามาเดินหมากกันเถอะ!”
บนเศษแท่งไม้ใช้ถ่านเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ปืนใหญ่’ บ้าง ‘เบี้ย’ บ้าง
จ้าวหลิงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น “หรือไม่ข้าลงไปข้างล่างดวลกับพี่โม่สักสองกระดานเถอะ”
โม่อี้รู้ว่าอีกฝ่ายกลัวว่าข้างล่างไม่มีใครอยู่ จะมีคนเข้ามาขโมยอาหารในห้องครัว
“ท่านวางใจได้ ย่อมมีคนช่วยพวกเราเฝ้าประตูแน่นอน” โม่อี้หัวเราะลั่นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มเปี่ยม เขากล่าวขึ้นโดยไม่รอให้จ้าวหลิงซักไซ้ “ข้ารับปากเจ้าเด็กวายร้ายที่มาขโมยของกินว่าจะให้หมั่นโถวเขาวันละสิบลูก เขาตอบตกลงช่วยเฝ้าประตูให้พวกเราทันที”
“หมั่นโถวสิบลูก?” อาหารเย็นเมื่อวานนี้กับอาหารเช้าวันนี้ล้วนเป็นฟู่ถิงจวินทำ นางเอ่ยอดขึ้นไม่ได้ “ผู้ช่วยโม่ได้หมั่นโถวมาจากที่ใด”
“รอท่านทำนะสิ!” โม่อี้เบิ่งตาโต “เรื่องเข้าครัวทำอาหารนี้มิใช่เรื่องของสตรีเช่นพวกท่านหรือ”
แม้จะเป็นเช่นนี้จริง แต่พอโม่อี้ทำท่าทำทางว่ามันย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจฟู่ถิงจวินไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อย
ท่าทีของหญิงสาวตกอยู่ในสายตาจ้าวหลิง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชื่อแน่ว่าพี่โม่คงไม่ตระหนี่ที่จะให้หมั่นโถวเพิ่มอีกสองลูกกระมัง”
โม่อี้ประหลาดใจน้อยๆ
จ้าวหลิงพูด “ท่านยังจำสตรีที่อุ้มลูกนางนั้นได้กระมัง ข้าว่าจ้างนางมาทำอาหารก็แล้วกัน!”
ตอนแรกโม่อี้อึ้งไป จากนั้นหัวร่อเสียงดังพลางแลมองฟู่ถิงจวินด้วยสีหน้าเย้าหยอก เสียงหัวเราะของเขาทำให้นางอายจนพานโกรธ แม้แต่จ้าวหลิงยังพลอยฟ้าพลอยฝนถูกนางถลึงตาใส่หลายทีติดกัน
จ้าวหลิงเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นมองไม่เห็น แต่แล้วเขากลับอุทานขึ้นพร้อมกับชี้ไปนอกหน้าต่าง “เอ๊ะ พี่โม่ท่านดูสิ!”
โม่อี้ได้ยินจึงวิ่งพรวดเดียวมาถึงริมหน้าต่าง วางมือบนบ่าจ้าวหลิง “มีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน มีทั้งเด็กเล็กคนชรา ยังมีสตรีสี่คนกับเด็กสองคน…” เขาพูดแล้วกระโดดลงไปที่ถนนด้านล่าง “ข้าไปดูเอง ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา!” เขาตะโกนบอกจ้าวหลิง ก่อนจะลับร่างไปบนถนนอย่างว่องไว
ฟู่ถิงจวินสาวเท้าฉับๆ เข้ามา มองเห็นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาตามถนนหลวง แต่เป็นแค่เงาร่างเล็กใหญ่อยู่ไกลๆ ไหนเลยจะแยกแยะออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เป็นเด็กหรือคนชรา
“โม่อี้ผู้นี้มีสายตาดีไม่น้อย” ถ้อยคำของโม่อี้ยังดังวนเวียนอยู่ริมหูฟู่ถิงจวิน ทำให้นางมีสีหน้ากระดากอายอยู่บ้าง
“อืม” จ้าวหลิงขานรับเบาๆ เพ่งสายตามองไปทางถนนหลวง สีหน้าแลดูเคร่งเครียดมาก
ฟู่ถิงจวินยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่กล้าพูดมาก นางหาได้สังเกตเห็นไม่ว่าระหว่างนั้นจ้าวหลิงชำเลืองมองนางแวบหนึ่งอย่างฉับไว
ไม่นานนักโม่อี้ก็ย้อนกลับมาแล้ว “ไม่มีอะไรๆ พวกเขามาจากคูเก้าลี้ บอกว่าดูเหมือนทางนั้นจะมีคนติดโรคระบาด พวกเขาทั้งหมู่บ้านจึงรวมกลุ่มกันเดินทางลงใต้ ตั้งใจจะบ่ายหน้าไปที่หูกว่าง ก็เลยผ่านมาทางตำบลหลินชุน” เขาชักชวนจ้าวหลิงอีก “มาๆๆ พวกเราเดินหมากรุกกัน!”
คนกลุ่มนั้นไม่ได้แค่หยุดพักในตำบลหลินชุนอย่างที่โม่อี้ว่าไว้ หากแต่ปักหลักพำนักอยู่ที่นี่เลย ไม่เพียงเท่านี้ยังถือตนว่ามีพวกมากย่อมได้เปรียบ ให้ชายฉกรรจ์ที่ถนัดเรื่องต่อยตีสองสามคนยึดครองร้านค้าสามแห่งตรงหัวถนนไป
ยามที่เจิ้งซานเหนียงเล่าเรื่องนี้ให้ฟู่ถิงจวินฟัง นางดูกังวลใจมาก “ลานด้านหลังเรือนหลังนั้นมีบ่อน้ำที่ยังตักน้ำขึ้นมาได้ คนที่นี่ล้วนอาศัยดื่มน้ำจากบ่อนั้น พอถึงเวลาจะต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฟู่ถิงจวินมิได้เป็นห่วงเรื่องนี้
มีโม่อี้ทั้งคน เรื่องนี้น่าจะสะสางได้ไม่ยากเย็น
นางเป็นห่วงเรื่องเจิ้งซาน “เจ้ามิได้บอกกล่าวกับเขาหรือว่าเจ้ามาทำอาหารให้พวกข้า จะได้หมั่นโถววันละสองลูก บอกให้เขาอย่ากินดินขาวอะไรนั่นอีกเลย”
“บอกแล้วเจ้าค่ะ!” เจิ้งซานเหนียงก้มหน้าลงด้วยความอับอาย “เขาบอกว่าพวกท่านมีความสามารถขนาดนี้ คงหยุดพักในหลินชุนแค่ชั่วคราว รอเมื่อพวกท่านจากไป พวกข้าก็จะขัดสนอาหารดังเก่า ฉะนั้นหมั่นโถวพวกนี้ต้องเก็บเอาไว้ให้ข้ากับหลินชุนกินเจ้าค่ะ”
เจิ้งซานเหนียงชมชอบชื่อที่จ้าวหลิงตั้งให้ลูกของนางมาก มักอุ้มเขาและเรียก ‘หลินชุนๆ’ ไม่ขาดปาก นางยังบอกอีกว่าเจิ้งซานก็เห็นว่าชื่อนี้มีความหมายเข้าใจได้ง่าย
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ โม่อี้เดินเข้ามา
เห็นเจิ้งซานเหนียงอุ้มลูกจุดไฟอยู่หน้าเตา ขณะที่ฟู่ถิงจวินเอาผ้าโพกศีรษะทำแป้งย่าง เขาทำหน้าบึ้ง “ถ้าสตรีผู้นี้ทำอาหารไม่เป็น เจ้าก็หาอีกสักคน ให้หมั่นโถวสองลูก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนเต็มใจมา”
เดิมทีเจิ้งซานเหนียงเห็นเขาก็กลัวลนลาน ครั้นเขากล่าวเช่นนี้อีกก็ตกใจจนหน้าซีด สั่นเทาไปทั้งร่างจนลุกไม่ขึ้นอยู่เป็นนาน
“เรื่องทำครัวนี้ผู้ช่วยโม่อย่ามายุ่งวุ่นวายเลย” ฟู่ถิงจวินส่งสายตาให้นางอย่างเชื่อมั่นในตนเองเต็มเปี่ยม เป็นเชิงบอกนางว่าไม่ต้องตระหนกตกใจ จากนั้นมองโม่อี้พลางเอ่ย “ผู้ช่วยโม่เพียงบอกพวกข้ามาก็พอว่าวันนี้อยากกินอะไร”
ธรรมเนียมในตระกูลใหญ่ เรื่องภายในเรือนล้วนให้สตรีแม่เรือนเป็นผู้ตัดสินใจ
โม่อี้จนถ้อยคำไปทันใด เขาขยับปากพะงาบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเดินออกไปโดยไม่ปริปากสักคำ
“คุณหนูเก่งกาจมากเจ้าค่ะ!” เวลานี้เจิ้งซานเหนียงถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ นางแลมองฟู่ถิงจวินอย่างเลื่อมใสเต็มเปี่ยม
ดูท่าทางชาติตระกูลของโม่อี้ผู้นี้มิได้ต่ำต้อยสักเท่าไหร่!
ฟู่ถิงจวินคิดคำนึง นางฉวยจังหวะตอนดูแลจ้าวหลิงกินยาเอ่ยเตือนเขา
“อืม” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่ง ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจอะไร แต่กลับเอ่ยขึ้น “ท่านว่าเมื่อก่อนเจิ้งซานเป็นผู้คุ้มภัยหรือ เช่นนั้นท่านให้เจิ้งซานเหนียงถามไถ่เขาดูว่าอยากรับงานหรือไม่”
“งาน?” ฟู่ถิงจวินกล่าวอย่างหลากใจ “งานอะไรหรือ”
จ้าวหลิงกล่าว “โม่อี้บอกว่าในเรือนเหลือน้ำไม่มากแล้ว ต้องคิดวิธีหามาเพิ่มสักหน่อย แต่เวลาที่เขาออกไป ในเรือนต้องมีคนช่วยอยู่เฝ้าจึงจะดี ในเมื่อเจิ้งซานเคยเป็นผู้คุ้มภัย ท่านก็ฝากเจิ้งซานเหนียงไปบอกเขาว่า หมั่นโถวห้าลูกต่อวัน หากเขาเต็มใจ พรุ่งนี้เช้าก็มาพบโม่อี้”
เจิ้งซานเหนียงย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา
วันต่อมา เจิ้งซานมาหาแต่เช้าตรู่
เขาดูท่าทางมีอายุราวสามสิบสองสามสิบสามปี เรือนกายสันทัด รูปหน้ายาวเป็นสันเป็นเหลี่ยม เรียวปากค่อนข้างหนา ดูเป็นคนเรียบง่ายซื่อสัตย์
ไม่ว่าอย่างไรฟู่ถิงจวินก็นึกภาพไม่ออกว่าคนตรงหน้าผู้นี้กับบุรุษที่เอ็ดตะโรเสียงดังใส่ภรรยาในวันนั้นเป็นคนคนเดียวกัน
โม่อี้ซักถามเขาสองสามคำแล้วพึงพอใจมาก มอบค่าตอบแทนเป็นหมั่นโถวห้าลูกให้ล่วงหน้า และสั่งกำชับเขาไม่กี่คำ จากนั้นหยิบพลองมาอันหนึ่งแล้วเดินออกนอกประตูไป
เจิ้งซานให้เจิ้งซานเหนียงอุ้มลูกขึ้นไปข้างบนพักผ่อนเป็นเพื่อนฟู่ถิงจวิน ส่วนเขาปิดประตูหลังแล้วเฝ้าอยู่ตรงเชิงบันได
ไม่ถึงชั่วครู่ ทางฟากหัวถนนบังเกิดความโกลาหลขึ้น
เจิ้งซานเหนียงมีสีหน้าตื่นกลัว
ฟู่ถิงจวินอยากเปิดหน้าต่างมองออกไป กลับถูกจ้าวหลิงห้ามปรามไว้ “รอดูผลก็พอ” ท่าทางเขาไม่เป็นกังวลใดๆ
ความเยือกเย็นของเขาส่งผลให้หญิงสาวสงบใจลง นางพาเจิ้งซานเหนียงแม่ลูกไปยังห้องนอนของตนเองแล้วหยอกล้อกับหลินชุน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม โม่อี้กลับมาแล้ว
เขาอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับย่นผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่สีหน้าสีตากลับเบิกบานมาก ถึงขั้นแฝงไว้ด้วยความยิ้มย่องลำพองใจรางๆ “ถูกข้าจัดการหมดแล้ว วันหลังพวกเราอยากไปตักน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ” กล่าวจบเขาตบบ่าเจิ้งซาน “เจ้าก็ทำได้ไม่เลว รู้ตัวมีกำลังคนเดียว มีคนบุกเข้ามาเจ้าจะป้องกันได้ไม่ทั่วถึง เลยให้ทุกคนไปอยู่รวมกันชั้นบน ส่วนตัวเองเฝ้าอยู่ตรงบันได ดังคำกล่าวว่า หนึ่งคนเฝ้าปากด่าน หมื่นคนฝ่าผ่านมิได้…” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแกมชมเชย “เจ้าสนใจจะรับงานจากพวกเราต่อไปหรือไม่”
เจิ้งซานเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้ช่วยโม่โปรดกำชับมาได้เลยขอรับ!”
โม่อี้พยักหน้าแล้วกล่าวยิ้มๆ “เจ้าช่วยหาบน้ำจากหัวถนนมาให้พวกเราวันละสี่ถัง ค่าตอบแทนเป็นหมั่นโถวสองลูก”
เจิ้งซานตอบรับทันควัน
ฟู่ถิงจวินจึงมีน้ำสำหรับอาบน้ำและซักผ้าด้วยเหตุฉะนี้
เจิ้งซานเหนียงยังมาช่วยงานทุกวัน
ไม่กี่วันผ่านไป พวกเฉินลิ่วก็เข็นรถเข็นไม้บรรทุกสิ่งของกลับมาเต็มคัน
“ท่านเก้าๆ!” อาเซินแบกห่อสัมภาระใบเขื่องบนหลัง วิ่งตะโกนเรียกเสียงดังโหวกเหวกขึ้นมาชั้นบน “ช้ากลับมาแล้วๆ!” คนเร่ร่อนในละแวกใกล้ๆ ล้วนแตกตื่นตกใจไปตามๆ กัน
เขาวางห่อสัมภาระลงแล้วโขกศีรษะให้จ้าวหลิงหลายที
“ท่านเก้า ข้าจัดการเรื่องที่ท่านสั่งกำชับไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเงยหน้ามองจ้าวหลิง ขอบตาแดงเรื่อ “ท่านเก้า ท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง” สีหน้าเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“รีบลุกขึ้นเถอะ” จ้าวหลิงซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ลูบศีรษะเขา “ข้าดีขึ้นมากแล้ว แล้วเจ้าเล่ากินข้าวหรือยัง” เสียงของเขาอ่อนโยนมาก
“กินแล้วๆ” อาเซินยิ้มพลางตะกายลุกขึ้นพูด “พวกเรากินเสบียงแห้งระหว่างทาง ท่านเก้า ข้าดูหน้าตาท่านสดชื่นกว่าตอนข้าไปไม่น้อย!” พอเห็นฟู่ถิงจวิน เขาค้อมกายคารวะอย่างร่าเริงด้วยความดีอกดีใจเหลือแสน “แม่นางฟู่”
“เจ้ากลับมาได้สักที” ฟู่ถิงจวินมองสำรวจอาเซินด้วยรอยยิ้มละไม เห็นไม่ต่างจากตอนขาไปก็คลายใจลงได้
อาเซินวิ่งไปด้านข้างแก้ห่อสัมภาระที่เขานำกลับมาเปิดออก หยิบพัดผ้าไหมกลมด้ามไม้ไผ่ปักลายดอกกล้วยไม้ยื่นส่งให้ “แม่นางฟู่ นี่เป็นของที่ท่านเก้ากำชับให้ข้าซื้อให้ท่าน ยังมีอาภรณ์อีกสองสามชุด…” เขากล่าวพร้อมกับยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้อีกห่อหนึ่ง
ฟู่ถิงจวินประหลาดใจมาก
“ข้าเห็นท่านใช้พัดใบลานไม่ถนัด อาเซินไปเมืองซีอานหนนี้เลยให้เขาหาพัดกลมกลับมาด้ามหนึ่ง” จ้าวหลิงเอ่ยเสียงเรียบๆ “ยังกำชับให้เขาซื้ออาภรณ์ให้พวกเราสองสามชุด” เขายังพูดเป็นเชิงอธิบาย “ดังคำกล่าวว่าคนเราอาศัยเสื้อผ้า อาชาอาศัยเครื่องเทียม พวกเราจะกลับไปเมืองซีอาน ต้องมีอาภรณ์ดีๆ สองสามชุดสวมใส่ จะได้ไม่ถูกพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเหยียดหยามว่าพวกเราต่ำต้อยด้อยกว่า แล้วจะสร้างความลำบากใจให้”
“อ้อ!” ฟู่ถิงจวินถือพัดกลมไว้ รู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผะผ่าว ไม่รู้จะพูดอะไรดี
อาเซินกลับมิได้สังเกตเห็น เขาเล่าสิ่งที่ได้พบได้เห็นตลอดทางไปเมืองซีอานให้จ้าวหลิงฟังด้วยสีหน้าเริงร่าคึกคัก “พี่เฉินลิ่วกับพี่เสี่ยวอู่ดูแลข้าดีมาก พวกเขายังพาข้าไปกินข้าวในร้านชื่อดังที่สุดของเมืองซีอานด้วย…”
จ้าวหลิงชำเลืองเห็นฟู่ถิงจวินยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างไม่พูดไม่จา เอาแต่ใช้นิ้วมือขาวนวลเนียนถูไถกับด้ามพัดสีเหลืองแก่เบาๆ ในดวงตามีแววยิ้มๆ จุดวาบขึ้นแทบสังเกตไม่เห็น เขาพูดปรามอาเซินเสียงเบา “เอาล่ะๆ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนพวกเรากินอาหารเย็น”
อาเซินฉีกยิ้มกว้างพลางขานรับอย่างเข้าใจ เขาลงไปข้างล่างหาพวกโม่อี้กับเฉินลิ่วแล้วขนย้ายสิ่งของบนรถเข็นไม้ไปวางไว้ในห้องเล็กที่ติดกัน
ตกเย็น ฟู่ถิงจวินทำกับข้าวเจ็ดแปดอย่าง เช่นเนื้อย่างผัดต้นหอมไฟแดง พริกหยวกผัดไข่ ไก่ตุ๋นเห็ดหอม และอื่นๆ นางคีบอาหารอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วให้อาเซินเอาไปให้เจิ้งซานกับภรรยา ส่วนนางยกอาหารของจ้าวหลิงขึ้นไปข้างบน หลังอาหารยังชงชาขึ้นไปให้อีกด้วย
อาเซินกำลังนั่งพูดอยู่ด้านข้างชายหนุ่ม “พวกเขาจ่ายสามสิบตำลึงเงินเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมือง แล้วนั่งกระเช้าชักรอกเข้าไปในเมืองตอนมืดสนิท นอกจากพวกเราแล้วยังมีอีกสองสามคนก็เข้าเมืองแบบนี้…
“…เข้าเมืองแล้ว เฉินลิ่วจะส่งข้าไปที่บ้าน ‘ญาติ’ ข้าก็เลยพาพวกเขาไปยังเรือนที่ภายนอกดูไม่เลวสักหลังหนึ่งแล้วเคาะประตู…เพียงบอกว่าที่อยู่ซึ่งนายท่านกับนายหญิงบอกไว้คือที่นั่น หลังจากนั้นพวกเขาพาข้าไปเดินซื้อหาข้าวของ ข้าฉวยจังหวะนี้ทิ้งสัญลักษณ์ลับให้พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่า แล้วก็ซื้อรองเท้าถุงเท้ากับเสื้อผ้ากลับมาตามที่ท่านกำชับไว้ด้วย…
“…ตอนกลับมา พวกเราออกจากประตูหย่งหนิงทางทิศใต้ ให้เงินเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองสองสามตำลึงเงินก็ไม่ถูกซักถามตรวจค้นอย่างละเอียด พอเดินมาได้หนึ่งลี้กว่า พบเข้ากับขบวนพ่อค้าที่จะมาตำบลหลินชุน เฉินลิ่วจ่ายค่าจ้างให้สิบตำลึงเงิน พวกเขาถึงตอบตกลงพาพวกเรามาที่นี่”
ชั้นล่าง โม่อี้กำลังถามเฉินลิ่ว “เจ้าเด็กนั่นทำอะไรบ้าง”
เฉินลิ่วกล่าว “เขาอยู่กับพวกข้าตลอด พวกข้าพาเขาไปส่งที่บ้านญาติ พอเคาะประตูเข้าไป คนในเรือนหลังนั้นบอกว่าพวกเขาย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อสามสิบปีก่อน ไม่เคยรู้จักญาติคนที่อาเซินพูดถึงอะไรนั่น ต่อมาเขาไปซื้อของกับพวกข้านอกจากซื้อพัดกลมด้ามหนึ่งให้แม่นางฟู่ ยังซื้ออาภรณ์ทำจากแพรพรรณเนื้อดีหลายชุดให้นางกับจ้าวหลิง หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับพวกข้าขอรับ”
โม่อี้ขมวดคิ้ว “มีเท่านี้?”
เฉินลิ่วพยักหน้า “มีเท่านี้ขอรับ”
โม่อี้มองเสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่ก็เอ่ยขึ้น “นอกจากมองเห็นขนมที่ขายตามข้างถนนแล้วจ้องตาเป็นมัน ขอเหรียญอีแปะสองสามเหรียญจากพี่หกไปซื้อกินสองครั้ง เขาก็ติดตามพวกข้าอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวตลอดขอรับ”
ใบหน้าโม่อี้ฉายแววครุ่นคิด
นอกเรือนมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นหลายที ทั้งคล้ายแมวเผ่นข้ามกำแพงรั้ว ทั้งคล้ายสายลมโชยผ่าน
โม่อี้ลุกขึ้นยืนทันทีอย่างระแวดระวัง
ไม่ถึงชั่วครู่ มีเสียงต่อสู้กันดังมาจากชั้นล่าง
อาเซินเอ่ยอย่างลังเลใจ “จะลงไปช่วยพวกเขาหรือไม่”
“ไม่ต้อง!” จ้าวหลิงกล่าวยิ้มๆ “เขาเอาของกินมาเยอะแยะจะไม่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้อย่างไร ปล่อยให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าไปเถอะ” เขายังซักถามถึงขบวนพ่อค้ากลุ่มนั้นอย่างละเอียดลออ “มีทั้งหมดกี่คน หัวหน้าขบวนมีอายุเท่าไหร่ ตอนค้างแรมพวกเขาจัดการอย่างไรบ้าง”
อาเซินทบทวนความทรงจำเต็มที่
จ้าวหลิงยิ่งฟังยิ่งมีสีหน้าหนักอึ้ง
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วในใจหวาดวิตกกระสับกระส่าย “มีอะไรรึ”
“ข้าสงสัยว่าเป็นคนของหน่วยทหารใดสักแห่ง” จ้าวหลิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง “ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เป็นชายฉกรรจ์อายุยี่สิบสามสิบปีทั้งหมด แล้วแต่ละคนก็กำยำแข็งแรง…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าด้วยความสำราญใจจากข้างล่าง “คิดจะแย่งชิงของของข้ารึ พวกเจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย ข้ากำลังอยู่ว่างๆ พอดี จะเล่นสนุกกับพวกเจ้าก็แล้วกัน”
อาเซินกับฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วอ้าปากค้าง ขณะที่จ้าวหลิงกลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
นับจากนั้นโม่อี้ก็ต่อสู้กับคนที่มาแย่งชิงบ้างขโมยของบ้างอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้กระทั่งเจิ้งซานเหนียงที่มาซักผ้าให้พวกเขาทุกวันยังพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“พวกนั้นนึกว่าข้าซุกซ่อนของกินไว้บนตัว” เจิ้งซานเหนียงหวนคิดขึ้นมาแล้วยังหวาดผวาไม่หาย “หากมิใช่สามีข้ามาถึงอย่างรวดเร็ว กลัวแต่ว่าข้ากับลูกคงจบชีวิตไปแล้ว”
“เจ้ากับเจิ้งซานย้ายมาพำนักที่นี่เถอะ” ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปมิใช่เรื่องดี “ถึงอย่างไรในสายตาคนพวกนั้น พวกเจ้ากับพวกข้าเป็นพวกพ้องเดียวกัน พักอยู่ริมถนนอันตรายเกินไป”
เจิ้งซานเหนียงลังเลใจอยู่นานพักใหญ่ สุดท้ายตอบตกลงว่าจะกลับไปพูดกับเจิ้งซาน
ตกดึกเจิ้งซานพาภรรยากับลูกชายเข้ามาพำนักอยู่ในลานเรือนเดียวกับพวกฟู่ถิงจวิน
ผ่านไปไม่กี่วัน เรือนหลังนี้ก็กลับคืนสู่ความสงบสุขดังเดิม หนำซ้ำคนเร่ร่อนซึ่งเดิมอาศัยอยู่บริเวณรอบๆ พากันย้ายออกไป โม่อี้ร้องบ่นว่าน่าเบื่อไม่หยุด ยามเจิ้งซานเหนียงเห็นเขายิ่งมีสีหน้าเกรงกลัวมากขึ้น มิไยว่าฟู่ถิงจวินจะพูดปลอบอย่างไรก็ไม่ใคร่จะได้ผลนัก
วันเวลาอันสุขสงบเช่นนี้ผ่านไปได้ไม่กี่วันก็มีคนมาปล้นชิงพวกเขาอีก
ด้านโม่อี้คึกคักกระฉับกระเฉง
ขณะที่เจิ้งซานกลับมาพบจ้าวหลิง
“ท่านจ้าว เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะขอรับ” สีหน้าเขามีรอยวิตกกังวลอยู่หลายส่วน “คนที่มาหยุดพักในหลินชุนมากขึ้นทุกทีๆ ต่อให้ผู้ช่วยโม่มีสามเศียรหกกรก็รับมือเช่นนี้ทุกวันไม่ไหว ยิ่งกว่านั้นในหมู่สามัญชนย่อมมีพยัคฆ์หมอบมังกรเร้น แม้นผู้ช่วยโม่มีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อพบกับยอดฝีมือที่แท้จริง หวั่นใจว่าอาจมิได้เป็นต่อเสมอไปนะขอรับ”
แววตาของจ้าวหลิงแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ ใบหน้าเรียบเฉยในทีแรกปึ่งชาขึ้นทันใด บรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลงตามไป มีกลิ่นอายเย็นเยียบอำมหิตแผ่ออกมาเพิ่มขึ้นระลอกหนึ่ง เป็นเหตุให้เจิ้งซานสะท้านเยือก สายตาที่มองจ้าวหลิงฉายแววหวั่นกลัวสงสัยในฉับพลัน
“พูดเช่นนี้ เจ้าสังเกตเห็นอะไรแล้วหรือ” เขากล่าวเนิบๆ แต่ทำให้เจิ้งซานตกประหม่าจนลำคอแห้งผาก
“ข้าน้อยมิได้สังเกตเห็นอะไรขอรับ” เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เปลี่ยนคำเรียกขานตัวเองต่อหน้าจ้าวหลิงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “เพียงแต่ตอนหนีภัยเคยเห็นกับตาว่าเพื่อหมั่นโถวไม่กี่ลูก มีคนเร่ร่อนถือกระบองหลายร้อยคนรุมตีมือหมัดชื่อดังในยุทธภพผู้หนึ่งจนตาย…”
แล้วพวกเขามีหมั่นโถวไม่กี่ลูกเท่านั้นหรือ
จ้าวหลิงเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าไปเชิญผู้ช่วยโม่ขึ้นมา ข้ามีเรื่องพูดกับเขา”
เจิ้งซานระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วไปเชิญโม่อี้อย่างว่องไว
“พวกข้าจะไปในราตรีนี้เลย” สีหน้าสีตาของจ้าวหลิงเย็นชาแกมเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่ยอมให้ผู้ใดทัดทานได้ “ข้าหวังว่าพี่โม่จะร่วมรุกร่วมถอยกับพวกเรา”
ความนัยที่แฝงอยู่คือถ้าโม่อี้ไม่ไป เขาก็จะพาฟู่ถิงจวินกับคนอื่นๆ ไปอยู่ดี
จ้าวหลิงที่เป็นเช่นนี้ทำให้โม่อี้ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งยวด…เขาอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้
จ้าวหลิงมองโม่อี้อย่างสงบนิ่ง แววตาคู่นั้นลึกล้ำยากเกินหยั่งทำให้ในใจเขาบังเกิดความกริ่งเกรงอยู่ลึกๆ จนไม่อยากปะทะกับอีกฝ่ายซึ่งหน้า
“ไม่รู้ว่าพี่จ้าวมีแผนการอะไรต่อไป” โม่อี้พูดช้าๆ น้ำเสียงสุขุมรอบคอบ ไม่หลงเหลือร่องรอยสัพยอกดังปกติ
“พวกเราไปที่เมืองซีอานกัน” จ้าวหลิงกล่าวอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยนิด “ที่นั่นเป็นเมืองหลัก มีเจี่ยนอ๋อง มีต่งฮั่นเหวิน ถ้ายังถูกคนตีแตกได้ เช่นนั้นเกรงว่าวันที่แผ่นดินวอดวายคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”
โม่อี้เย็นวาบตรงกลางอก
ทว่าสายตาที่แลมองจ้าวหลิงกลับเผยแววชมเชยออกมาอย่างไม่เก็บงำสักนิด “ตกลง พวกเราไปเมืองซีอานกัน!”
เมืองซีอานเป็นเมืองหลักของมณฑลส่านซี ทั้งยังเป็นเมืองหลวงเก่า มีกำแพงเมืองสูงตระหง่านและตึกรามบ้านช่องใหญ่โต จึงเป็นเมืองที่โอ่อ่าตระการตาผิดแผกจากที่อื่น
ฟู่ถิงจวินจับเชือกเส้นใหญ่ไว้แน่น แลเห็นเงาร่างของพวกโม่อี้ที่แหงนหน้ามองนางอยู่บนพื้นเล็กลงเรื่อยๆ
“คุณหนู ระวังด้วยเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงที่ขึ้นมาก่อนหน้ายื่นมือมาดึงนาง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น มองเห็นจ้าวหลิงยืนอยู่ใต้หอคอยบนกำแพงเมือง
พระจันทร์สาดแสงอ่อนละมุนกระทบร่างสูงชะลูด ดวงหน้าซีกหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดของหอคอยสูงลิ่ว ซีกหนึ่งอยู่ใต้แสงเดือน ดูสงบนิ่งระคนโดดเดี่ยวอย่างไรชอบกล
เมื่อเห็นฟู่ถิงจวินมองมาทางตนเอง เขายกยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นแผ่ซ่านความอบอุ่นจางๆ ขับไล่กลิ่นอายวังเวงทั่วสรรพางค์กายเขาออกไป
อาเซินอุ้มหลินชุนเดินเข้ามา “แม่นาง ท่านไม่เป็นไรกระมังขอรับ”
“ไม่เป็นไร!” ฟู่ถิงจวินผลิยิ้มส่งให้เขาใต้แสงจันทร์ ดูงามผุดผาดเฉิดฉันละม้ายดอกถาน* เบ่งบานอย่างเงียบงัน
เจิ้งซานเหนียงอดพึมพำขึ้นไม่ได้ “คุณหนู ท่านช่างงามจริงๆ เจ้าค่ะ”
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามด้านข้างรอด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้าเร็วเข้าหน่อย อย่ามัวอืดอาดยืดยาด ถ้าเกิดถูกหัวหน้าที่ลาดตระเวนผลัดดึกจับได้ พวกเราคงต้องจบชีวิตกันหมด”
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” เจิ้งซานเหนียงรับลูกมาจากมืออาเซิน กล่าวขอขมาอย่างกลัวเกรง
เมื่อจ้าวหลิงตกลงใจออกจากตำบลหลินชุน ฟู่ถิงจวินอยากพาครอบครัวเจิ้งซานไปด้วยกัน “เพราะหาบน้ำซักผ้าให้พวกเรา ทำให้คนเร่ร่อนในหลินชุนเห็นพวกเขาทั้งครอบครัวเป็นคนของพวกเรา ถ้าพวกเราจากไปแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงมีแต่ตายสถานเดียว ข้ายังมีของมีค่าติดตัวอยู่บ้าง คงเพียงพอจะใช้ติดสินบนตอนพวกเราเข้าเมืองได้”
เจิ้งซานรู้เรื่องเข้าก็ตื้นตันใจเหลือจะกล่าว เขาขอบตาแดงเรื่อพาเจิ้งซานเหนียงมาตั้งท่าจะโขกศีรษะให้ฟู่ถิงจวิน
ฟู่ถิงจวินรีบรั้งตัวเจิ้งซานเหนียงไว้ “พูดไปแล้ว ล้วนเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
“คุณหนูอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย หากมิใช่ท่าน พวกเราทั้งครอบครัวคงมีชีวิตอยู่ไม่รอดแล้ว” เจิ้งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ตัวข้าเองไร้ความสามารถอะไร มีก็แต่เรี่ยวแรงพละกำลัง แล้วสิ่งนี้ยังได้มาเพราะโชคดีที่คุณหนูมอบข้าวปลาอาหารให้กิน บุญคุณใหญ่หลวงของท่าน ชาตินี้พวกเราสองสามีภรรยาก็ทดแทนไม่หมด แต่ยังมีหลินชุนของพวกเรา ถ้าหลินชุนทดแทนไม่หมด ก็ยังมีลูกหลานของหลินชุน ขอแค่ท่านพูดมาคำเดียว ถึงบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดายชีวิต”
จ้าวหลิงมองดูอยู่ด้านข้างมีท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยกับเจิ้งซานระหว่างทาง “ถ้าพวกเจ้าไม่มีที่ไป มิสู้ติดตามคุณหนูฟู่เถอะ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ขอแค่นางมีข้าวกินหนึ่งคำ พวกเจ้าก็มีเช่นกัน”
เจิ้งซานไม่พูดพร่ำทำเพลง นับถือนางเป็นเจ้านายตรงกลางทางเลย
นี่มิใช่หว่านพืชหวังผลหรือไร
“ไม่ต้อง!” ฟู่ถิงจวินโบกไม้โบกมือไม่หยุด
จ้าวหลิงพูดกับเจิ้งซานโดยไม่สนใจนาง “รอเข้าไปในเมืองซีอานแล้ว ให้ผู้ช่วยโม่เป็นพยาน เจ้าเขียนสัญญามอบตนสักหน่อยเถอะ!”
ยังจะเอาสัญญาขายตัวของเขาอีกด้วยหรือนี่!
ฟู่ถิงจวินขยับปากจะคัดค้าน กลับมองเห็นจ้าวหลิงขึงตาใส่ ได้แต่กลืนถ้อยคำที่มารออยู่ปลายลิ้นกลับลงไป
เจิ้งซานตอบตกลงทันควัน
ตอนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่เฝ้ายามพวกนั้นโก่งราคาขูดรีด เรียกเอาเงินคนละสามสิบตำลึงเงิน กระทั่งหลินชุนก็นับเป็นหนึ่งคน ทั้งยังต้องจ่ายด้วยเงินแท่ง ทำให้โม่อี้โกรธจนเนื้อเต้นไม่หยุด
จ้าวหลิงล้วงปลาเหลืองใหญ่สามแท่งออกมาจากที่ใดก็สุดรู้ส่งให้เจ้าหน้าที่ เขาตาเป็นประกาย บอกให้เจ้าหน้าที่บนกำแพงเมืองหย่อนกระเช้าลงมาทันใด
เจิ้งซานเหนียงคิดถึงปลาเหลืองใหญ่ที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่เฝ้ายามแล้วในใจกระสับกระส่าย
ถ้าเกิดเป็นเพราะพวกนางทำให้พวกเขาเข้าเมืองไม่ได้ ถึงนางตายร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่สาสม
ไหนเลยนางจะกล้าพูดอะไรมาก ลุกลนไปยืนด้านข้างมองดูเจ้าหน้าที่พวกนั้นชักรอกดึงพวกโม่อี้ เจิ้งซาน เฉินลิ่ว และเสี่ยวอู่ขึ้นมาทีละคน
“ไปเถอะ!” ต่างจากเจิ้งซานและอาเซินที่นิ่งเงียบ พวกโม่อี้ เฉินลิ่ว กับเสี่ยวอู่ดูผ่อนคลายอย่างมาก “พวกเราเสาะหาที่สักแห่งรอฟ้าสางกันเถอะ ดึกดื่นป่านนี้ในเมืองห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล หากให้ยามลาดตระเวนพบเห็นเข้า จะเป็นเรื่องยุ่งเหมือนกัน”
ทุกคนไม่เปล่งเสียงพูด ก้าวเท้าตามโม่อี้ลงจากกำแพงเมืองตรงไปทางทิศตะวันตก มีหลายครั้งหลายหนเดินสวนกับยามลาดตระเวนเมือง ล้วนเป็นโม่อี้นำทางพวกเขาเลี่ยงหลบอย่างคล่องแคล่ว ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ข้างถนนสายหนึ่งที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูในยามบ้านเมืองวุ่นวาย “พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าไปดูว่าจะหาที่สักแห่งให้พวกเจ้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้หรือไม่ พวกเราในสภาพนี้ ตอนดึกยังพอทำเนา แต่พอถึงยามกลางวันจะเด่นสะดุดตามาก คนอื่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนเร่ร่อน เมืองซีอานในเวลานี้พอเห็นคนเร่ร่อนจะจับตัวส่งไปที่คูเก้าลี้ทั้งหมด”
คนทั้งกลุ่มพากันปิดปากเงียบรออยู่ที่เดิม ส่วนโม่อี้พาเฉินลิ่วไปละแวกใกล้ๆ
ฟู่ถิงจวินเห็นบนถนนแขวนโคมแดงส่องแสงสว่างไสวไปครึ่งฟ้า มีเสียงหัวเราะกระซิกกระซี้ดังไม่ขาดสาย บรรยากาศสนุกคึกคักอย่างยิ่งยวด นางเอ่ยอย่างแปลกใจ “ด้านข้างมีการแสดงขับร้องหรือ ไม่รู้เป็นเรือนใดถึงกับจัดอย่างเอิกเกริกขนาดนี้”
จ้าวหลิงยืนเอามือไพล่หลังเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของนาง อาเซินก้มหน้า เสี่ยวอู่เหลียวซ้ายแลขวา ส่วนเจิ้งซานสะพายห่อสัมภาระใบเขื่องยืนอยู่ไกลๆ ไม่มีคนใดกล่าวตอบนาง
ท่ามกลางความเงียบ เสียงพูดคุยหัวร่อฉอเลาะของสตรีดังกระจ่างชัดยิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกับความว่างเปล่าโหวงเหวงของถนนสายเล็กที่ปราศจากผู้คน
เจิ้งซานเหนียงเห็นทุกคนไม่สนใจคำพูดของฟู่ถิงจวิน กลัวนางไม่พึงใจ จึงกล่าวยิ้มๆ “สมแล้วที่ซีอานเป็นเมืองหลักของส่านซี ตระกูลใหญ่มีการแสดงขับร้องก็เชิญคนมามากมายขนาดนี้ในงานเดียว ที่บ้านเดิมข้า ตอนงานวันเกิดของท่านนายอำเภอยังไม่ครึกครื้นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”
“พูดอะไรเหลวไหล!” เจิ้งซานมีเหงื่อผุดซึมออกมาทางหน้าผากแล้ว เขาตวาดดุภรรยา “คุณหนูพูดอยู่ เจ้าสอดปากได้รึ!”
เจิ้งซานเหนียงทำคอย่นทีหนึ่ง
“แค่คุยเล่นกันเท่านั้น มีธรรมเนียมมากมายปานนั้นที่ไหนกัน” ฟู่ถิงจวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ระวังลูกจะตกใจตื่นนะ”
เจิ้งซานยิ้มอย่างกระดากอาย
จ้าวหลิงเอ่ยโพล่งขึ้น “พวกเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเถอะ! ยืนอยู่ปากทางจะถูกยามลาดตระเวนพบเห็นได้ง่าย”
“ใช่ๆ” เสี่ยวอู่ขานตอบติดๆ กัน ทุกคนพากันถอยหลังยี่สิบกว่าก้าว
ไม่ถึงชั่วครู่ โม่อี้กับเฉินลิ่วย้อนกลับมา
“เรียบร้อย!” ใบหน้าโม่อี้เปี่ยมไปด้วยความยินดี “พวกเจ้าตามข้ามา” เขาเดินนำหน้าพาคนอื่นๆ เลี้ยวเข้าสู่ตรอกแคบๆ ของถนนอีกสายหนึ่งแล้วเข้าไปในเรือนหลังเล็กที่เปลี่ยวร้างและรกรุกรัง
ด้านในมีห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ฟู่ถิงจวินกับเจิ้งซานเหนียงไปผลัดอาภรณ์ก่อน จากนั้นเป็นพวกจ้าวหลิง
รอเมื่อเตรียมตัวได้พอสมควรแล้ว ตรงขอบฟ้ามีแสงสว่างปรากฏขึ้นเรื่อๆ คนทั้งกลุ่มก้าวออกมาจากเรือนหลังนั้น
ถนนด้านข้างเงียบสงัด บุรุษซึ่งมีกลิ่นหอมฉุนแรงติดตัวเดินสวนกับพวกเขาไปอย่างลุกลี้ลุกลนเป็นครั้งคราว
ฟู่ถิงจวินลอบแปลกใจ
โม่อี้พาพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลนักชื่อว่า ‘เกาเซิง’ เขาบอกว่าตนเองเป็นพ่อค้าเร่ อยากจะจับจองเรือนพำนักปีกหนึ่งทั้งหมด
เถ้าแก่เป็นบุรุษผิวขาวอวบอ้วนวัยสี่สิบกว่า ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงจนยิบหยี “นายท่าน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ โรงเตี๊ยมเรามีคนเข้าพักเต็มแล้ว หรือไม่ท่านลองไปดูโรงเตี๊ยม ‘เหลียนเซิง’ ที่อยู่ติดกันไหมขอรับ”
พวกเขาไปที่โรงเตี๊ยมเหลียนเซิง ผลปรากฏว่าที่นั่นมีห้องพักเหลือแค่สองห้อง เถ้าแก่แนะนำให้พวกเราไปที่โรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘สี่เหลียน’ ที่นี่มีเรือนพำนักหลังเล็ก แต่วันละสิบตำลึงเงิน ทั้งยังต้องจ่ายด้วยเงินแท่งเท่านั้น
โม่อี้มองจ้าวหลิง
จ้าวหลิงก็มองโม่อี้ “ข้าไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะแล้ว”
ทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน
ฟู่ถิงจวินทุกข์ใจยิ่งขึ้น
เขาไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดสักนิดได้อย่างไร ถ้ามิใช่พักโรงเตี๊ยมคราวนี้ โม่อี้จะให้เขาจ่ายเงิน ใช่หรือไม่ว่าเขาตั้งใจจะไม่ให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ไปตลอด นางหวนประหวัดถึงน้ำที่ใช้อาบน้ำถังนั้นที่หุบเขาสกุลหลี่ ในหัวมีภาพท่าทางลำบากใจเพราะไม่มีเงินของจ้าวหลิงปรากฏขึ้น นางรู้สึกคล้ายถูกคนแทงด้วยมีดทีหนึ่ง เจ็บปวดใจเสียจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก
นางสืบเท้าเข้าไปดึงชายเสื้อเขา
เขาหันหน้ามา “มีเรื่องอะไรประเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
ต่อหน้าทุกคน ฟู่ถิงจวินจะทำดึงดันก็ใช่ที่
โม่อี้ถลึงตามองจ้าวหลิง “ท่านไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียวยังเอาปลาเหลืองใหญ่ให้ยามเฝ้าประตูพวกนั้นทีเดียวสามแท่ง?”
จ้าวหลิงกล่าว “ข้าเห็นท่านซื้ออาหารคราเดียวมากมาย ทั้งตอนออกจากที่นั่นก็ไม่หยิบมาสักอย่าง เลยนึกว่าพี่โม่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว”
โม่อี้ย่ำเท้าวนไปวนมาหน้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างฉุนเฉียว นานครู่ใหญ่กว่าจะหยุดเดิน และพาพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมแห่งถัดไป
ฟู่ถิงจวินสบจังหวะกระซิบบอกจ้าวหลิง “ในห่อสัมภาระข้ายังมีของมีค่าอยู่บ้าง…”
ไม่รอให้นางกล่าวจบ จ้าวหลิงก็เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ขอบเขตดี ท่านไม่ต้องสนใจ”
ฟู่ถิงจวินคลายใจลงได้
พวกเขาวิ่งวุ่นเสาะหาที่พักเช่นนี้จนถึงยามเที่ยง ในที่สุดก็พบที่ที่เหมาะสมเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘สี่เซิง’
อาหารเช้าก็ไม่ได้กิน แสงแดดยังแรงกล้า พวกเขาเดินไปเดินมาอยู่ตลอดจนเป็นเหตุให้อ่อนเพลียจนแทบทนไม่ไหว พอได้ที่พำนักเรียบร้อย กินอาหารกลางวันที่ราคาแพงลิบทว่ารสชาติไม่ถูกปากมื้อหนึ่งแล้วได้ล้างผมสางผม ทุกคนต่างล้มตัวลงนอนหลับไป เว้นแต่เจิ้งซานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเล็กอย่างระแวดระวัง จวบจนยามจุดตะเกียงถึงทยอยตื่นขึ้นทีละคน
จ้าวหลิงเรียกเจิ้งซานกับภรรยามาแล้วให้พวกเขาประทับลายนิ้วมือบนสัญญาที่เขียนไว้เรียบร้อยโดยมีโม่อี้เป็นพยาน จากนั้นโขกศีรษะตรงหน้าประตูห้องปีกตะวันออกที่ฟู่ถิงจวินพำนักอยู่ เขามอบสัญญาให้นาง พลางเอ่ยเสียงเบา “กำไลข้อมือของท่านล่ะ ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีๆ”
รีบร้อนให้เจิ้งซานทำสัญญาโดยไม่รอช้าแบบนี้ ฟู่ถิงจวินเห็นว่าเรื่องนี้จ้าวหลิงไม่ใจกว้างมากพอ
จ้าวหลิงกระซิบพูด “ข้าจับตาดูอย่างละเอียดแล้ว เจิ้งซานหลักแหลมทำงานได้ดี อีกทั้งรู้วิชาหมัดมวย ส่วนเจิ้งซานเหนียงซื่อสัตย์สุจริตและขยันขันแข็ง มีสองคนนี้ติดตามอยู่ข้างกายท่าน วันหน้าเกิดเรื่องอะไรก็มีที่พึ่งพา ฉะนั้นจำเป็นต้องทำสัญญาขายตัวไว้”
ที่พึ่งพา?
ทำไมนางต้องพึ่งพาเจิ้งซานกับเจิ้งซานเหนียงด้วย!
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ฟู่ถิงจวินตระหนักขึ้นได้ทันใดว่าขณะนี้นางอยู่ในเมืองซีอานแล้ว
ตามที่ทั้งคู่สัญญากันไว้ พอถึงเมืองซีอาน เขาจะหาวิธีส่งสารให้มารดาของนาง หลังจากนั้นนางจะบ่ายหน้าไปทางใดก็สุดแท้แต่มารดาของนางจะจัดแจงให้
จ้าวหลิงกับนางกำลังจะแยกจากกันในอีกไม่ช้าแล้ว!
ใบหน้าฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดฉับพลัน
ความรู้สึกหวาดกลัว เสียใจ ผิดหวัง ประดังประเดกันเข้ามา
แล้วจะทำฉันใดได้เล่า
นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้เป็นมั่นเหมาะแต่แรก
เขาเสียสละเพื่อนางมามาก…จากหวาอินถึงเว่ยหนาน จากเว่ยหนานถึงซีอาน นางไม่อาจรบกวนเขาได้อีกสืบไป
ทั้งที่รู้ว่าเป็นเช่นนี้ เหตุไฉนในใจนางเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูกเล่า
ทั้งที่รู้ว่าเขาคิดอ่านอะไรต่อมิอะไรไว้ให้นางหมดแล้ว เหตุไฉนนางยังหวาดกลัวอีกเล่า
ทั้งที่รู้ว่าขณะนี้สมควรกล่าวขอบคุณเขาอย่างซาบซึ้งใจ เหตุไฉนนางเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณออกจากปากไม่ได้เล่า
ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างสับสนวุ่นวายใจ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างปราศจากเหตุผล
จ้าวหลิงลอบถอนใจเฮือกหนึ่งเบาๆ
ส่งไกลถึงพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน
สิ่งที่เขาทำให้นางได้มีเพียงเท่านี้แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางคือบุตรสาวของสกุลฟู่ บนมีบิดามารดา ล่างมีท่านลุงท่านอา จะอย่างไรคงมิใช่หน้าที่ของเขาที่จะมายุ่มย่ามเรื่องพวกนี้
เหนืออื่นใดเขามีเรื่องของตัวเองที่ต้องสะสาง ส่วนนางต้องไปตามทางของนาง ถึงเขามีใจแต่คงช่วยอะไรมิได้ ดีไม่ดีจะกลายเป็นยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง สุดท้ายยังเป็นการให้ร้ายนางอีก
ดังเช่นเรื่องที่อารามปี้อวิ๋น เขาลักพาตัวคนมาแบบนี้ยังไม่รู้ว่าสกุลฟู่จะคิดเช่นไร แล้วก็ไม่รู้ว่าสกุลฟู่จะโยนความผิดในเรื่องนี้ไปที่นางด้วยหรือไม่
ในใจเขาว้าวุ่นอยู่สักหน่อย
หวังเพียงว่าหลังจากประสบผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไป สวรรค์จะเมตตานางบ้าง อย่าให้นางต้องเป็นทุกข์เสียใจอีกก็คงดี
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นกลับเห็นดวงตาของนางมีประกายน้ำวาววับ กระจ่างใสบริสุทธิ์ไร้มลทินจนไม่อาจทำใจแข็งได้
“ท่านวางใจได้ หลังจากข้าแน่ใจว่าท่านปลอดภัยแล้วถึงค่อยจากไป”
และแล้วราวกับมีอะไรมาดลใจกระนั้น อีกหนึ่งคำสัญญาก็ลั่นออกจากปากเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ติดตามต่อได้ในเล่ม