ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง

บทที่สาม

 ประหนึ่งห้วงฝันร้ายปรากฏขึ้นซ้ำอีกครั้ง

หัวสมองของฟู่ถิงจวินว่างเปล่า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ถึงกุมสติไว้ได้

เขาหานางพบได้อย่างไร

ในใจหญิงสาวร้อนรนเต็มที หากแต่ร่างกายกลับอ่อนระทวย ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้

ความรู้สึกหวาดกลัวตอนเขาบีบคอนางไว้ไหลบ่าเข้ามาในความทรงจำ

ตอบตกลงเขาเร็วเข้า พยักหน้าเร็วเข้า…ไม่อย่างนั้นจะมีภัยถึงชีวิต

ทว่านางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกระดิกตัวราวกับกำลังกายถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

นางร้อนใจดุจไฟลน

ฝ่ามือที่ปิดปากนางไว้คลายออกช้าๆ

นางปล่อยลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง แผ่นหลังเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าธัญพืชในอารามเก็บไว้ที่ไหน” เขานั่งอยู่ตรงหน้าเตียงนางอย่างสงบนิ่ง

ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาเขาเปล่งประกายวาววามเหมือนแมวที่นางเคยเลี้ยงไว้เมื่อก่อน ไม่สิ ดวงตาของแมวเชื่องกว่า ดวงตาเขาเฉยเมยและเย็นชาไร้ไมตรีจนน่ากลัว

“มะ…ไม่รู้!” ฟู่ถิงจวินพูดตะกุกตะกักอย่างตกประหม่า

ชายหนุ่มค่อยๆ ยืดหลังตรง ดูท่าทางผิดหวังอยู่บ้าง ตัวเขากลืนเข้าไปในความมืดทีละน้อยจนนางเห็นสีหน้าไม่ถนัดตา จึงจับความรู้สึกเขาไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นพลันกระด้างขึ้นเสมือนฉาบด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง มันทอแววสุกใสวาววับ ทั้งยังปึ่งชายิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ทำให้นางเย็นยะเยือกจับใจ

ฟู่ถิงจวินตัวสั่นสะท้านวูบหนึ่งคล้ายถูกน้ำเย็นจัดราดรดจนสติแจ่มใสขึ้นไม่น้อย

เขามาหาอาหารกระมัง!

นอกห้องมีสุนัข ส่วนในห้องมีสาวใช้ผลัดดึก เขากลับปีนเข้ามาอย่างปราศจากสุ้มเสียงได้อย่างไร

คนที่อยู่เฝ้าคืนนี้คือลวี่เอ้อ นางนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่สานด้านข้างนี่เอง นาง…

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว พร้อมกับภาพของลวี่เอ้อนอนจมกองโลหิตปรากฏขึ้นทันควัน

“ท่านทำอะไรกับสาวใช้ของข้า” นางปัดผ้าม่านที่เขาเลิกขึ้นออกอย่างเร่งร้อน

ความโกรธแค้นที่ลวี่เอ้ออาจถูกทำร้ายมีมากกว่าความหวาดกลัวที่มีต่อเขา

แสงจันทร์ส่องกระทบบานหน้าต่างอย่างเงียบงัน ลวี่เอ้อมีสีหน้าสงบเป็นสุข นอนตะแคงงอตัวอยู่ตรงหน้าเตียงหันหน้ามาทางนาง

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป

“ข้าจี้สกัดจุดนางไว้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่หากเลยเวลาแล้วไม่คลายจุดก็ตายเช่นกัน”

นางถลึงตามองเขา สายตาฉายแววหวาดผวาอยู่หลายส่วน

มิได้คร่าชีวิตใครก็เข้ามาได้อย่างนี้ ช่างร้ายกาจจริงๆ ยากจะโทษที่เขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตา

ทว่าตอนนี้จะทำฉันใด

ฟู่ถิงจวินหายใจไม่ทั่วท้อง

เขานั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน นิ่งเงียบดุจเดียวกับราตรีกาล

ความคิดสว่างวาบขึ้นในหัวนาง

ถ้านางมีประโยชน์กับเขา เขาไม่น่าจะเอาชีวิตนางง่ายๆ อย่างนั้นกระมัง!

ครั้นมีความหวังรำไรอยู่ในใจ หญิงสาวเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย

“ในเรือนครัวไม่มีอาหารแล้วหรือ” นางกระซิบถาม

เขาไม่ปริปากพูด เพียงมองนางด้วยแววตาสุขุมราวกับกำลังถามว่านางหมายความว่าอะไร

ขอแค่เขายินยอมรับฟังนางพูดก็มีความหวัง

ฟู่ถิงจวินกลัวเป็นที่สุดว่าเขาจะสังหารนางโดยไม่พูดจาสักคำ

“พอข้าตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน กั่วจื้อซือฟู่ของอารามแห่งนี้ก็พบว่าอาหารกับไหข้าวสารในเรือนครัวหายไปหมด” นางกล่าวอ้อมๆ “ทุกคนพากันนึกว่าเป็นฝีมือของแม่ชีน้อยที่หิวโหย แต่กั่วจื้อซือฟู่พูดว่าถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างมากที่สุดคงขโมยแป้งย่างแผ่นเดียวหรือว่าหมั่นโถวลูกเดียว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำชอบกล ก็เลยไปรายงานกั่วฮุ่ยซือฟู่เจ้าอาราม ผลปรากฏว่ากั่วฮุ่ยซือฟู่พูดว่าระยะนี้ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง ทำให้มีชาวบ้านประสบภัยหลั่งไหลเข้าไปในซางโจวกับถงโจวเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วสองเมืองนี้ห่างจากหวาอินแค่ไม่กี่ร้อยลี้ น่าจะมีคนหนีความอดอยากมาถึงที่นี่ และฉวยจังหวะยามเที่ยงที่คนในอารามกำลังพักผ่อนหลบร้อนกันอยู่ ขโมยอาหารในเรือนครัวไป ส่วนยุ้งฉาง เห็นทีว่าจะมีการเตรียมการป้องกันอย่างรัดกุมไว้แต่แรกแล้ว”

นางจะเอ่ยเตือนเขาว่าแม่ชีอาวุโสทั้งสองในอารามล้วนระวังรอบคอบ มีความคิดอ่านเฉียบไว มิใช่มือชั้นธรรมดาเด็ดขาด ทั้งบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าอย่าทำอะไรส่งเดช หากเอาชีวิตนาง เขาก็อย่าได้หมายว่าจะหนีรอดไปได้โดยง่าย

“ถ้าจู่ๆ ข้าก็ไปถามไถ่อย่างนี้ กั่วฮุ่ยซือฟู่กับกั่วจื้อซือฟู่จะต้องสงสัยแน่นอน” แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ไม่กล้าตัดความหวังเขาเสียทีเดียว รักษาท่าทีมีน้ำใจไมตรีที่พึงมีไว้ดีกว่า “ข้ายังมีซาลาเปาไส้ผักสามสิบลูกที่เหลือจากอาหารเย็น หากท่านผู้กล้าไม่รังเกียจก็นำไปประทังหิวชั่วคราว รอเมื่อข้าค่อยๆ สืบถามจนได้ความว่าธัญพืชในอารามเก็บไว้ที่ไหนก็ยังไม่สาย”

เขาเพ่งมองนาง ดวงตามีแววบางอย่างวาบผ่านไป “มองไม่ออกว่าเจ้ายังพอมีความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ”

น้ำเสียงผ่อนคลายคลับคล้ายจะเจือรอยสัพยอกจางๆ

ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป

เขากำลังว่านางอยู่ใช่ไหม นี่ถือว่าเป็นอะไร ชมเชย? ประชด?

ระหว่างที่หญิงสาวยังงุนงงอยู่ เขาลุกขึ้นยืนแล้ว

ในยามราตรีที่เงียบสงบไร้ผู้คน เสียงสวบๆ สาบๆ ยิ่งฟังดูดังกังวานชัดเจนเป็นพิเศษ

ฟู่ถิงจวินร้อนรนเป็นการใหญ่

ค่ำมืดดึกดื่นชายหญิงอยู่กันตามลำพัง หากมีคนพบว่าเขาอยู่ในห้องของนาง ต่อให้นางมีร้อยปากก็พูดให้กระจ่างไม่ได้แล้ว ประกอบกับตอนนี้ยังมีเรื่องของจั่วจวิ้นเจี๋ยอีก นางเตรียมรอถูกคนติฉินนินทาลับหลังเถอะ!

นางอยากจะจับชายเสื้อเขาไว้ใจแทบขาด

“เจ้าบอกว่ามีซาลาเปาไส้ผักมิใช่หรือ” เขาไม่กริ่งเกรงระวังอันใด แม้เสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบาลงสักนิด “ข้าจะเอาไป”

เขาออกคำสั่ง

ฟู่ถิงจวินกลับยินดีเหลือประมาณ

ได้ซาลาเปาแล้ว เขาก็สมควรออกไปได้แล้วกระมัง!

เมื่อคิดถึงว่าสามารถไล่เขาไปได้ นางก็ย่องลงจากเตียง ค้นหาผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มสำหรับห่อของผืนหนึ่งจากในตู้ลิ้นชัก

“นี่คืออะไร” ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น นางถึงขั้นได้กลิ่นกายของเขา

ฟู่ถิงจวินกระอักกระอ่วนมาก รีบเอ่ยขึ้น “นี่เป็น ‘ยาลูกกลอนสี่สมุนไพร’ ที่นำมาจากบ้าน”

นางลุกลนพูดอธิบายต่อด้วยกลัวเขาไม่เข้าใจ “ก็คือเอาน้ำแกงสี่สมุนไพร* มาทำเป็นยาลูกกลอน จะได้พกติดตัวสะดวก”

ผ้าผืนที่อยู่ในมือเป็นผ้าห่อสมุนไพรตอนภรรยาของซิวจู๋มาที่นี่คราวก่อน เมื่อครู่นี้ขณะรื้อหาผ้าห่อของเลยหยิบยาลูกกลอนสองสามขวดติดมือออกมาด้วย

เขานำขวดกระเบื้องคู่นั้นยัดเก็บเข้าไปในอกเสื้อโดยไม่บอกกล่าวสักคำเสมือนสิ่งของในตู้นี้เป็นของตนเอง

หญิงสาวนิ่งงันไปนานครู่หนึ่ง

ยาจะกินส่งเดชไม่ได้ มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดโทษมหันต์

นางคิดๆ แล้วยังคงเอ่ยขึ้น “ยานั่นมีสรรพคุณบำรุงเลือดลม”

เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้ว

ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง เมื่อความคิดที่น่ากลัวอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัว

เขาขโมยของกินไปเยอะแยะ แต่เว้นระยะไปแค่สองสามวันก็มาหาของกินอีก กระนั้นเขาไม่รื้อค้นหีบคันฉ่องบนโต๊ะของนาง กลับยึดยาลูกกลอนสองขวดไปเป็นของตัวเอง…หรือว่าเขาไม่ได้มีตัวคนเดียว

แล้วเขาเป็นใครเล่า

โจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับ หรือว่านักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิด

แต่คนจำพวกนี้ปกติล้วนอยู่ตัวคนเดียว

คนเร่ร่อน?

ในสภาพอากาศร้อนระอุ เขาพาครอบครัวรอนแรมอพยพย้ายถิ่นแต่ไม่มีอาหารน้ำดื่ม จนมีคนทนไม่ไหวล้มป่วยลง ดังนั้นของกินมากมายขนาดนั้นถึงประทังไปได้เพียงแค่สองสามวัน ซ้ำพอได้ยินว่าเป็นยาลูกกลอนมีสรรพคุณบำรุงเลือดลมก็รีบยัดเก็บเข้าไปในอกเสื้อทันที

ทว่าคนเร่ร่อนมีวรยุทธ์ดีอย่างเขาด้วยหรือ

ลำพังอาศัยแค่ว่ามีพละกำลังมากสักหน่อยคงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในหอจิ้งเยวี่ยอย่างปราศจากสุ้มเสียงได้หรอก

นางยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งไม่กระจ่างแจ้ง

เขาถือห่อผ้าไว้แล้ว “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”

พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่?

ฟู่ถิงจวินคล้ายถูกสาปให้กลายเป็นหิน ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เขาผลักบานหน้าต่างเปิดออกอย่างคล่องแคล่วง่ายดาย กระโจนขึ้นลงสองสามทีอย่างพลิ้วเบาดุจนกนางแอ่นหายลับไปในทิวต้นหลิว

เรื่องราวของจอมยุทธ์ที่เล่าขานกันในตำนานปรากฏจริงๆ ต่อเบื้องหน้าสายตานางแล้ว

ฟู่ถิงจวินอ้าปากตาค้าง

มีเสียงสุนัขเห่าหอนลอยแว่วอยู่ไกลๆ

สุนัขในลานเรือนของนางได้ยินเสียงก็ร้องเห่าตามไปด้วย

ลวี่เอ้อสะดุ้งตื่น

นางขยี้ตาอย่างงัวเงีย “คุณหนูเก้า ท่านลุกขึ้นมาทำไมหรือเจ้าคะ มีเรื่องอะไรเรียกบ่าวก็ได้”

“อื้อ” ฟู่ถิงจวินขานรับในลำคอ นางมองสาวใช้อยู่เป็นนานด้วยสีหน้าเลื่อนลอย จากนั้นขึ้นไปบนเตียงเหมือนคนละเมอ

ลวี่เอ้อเกาหัวอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้หญิงสาว แต่เพิ่งเดินไปถึงข้างเตียง ฟู่ถิงจวินกลับลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“คุณหนูเก้า นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ลวี่เอ้อถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีอะไร!” ฟู่ถิงจวินพูดเสียงอุบๆ อิบๆ สองสามคำแล้วดื่มชาไปครึ่งถ้วย…แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มพลุ่งพล่านเสมือนน้ำหยดลงในน้ำมันเดือด

เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่

นั่นมิใช่เกาะติดนางไม่ปล่อยหรือไร

ถ้านางสืบถามไม่ได้ความอะไรจะทำฉันใด

นางพลิกตัวคราหนึ่งอย่างกระสับกระส่าย

หรือนางต้องรู้เห็นเป็นใจกับโจรขโมย ช่วยเขาสืบหาว่ายุ้งฉางอยู่ที่ใดจริงๆ อย่างนั้นหรือ

เมื่อเช้านี้ป้าเฉินยังบอกอีกว่าคนเร่ร่อนพวกนั้นพเนจรไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นอาหารก็แย่งชิง เพื่อมันแล้วแม้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต

ถ้าเขารวบรวมคนเร่ร่อนมาปล้นสะดมยุ้งฉางของอารามปี้อวิ๋นจะทำอย่างไร

ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีแต่สตรี ถ้ามีคนจบชีวิตเพราะเหตุนี้จะมิใช่ความผิดของนางหรือ

หากรู้เช่นนี้แต่แรก ก็สมควรนำเรื่องนี้ไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่

ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงในใจพลางพลิกกายอีกคราหนึ่ง

ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปจะได้ประโยชน์อันใด ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกลับมาหานางอีก เวลานี้หากไปเล่าให้กั่วฮุ่ยซือฟู่ฟัง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องไปที่ลานด้านหลัง แค่กั่วฮุ่ยซือฟู่ถามคำเดียวว่า ‘ไฉนเจ้าเพิ่งมาบอกในเวลานี้’ นางจะตอบเช่นไร

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฟู่ถิงจวินตื่นมาด้วยหน้าตาซีดเผือดอิดโรย

ทุกคนรู้ถึงความวิตกกังวลของนาง เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครทักถาม

ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจอยู่ตลอดยามเช้า สุดท้ายนางเรียกตัวหานเยียนมา บอกให้อีกฝ่ายช่วยสืบถามเรื่องยุ้งฉาง ส่วนตัวนางเองยังไม่หายเจ็บคอ จึงไม่กล้าเปล่งเสียงพูด

หานเยียนวิ่งวุ่นอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ไม่ได้เรื่องอะไรสักนิด

จะทำประการใดดี

พอฟู่ถิงจวินคิดคำนึงว่าเขาจะกลับมาอีกในราตรีนี้ก็ผุดลุกผุดนั่งไม่หยุด

ครั้นสายตามองเห็นดวงตะวันคล้อยลับหลังเขาทางทิศประจิม นางก็อับจนหนทาง ได้แต่ให้หานเยียนไปขอซาลาเปาไส้ผักมาอีกสามสิบลูกด้วยความคิดที่จะใช้สิ่งนี้ทำคุณไถ่โทษ

หญิงสาวนอนลืมตาโพลงถึงกลางดึก เขามาถึงตรงเวลา

ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือลวี่เอ้อที่นอนเฝ้าอยู่ ล้วนไม่ส่งเสียงอะไรสักแอะ

ในใจนางยิ่งหวั่นกลัว

เมื่อชายหนุ่มรู้ว่านางเตรียมซาลาเปาไส้ผักไว้ให้สามสิบลูก และส่งสาวใช้หัวไวออกไปวิ่งวุ่นสืบถามทั้งวันแล้วยังไม่รู้ที่ตั้งของยุ้งฉาง เขาหาได้มีน้ำโหไม่ ทั้งมิได้จ้องนางเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบ หากแต่พูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่” แล้วก็ถือซาลาเปาสามสิบลูกจากไป

ประเดี๋ยวโหดเหี้ยมดุร้าย ประเดี๋ยวเป็นคนง่ายๆ ตรงๆ แล้วยังพูดว่า ’พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่‘ ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองเจียนจะคลั่งอยู่แล้ว

 

ยามเช้าตรู่ ป้าเฉินตามตัวลวี่เอ้อไป “ซาลาเปาไส้ผักพวกนั้นหายไปไหนหมด”

ลวี่เอ้อไม่รู้เช่นกัน แต่ยังพูดปกป้องฟู่ถิงจวิน “คุณหนูเก้าให้พวกข้าเอาไปเลี้ยงสุนัขเจ้าค่ะ”

ป้าเฉินนั่งดื่มชาไม่พูดไม่จาอยู่ที่เดิม บรรยากาศอึมครึมเหมือนดังพายุฝนตั้งเค้าทำให้นางขาสั่นไม่หยุด

ขณะที่นางรู้สึกว่าตนเองใกล้จะควบคุมสติไม่อยู่แล้ว ป้าฝานเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่ริมหูป้าเฉิน

ลวี่เอ้ออดเงี่ยหูฟังมิได้

แม้จะยืนอยู่ตรงหน้าป้าเฉิน แต่เสียงของป้าฝานเบาเกินไป นางแค่ได้ยินแว่วๆ อย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ทางจวนมีสารมา…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า…อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว…ให้ท่านระมัดระวัง…”

ไม่รอให้ป้าฝานกล่าวจนจบ ป้าเฉินบุ้ยใบ้บอกให้นางหยุดพูดแล้วบ่นขึ้นว่า “ตอนนี้ราคาข้าวสารในหวาอินเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งตั้น* สามตำลึงเงินสองเฉียน** แล้ว พวกเจ้าอย่าทำเหลวไหลตามใจคุณหนูเก้า เมื่อไหร่สมควรปรามก็ปรามๆ กันบ้าง” อะไรทำนองนี้ จากนั้นก็ให้ลวี่เอ้อออกไป

ลวี่เอ้อมองประตูบานใหญ่ที่ปิดแน่นแวบหนึ่ง ก่อนวิ่งตัวปลิวไปทางเรือนใหญ่อันเป็นที่พำนักของฟู่ถิงจวิน

 

’ทางจวนมีสารมา…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า…อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว…ให้ท่านระมัดระวัง…’

นี่หมายความว่าอะไรนะ

ใครเป็นคนเขียนสาร ป้าสะใภ้ใหญ่ต้องการให้ป้าเฉินทำอะไร แล้วใครจะกลับมา ทำไมต้องกำชับกำชาให้ป้าเฉินระมัดระวังเป็นพิเศษ

ฟู่ถิงจวินเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความร้อนรนหงุดหงิดระคนโกรธเกรี้ยวน้อยๆ

สาวใช้ทั้งสองมองนางตาละห้อย “คุณหนูเก้า พวกเราจะทำอย่างไรเจ้าคะ”

ฟู่ถิงจวินหยุดฝีเท้าลง

เรื่องนี้ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไหร่ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อนางเท่านั้น

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าลังเลใจอีก

ถึงคราวเด็ดขาดแต่ไม่เด็ดขาด จะกลายเป็นความยุ่งยากตามมาไม่สิ้นสุด

นางมองหานเยียนพลางเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าไปในยามเที่ยงวันนี้เลย”

“หา!” หานเยียนกับลวี่เอ้ออ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง

ฟู่ถิงจวินพยักหน้า พูดเสียงเบาๆ “หนนี้ให้ลวี่เอ้อพูดคุยกับพวกป้าฝานในโถงกลาง ถ้ามีคนถามถึงหานเยียน เจ้าก็บอกว่าถูกข้าเรียกตัวมาที่ห้อง ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่”

“ถ้าเกิดป้าเฉินจะเข้ามาดูเหมือนคราวก่อนล่ะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อมองหานเยียนแวบหนึ่ง ถามอย่างเป็นกังวล

“ข้าจะรับหน้าเอง” สีหน้าของฟู่ถิงจวินฉายแววมุ่งมั่นกล้าหาญประหนึ่งพร้อมจะทุบหม้อจมเรือ

ป้าเฉินจับตาดูพวกนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ พอหานเยียนหายตัวไป คงเป็นไปไม่ได้ที่คิดจะปิดบังป้าเฉิน และทันทีที่ป้าเฉินจับได้จะต้องมีเรื่องมีราวกันแน่ ในเมื่อถึงอย่างไรก็ต้องหมางใจกัน เรื่องอาการเจ็บคอกับแผนการที่อุตส่าห์วางไว้มาตลอดหลายวันนี้ ป้าเฉินจะล่วงรู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญแล้ว อีกทั้งยิ่งทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ผู้ดูแลอย่างป้าเฉินก็ยิ่งปลีกตัวออกไปไม่ได้โดยง่าย จะยื้อเวลาให้หานเยียนได้บ้างพอดี

ขอแค่ได้พบท่านแม่ เรื่องนี้ก็มีโอกาสพลิกสถานการณ์

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อขานรับเสียงหนัก

ฟู่ถิงจวินพูดกำชับหานเยียนอีก “พวกสุนัขอยู่ในลานด้านหน้า เจ้าปีนออกไปทางหน้าต่างห้องปีกตะวันออก แต่ถ้าเกิดเจอสุนัขก็โยนซาลาเปาให้มันกิน ข้าเคยฟังแม่นมเล่าว่าคนชนบททำแบบนี้กับสุนัขดุๆ แล้วก็ต้นไม้ต้นนั้น ข้าเคยปีนขึ้นไปแล้ว แข็งแรงมาก มันมีกิ่งยื่นออกไปนอกกำแพงรั้ว เจ้าพกผ้าคาดเอวไปหลายๆ ผืน พอถึงตอนนั้นเอาผูกยึดกับกิ่งไม้ทำเป็นเชือกไต่ลงไปก็จะออกจากอารามปี้อวิ๋นได้แล้ว พอออกไปด้านนอกจะเป็นถนนหลวงสายหนึ่ง มีรถม้าแล่นผ่านเป็นระยะ เจ้าไม่ต้องตระหนี่เงินทอง เร่งรุดกลับเข้าเมืองให้ได้โดยไว

ส่วนทางนี้ข้าสามารถถ่วงเวลาได้อย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม แม่นมข้ามีพี่น้องบุญธรรมคนหนึ่งเป็นคนงานหญิงอยู่เรือนหน้าแซ่หมี่ นางยังเคยได้รับความเมตตาจากข้าด้วย ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งตรงกลับไปที่จวน ให้ไปหาป้าหมี่แล้วไต่ถามสถานการณ์ในจวนก่อน หากไม่เข้าทีจริงๆ ก็ให้นางหาทางส่งข่าวไปบอกท่านแม่ข้า ท่านแม่จะคิดวิธีพาเจ้าเข้าไปในจวนเอง ข้ายังจะเขียนสารถามไถ่ทุกข์สุขของผู้อาวุโสในจวนสักฉบับให้เจ้าพกติดตัวไว้ ถ้าเกิด…” นางกล่าวเสียงขรึม “มีสารเป็นหลักฐาน เจ้าจะได้ไม่ถูกใส่ความว่าเป็นทาสที่หลบหนี”

หานเยียนคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อยที่คุณหนูเก้าจะไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบมาก โดยเฉพาะยังเขียนสารฉบับหนึ่งให้นางพกติดตัวไว้

นางตื้นตันใจน้อยๆ “คุณหนูวางใจได้ ข้าจะต้องหาทางพบนายหญิงห้าให้ได้เจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะ

ลวี่เอ้อไปที่เรือนครัว ขอให้ทำซาลาเปาไส้ผักจานหนึ่งมาให้ตอนมื้อกลางวัน

หานเยียนหาผ้าคาดเอวหนาๆ หลายผืนมาผูกต่อกันเป็นเชือกยาวๆ เส้นหนึ่ง

หลังจากฟู่ถิงจวินเขียนสารจบก็ใช้ผ้าสีขาวผืนหนึ่งห่อเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ราวๆ ห้าหกตำลึง นางยังหยิบกำไลเงินกับตุ้มหูเงินอย่างละคู่หนึ่งในหีบคันฉ่องออกมามอบให้หานเยียน “ถ้าเกิดเงินไม่พอ กำไลกับตุ้มหูพวกนี้ยังใช้เป็นประโยชน์ได้ในยามจำเป็น” หานเยียนรับมาเก็บไว้เป็นอย่างดี

ทุกคนกินอาหารมื้อเที่ยงกันอย่างเงียบๆ

หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกป้าฝานมานั่งคุยกันในโถงกลางโดยอ้างว่าอยากรับลมเช่นเคย ลวี่เอ้อยกน้ำชาไปให้และนั่งลงร่วมวงกับพวกนางได้อย่างแนบเนียนไร้พิรุธ ขณะที่ฟู่ถิงจวินกลับไปที่ห้องนอนกับหานเยียน นางช่วยหานเยียนปีนข้ามหน้าต่างห้องปีกตะวันออกไปแล้วก็งับหน้าต่างปิดแล้วนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบเพื่อรอป้าเฉินมา

 

วันนั้น ฟู่ถิงจวินรอคอยจนถึงยามโหย่ว* ป้าเฉินจึงเพิ่งมาถึงอย่างล่าช้ากว่าปกติ

ข้างหลังนางยังมีหานเยียนซึ่งอาภรณ์ยับยู่ยี่ ทำหน้าม่อยเดินกะเผลกๆ ตามมา

ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไปในพริบตา

“คุณหนูเก้า” ป้าเฉินทำสีหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ หากแต่แฝงไว้ด้วยโทสะอย่างปิดไม่มิด “ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”

ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!’ จะมีอะไรน่าพูดอีก

ฟู่ถิงจวินยืนขึ้นอย่างแช่มช้า มองป้าเฉินปราดหนึ่งด้วยสายตาปึ่งชาแล้วเอ่ยถามหานเยียน “บาดเจ็บตรงไหนบ้าง เป็นอะไรมากหรือไม่”

น้ำเสียงนางติดจะแหบพร่า หากเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

ป้าเฉินนึกว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์พลุ่งพล่าน สุ้มเสียงถึงเปลี่ยนไปบ้าง เลยมิได้เก็บมาใส่ใจ

หานเยียนกลับมีน้ำตาเอ่อท้นขอบตา “คุณหนู บ่าวไม่เอาไหนเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ความพยายามอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า” ฟู่ถิงจวินกล่าวปลอบสาวใช้พร้อมทั้งมองสำรวจตัวนาง “ตกลงว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่ อย่าอดทนไว้ไม่พูดนะ ถ้ามีอาการเรื้อรังอะไรขึ้นมาจะแย่เอาได้”

หานเยียนส่ายหน้า เริ่มร่ำไห้เบาๆ

ฟู่ถิงจวินเอ่ยสั่งลวี่เอ้อ “ให้ป้าฝานตักน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้หานเยียน แล้วค่อยไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่ว่าหานเยียนได้รับบาดเจ็บ เชิญท่านมาดูอาการ”

กั่วฮุ่ยซือฟู่รู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ในฤดูร้อนนางจะต้มน้ำดอกไม้หกชนิด ส่วนในฤดูหนาวจะทำยาเม็ดสมุนไพรรวมแล้วส่งมาให้สกุลฟู่ พวกบ่าวไพร่พอเป็นไข้แดดในฤดูร้อนจะขอน้ำดอกไม้มาดื่ม เมื่อโดนความเย็นในฤดูหนาวก็จะกินยาเม็ดสมุนไพร

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อซึ่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ขานตอบอย่างลุกลน นางชำเลืองมองป้าเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะสะกิดเรียกป้าฝานที่ยืนงงอยู่กับที่ดุจเดียวกันอย่างขลาดๆ “ทะ…ท่านช่วยตักน้ำมาให้พวกข้าเถอะ!”

ป้าฝานทำสีหน้าละล้าละลังมองไปทางป้าเฉิน

ฟู่ถิงจวินแลมองพลางแค่นเสียงฮึ เอ่ยเสียงแข็งกร้าว “เจ้าไม่ต้องมองป้าเฉิน นางจะใหญ่โตสักแค่ไหนก็เป็นบ่าวของสกุลฟู่ข้า เว้นเสียว่าสกุลฟู่กำลังจะล่มจม ไม่เช่นนั้นอย่างไรก็ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง”

นางหันไปมองป้าเฉิน “ป้าเฉิน ข้ากล่าวถ้อยคำนี้ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่”

ป้าเฉินไม่ปริปาก จ้องตานางอย่างพินิจ

ฟู่ถิงจวินสบตานางตรงๆ

ความเงียบงันทำให้บรรยากาศตึงเครียดคุกรุ่น

พวกป้าฝานล้วนขยับเปลี่ยนท่ายืนอย่างกระสับกระส่าย

แววตาของฟู่ถิงจวินคมปลาบยิ่งขึ้น

ดวงตาป้าเฉินอ่อนแสงลงน้อยๆ นางหลุบตาลง มีรอยยิ้มเอือมระอาผุดขึ้นบนริมฝีปาก นางย่อเข่าคารวะอย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาๆ “คุณหนูเก้า ท่านรับผิดชอบผลที่ตามมาเองเถอะ” ว่าแล้วก็หมุนกายออกไป

ป้าฝานเรียกคนไปตักน้ำเป็นการใหญ่

ลวี่เอ้อระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นวิ่งไปทางเรือนพำนักของกั่วฮุ่ยซือฟู่

ฟู่ถิงจวินทดท้อใจ

หานเยียนคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง

“คุณหนูเก้า เป็นเพราะข้าคนเดียวที่ทำให้คุณหนูเสียเรื่อง” นางหลั่งน้ำตาดุจสายฝน “ระหว่างทางลงจากเขา ข้าหกล้มจนข้อเท้าแพลง ต้องลำบากแทบแย่กว่าจะไปถึงเชิงเขา ข้ารออยู่เป็นนานถึงมีรถม้าผ่านมาคันหนึ่งเลยทำให้เสียเวลาไป พอเพิ่งออกจากเขาซีเสียไม่ทันไรก็ถูกป้าเฉินสกัดเอาไว้แล้ว…”

“พวกเราต่างพยายามเต็มที่แล้ว” ฟู่ถิงจวินพยุงนาง “พักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน สวรรค์ย่อมชี้ทางออกให้เสมอ ข้าจะคิดหาวิธีอื่นอีก”

“เจ้าค่ะ” หานเยียนขานรับด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

พวกป้าฝานตักน้ำเข้ามา หลังจากนั้นไม่นานกั่วฮุ่ยซือฟู่ก็รุดมาถึง

หานเยียนข้อเท้าแพลง ซ้ำยังมีบาดแผลตามตัวเล็กน้อย กั่วฮุ่ยซือฟู่ใช้น้ำบ่อประคบให้นางแล้วทิ้งยาขี้ผึ้งไว้ให้หลายก้อนโดยมิได้ซักถามอะไรสักคำเดียว “แปะบนแผลสองสามเทียบก็จะหายดี”

เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ใต้ชายคาหอจิ้งเยวี่ยแขวนโคมไฟสีแดงสดใสไว้แล้ว

ลวี่เอ้อออกไปส่งกั่วฮุ่ยซือฟู่แล้วเข้ามาปรนนิบัติฟู่ถิงจวินกินอาหารเย็น

ไหนเลยหญิงสาวจะกินลง ในใจนางคิดคำนึงว่าขณะนี้ทุกคนคงกำลังหัวเราะเยาะตนเองอยู่ ฉะนั้นนางยิ่งต้องสุขุมเยือกเย็นและจะว้าวุ่นใจแม้แต่น้อยนิดไม่ได้

หญิงสาวบังคับตัวเองให้กินโจ๊กไปชามหนึ่งกับผักดอง จากนั้นไปเยี่ยมหานเยียน ไถ่ถามอาการของนางแล้วถึงกลับห้อง

ทำอย่างไรดี

แผนการล้มเหลวแล้ว ต่อไปป้าเฉินต้องเฝ้านางอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

คนที่จวนทำเช่นนี้หมายความว่าอะไรกันแน่ ให้นางพักอยู่ในอารามปี้อวิ๋นไปเรื่อยๆ กระทั่งป้าเฉินส่งสารกลับไปบอกว่าอาจจะมีคนเร่ร่อนมารบกวนก็ยังไม่คิดจะให้นางกลับไป

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินกลั้นหายใจ

พวกเขาไม่กลัวว่านางจะพบกับอันตราย…

ไม่! ไม่! ไม่!

ปีที่นางเกิด ฤดูใบไม้ผลิมาถึงช้าเป็นพิเศษ จวบจนกลางเดือนสามแล้ว ลมพัดกระทบใบหน้ายังปราศจากกระไอความเย็น

ในเรือนของท่านย่าปลูกต้นจำปาแดงที่อาหญิงส่งมาให้ท่านเป็นของขวัญวันเกิดจากหนานจิง มันแตกหน่อเต็มต้นแล้วแต่ไม่ออกดอกสักที

ครั้งแรกที่มันออกดอก มีข่าวส่งจากเมืองหลวงว่าท่านพ่อสอบขุนนางผ่านได้เป็นฮุ่ยหยวน* ต่อมาเหลนชายคนโตของสกุลออกมาลืมตาดูโลก ท่านย่าซึ่งล้มป่วยมานานก็หายสนิท ลุงใหญ่กับท่านพ่อได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในช่วงดอกไม้บาน ท่านย่าจึงถือมันเป็นของมงคลนำโชคเสมอมา

ท่านย่าอดนึกกังขามิได้ ’เป็นเพราะไปล่วงเกินเทพบุปผาเข้าหรือเปล่านะ‘ กระนั้นในใจกลับลอบตรึกตรอง หรือว่าจะถึงอายุขัยแล้ว

ท่านไม่เพียงส่งป้าหลีไปดูแลต้นจำปาแดงต้นนั้นด้วยตนเอง ยังไปขอผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์จากอารามจิ่วเซียน อีกทั้งเชิญกั่วฮุ่ยซือฟู่มาทำพิธีด้วย

ต้นจำปาแดงก็ยังคงไม่ออกดอกดังเก่า

ท่านย่าค่อยๆ หมดกำลังใจลงทุกที

พอผ่านเทศกาลตวนอู่** ไป ท่านก็ลุกจากเตียงไม่ไหวแล้ว

แต่แล้วบุปผากลับเบ่งบานในชั่วข้ามราตรี

ดอกชูช่องามดุจดอกบัวมีขนาดใหญ่เท่าจอกชา กลีบดอกสีแดงเพลิง โชยกลิ่นหอมแรงฟุ้งกระจาย บานสะพรั่งสวยงามจับตายิ่งกว่าปีกลายสามส่วน

ท่านย่ายินดีสุดจะกล่าว

สาวใช้ตัวน้อยเข้ามารายงาน ’นายหญิงห้าได้บุตรสาวเจ้าค่ะ’

วันนั้นเป็นวันที่สิบแปดเดือนห้า

ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงนางอยู่ในลำดับที่เก้า

วิถีฟ้าเก้าขั้น***

’หรือว่ามันกำลังรอคอยหลานเก้าคลอดออกมา‘ ท่านย่าคิดคำนึงในใจ

นับจากนั้นท่านก็ปฏิบัติต่อนางต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ

ยังมีท่านแม่อีกคน

ท่านให้กำเนิดบุตรชายสี่คน บุตรสาวสี่คน ทว่ามีแค่พี่ชายคนโตถิงกุ้ยกับนางที่เลี้ยงรอดมาจนเติบใหญ่

พี่ชายคนโตอายุมากกว่านางสิบสองปี

ท่านแม่มักโอบนางพลางพูด ’ถิงจวินเป็นเหมือนเสื้อนวมอุ่นอกมารดา****!’

นางต้องคิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะไปเองเป็นแน่

ใช่…คิดฟุ้งซ่านเลอะเทอะไปเอง

แต่ครั้นความคิดบังเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็หยุดยั้งไว้ไม่อยู่

สกุลอวี๋กับสกุลฟู่ล้วนเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา ถ้าปราศจากเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะสมจะถอนหมั้นไม่ได้

ถ้าสกุลฟู่อยากให้นางออกเรือนไปกับจั่วจวิ้นเจี๋ย ก็ต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลอวี๋

จะอย่างไรสกุลฟู่คงบอกกับสกุลอวี๋ไม่ได้ว่าคุณหนูเก้าของสกุลเรามีสัมพันธ์ลับกับคนอื่นกระมัง แล้วก็พูดไม่ได้ว่าคุณหนูเก้าของสกุลเราเป็นโรคร้ายกระมัง

จั่วจวิ้นเจี๋ยเอาเสื้อเอี๊ยมของนางมาข่มขู่คนสกุลฟู่ บ่งบอกว่าเขาไม่ไว้หน้าเกรงใจแล้ว ในรูปการณ์อย่างนี้ สกุลฟู่จะตีมุสิกก็เกรงข้าวของแตกหัก ไหนเลยจะกล้าคัดง้างกับจั่วจวิ้นเจี๋ย หาไม่แล้วเกิดเรื่องลุกลามใหญ่โตขึ้นมา สกุลฟู่จะตอบสกุลอวี๋เช่นไร แล้วสกุลฟู่กับสกุลอวี๋จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน โดยเฉพาะสกุลอวี๋ซึ่งเป็นตระกูลโด่งดังทรงเกียรติ หากได้รับความอัปยศขนาดนี้จะยอมเลิกราแต่โดยดีหรือไร เมื่อนั้นไม่เพียงผูกดองไม่สำเร็จยังกลับกลายเป็นศัตรูกัน สกุลฟู่แบกรับผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ไหว

คิดถึงตรงนี้ฟู่ถิงจวินรู้สึกลำคอแห้งผาก เหงื่อผุดเต็มศีรษะ

ถ้านางเป็นประมุขสกุลฟู่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นท่านย่า จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นท่านแม่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ จะทำอย่างไร

ถ้านางเป็นลุงใหญ่ จะทำอย่างไร

ฟู่ถิงจวินยิ่งคิดยิ่งตระหนก ยิ่งคิดยิ่งหวั่นใจ

บานหน้าต่างกรุด้วยกระดาษเกาลี่เป็นสีขาวสะอาด ถูกแสงโคมไฟใต้ชายคาอาบย้อมเป็นสีแดงสด

มีเงาดำสายหนึ่งโฉบผ่านไป หน้าต่างเปิดออกแล้วปิดลงดังเก่าอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ในกาลก่อนความกลัดกลุ้มข้อใหญ่ที่สุดของฟู่ถิงจวินก็แค่กลัวว่าหลังจากออกเรือนไปยังสกุลอวี๋จะปรับตัวให้คุ้นเคยกับชีวิตในเจียงหนานไม่ได้ นางไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะมีคนใช้วิธีโสมมใส่ร้ายป้ายสีตนเช่นนี้ แม้ว่านางจะตกที่นั่งลำบากถึงเพียงนี้แล้ว แต่พอนางคิดถึงท่านแม่ที่รักนางและท่านย่าที่เอ็นดูนางก็ยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องนี้ยังมีโอกาสกู้สถานการณ์คืนมาได้ มิได้ย่ำแย่ถึงขั้นจนตรอก

ทว่าชั่วขณะนี้ นางไม่หลงเหลือความมั่นอกใจมั่นอย่างนั้นอีกสืบไป

หญิงสาวย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มไม่เป็นสุข

ฟู่ถิงจวินยังจำได้ว่าเมื่อสมัยยังเยาว์วัย พวกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงชอบเล่นกันอยู่ในเรือนท่านย่า

ท่านย่าจะมองดูพวกนางด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นเป็นนิจ อยากกินอะไรก็จะรีบเรียกบ่าวไพร่ให้ไปทำ อยากใส่อะไรก็ไปเปิดห้องเก็บของหยิบมาให้ทันที ทำจานชามแตกหักก็ไม่โกรธเคือง ทำของหายก็ไม่ร้อนใจ ทว่าถ้ามีคนใดทำผิดธรรมเนียมที่อยู่ใน ’คำสอนสตรี’* ของสกุลฟู่ ท่านย่ากลับไม่ยกโทษให้โดยง่าย

พวกนางพี่น้องล้วนเคยถูกท่านย่าลงโทษให้คุกเข่ากันมาแล้วถ้วนหน้า

ทุกคราที่โดนลงโทษให้คุกเข่า ป้าหลีที่รับคำสั่งจากท่านย่าจะพร่ำบ่นอยู่ด้านข้าง ’พวกคุณหนูได้สวมใส่แพรพรรณชั้นดี ได้กินอาหารเลิศรส ยามออกนอกจวนมีรถม้า มีบ่าวไพร่ติดสอยห้อยตาม ทุกวันแค่ต้องตื่นนอนทันทีตอนยามเฉิน** ท่องตำรา ’จรรยาสตรี’*** ฝึกหัดวิชาการบ้านการเรือนเท่านั้นเอง ไฉนทนไม่ไหวเสียแล้วเล่า! อย่าลืมว่าสกุลฟู่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาโดยอาศัยธรรมเนียมนี้ พวกท่านเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ ในเมื่อได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่ ก็สมควรรักษาธรรมเนียมสกุลฟู่ถึงจะถูก จะเอาแต่สุขสบายถ่ายเดียวโดยไม่ลงแรงมีที่ไหนกันเล่า คนใดที่ทำลายธรรมเนียมสกุลฟู่ คนผู้นั้นก็คือผู้ทำลายความบากบั่นพากเพียรมาหลายชั่วรุ่นของสกุลฟู่ คนผู้นั้นไม่คู่ควรเป็นบุตรสาวสกุลฟู่ แล้วก็ไม่คู่ควรได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่เช่นกัน!’

เมื่อก่อนนางมีฝีมือเย็บปักถักร้อยดีที่สุด และร่ำเรียนตำราเก่งที่สุด แต่ไรมาจึงไม่เคยขบคิดถ้อยคำของป้าหลีมาก่อน

บัดนี้เพียงรู้สึกว่าสันหลังเย็นวาบๆ

ฉับพลันนั้นก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกคอ ศีรษะของนางก็ชนเข้ากับแผงอกแข็งๆ

มันเป็นแผงอกของบุรุษชัดๆ แต่ในห้องจะมีบุรุษได้อย่างไร

นางตกใจจนหน้าซีด อ้าปากตั้งท่าจะกรีดร้อง

มีคนปิดปากนางไว้

“เจ้ามีสติสักหน่อยมิได้รึ!” สุ้มเสียงทุ้มห้าวเจือความหงุดหงิดอยู่หลายส่วน

ฟู่ถิงจวินไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด

ใจนางหล่นดังตุบ

แย่แล้วๆ นางลืมเรื่องเขาไปสนิทใจเลย!

แม้แต่ซาลาเปาไส้ผักก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้

นางยิ้มเจื่อนๆ ลุกลนเอ่ยขึ้น “วันนี้สาวใช้ข้าข้อเท้าแพลง เลยไม่ทันได้สืบถามเรื่องยุ้งฉาง ส่วนซาลาเปาก็ไม่ได้เตรียมไว้…”

ฟู่ถิงจวินไม่ได้จุดตะเกียง มองเห็นอะไรไม่ชัด รู้แค่ว่าเขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างทำจากผ้าเนื้อหยาบ เนื้อตัวสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นเหม็นอะไร

ชายหนุ่มผงกศีรษะ แม้สีหน้าเรียบเฉยอ่านความรู้สึกไม่ออก แต่มิได้ถามอะไรต่อ ดูไม่มีท่าทีว่าจะตำหนิที่นางทำงานบกพร่อง

ฟู่ถิงจวินลอบระบายลมหายใจ

เขาโพล่งขึ้น “ยาลูกกลอนสี่สมุนไพรนั่น เจ้ายังมีอีกหรือไม่”

นางประหลาดใจมาก “ไม่มีแล้ว”

เขาเม้มปากน้อยๆ

นางสัมผัสได้ว่าเขาไม่สบอารมณ์

ครั้นคิดไปถึงว่าเรื่องที่เขาให้นางทำไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็พาให้กระวนกระวายใจกะทันหัน นางลุกลนเอ่ย “ท่านผู้กล้า ไม่ทราบว่ามีคนป่วยเป็นอะไรท่านถึงต้องการยานี้ กั่วฮุ่ยซือฟู่ในอารามนี้มีวิชาแพทย์สูงส่ง หรือไม่พรุ่งนี้ข้าจะขอยาที่ถูกโรคให้”

ดวงตาคู่นั้นมีรอยลังเลผุดวาบขึ้น เขากล่าวขึ้นอย่างฉับไว “ข้ามีพี่น้องคนหนึ่ง ถูกเสือตะปบได้รับบาดเจ็บ”

ที่แท้พวกเขาเป็นนายพราน

มิน่าสวมอาภรณ์เก่ามอซอแต่มีฝีมือยุทธ์ดีเช่นนี้

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในใจของฟู่ถิงจวินผ่อนคลายลง “ท่านผู้กล้าวางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะขอยาสมานแผลให้ท่านเอง”

เขาพยักหน้า หมุนกายออกเดินไป ทว่าเพิ่งย่างเท้าไปสองก้าวก็ชะงักกึก นางรู้สึกตาพร่าลายวูบหนึ่ง คนก็หายไปแล้ว

ฟู่ถิงจวินตกใจตาค้าง นางสอดส่ายสายตามองหา ก่อนจะพบว่าเขานั่งอยู่บนขื่อห้อง

นางคิดจะเอ่ยถามเขาว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ก็ดูเหมือนที่นอกห้องมีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง

พอนางเงี่ยหูฟังก็ดูเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก

ขณะที่กำลังนึกประหลาดใจ นางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา

ฟู่ถิงจวินเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง

เขาทำไม้ทำมือบอกนางว่าอย่าเหลียวซ้ายแลขวา

ฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกทีและหยุดลงตรงหน้าประตู “คุณหนูเก้า นี่ป้าเฉินเองเจ้าค่ะ”

นางมาทำอะไร

ถ้าจะพูดถึงผู้ที่ฟู่ถิงจวินไม่อยากพบหน้ามากที่สุดในยามนี้ คนผู้นั้นก็คือป้าเฉินนี่เอง

“มีเรื่องอะไร” สุ้มเสียงของหญิงสาวเย็นชา

“ลวี่เอ้อต้องดูแลหานเยียน ข้าเลยคิดขึ้นได้ว่าที่ห้องคุณหนูเก้าไม่มีบ่าวเฝ้าผลัดดึกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของป้าเฉินก็เฉยเมยพอกัน “เมื่อก่อนบ่าวเคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน ยังพอรู้ธรรมเนียมอยู่บ้าง ช่วงที่หานเยียนล้มป่วยอยู่นี้ให้บ่าวนอนเฝ้าคุณหนูเก้าเถอะเจ้าค่ะ” นี่มิใช่ถามความเห็นของนาง แต่เป็นการบอกให้รับทราบเท่านั้น

ภายในใจฟู่ถิงจวินเดือดพล่านด้วยไฟโทสะอย่างสุดระงับ

นี่เป็นการเฝ้าผลัดดึกที่ไหนกัน นางต้องการจับตาดูตนเองชัดๆ

“ป้าเฉินเป็นคนข้างกายท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าเป็นผู้น้อย ไหนเลยจะกล้าเรียกใช้” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงเยาะๆ “คงไม่รบกวนป้าเฉินแล้ว” นางกล่าวตบท้าย “ดึกแล้ว ข้ารู้สึกเหนื่อยๆ อยากเข้านอนแต่หัวค่ำ คงไม่คุยกับป้าเฉินมากมายแล้ว”

คนนอกประตูนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะบอกคนยกเตียงไม้ไผ่มาให้ข้านอนใต้ชายคาเรือนคุณหนูเก้าสักคืนก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

นี่ป้าเฉินคิดจะตั้งแง่กับนางให้ถึงที่สุดสินะ!

“ดีที่อากาศร้อนอบอ้าว ป้าเฉินเลยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องนอนหนาว” ฟู่ถิงจวินเบะปาก ลงดาลประตูเสียงดังปึงปัง แสดงให้รู้ว่าตนเองไม่ต้อนรับนาง

ป้าเฉินตะโกนเรียกป้าฝานให้ยกเตียงไม้ไผ่มา

ด้านนอกมีเสียงดังระลอกหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินโมโหจนตัวสั่น

เขากระโดดลงมาจากขื่อห้อง ไม่บังเกิดเสียงใดแม้แต่น้อย

นางมองเขาอย่างตะลึงลาน

เขาเลิกคิ้วสูงราวกับจะบอกว่านางตื่นตูมเกินกว่าเหตุ

จริงสิ ทั้งกำแพงสูงลิบของอารามปี้อวิ๋น ทั้งสุนัขตัวใหญ่ดุร้ายล้วนขวางกั้นเขามิได้ นับประสาอะไรกับหอจิ้งเยวี่ยเล็กๆ

ทว่าเขาอยู่ในห้องนางแบบนี้ก็ไม่เข้าที

นางกวักมือเรียกเขาให้ตามมา จากนั้นเดินไปผลักหน้าต่างห้องปีกตะวันออกให้เปิดออก

หน้าต่างไม่ขยับสักนิด

นางออกแรงเพิ่มขึ้น

หน้าต่างยังคงไม่ขยับเขยื้อน

นางแจ่มแจ้งในบัดดล

ในเมื่อความเคลื่อนไหวของหานเยียนถูกจับได้ เช่นนั้นหานเยียนออกไปอย่างไรป้าเฉินต้องรู้แน่นอนเหมือนกัน เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ป้าเฉินคงจะส่งคนมาตอกปิดหน้าต่างจากทางด้านนอก

ฟู่ถิงจวินขมวดคิ้วน้อยๆ

ห้องนอนอยู่ทางด้านขวา นอกจากหน้าต่างบานที่หันไปทางทิศตะวันออกยังมีอีกบานหนึ่งหันไปทางทิศใต้อยู่ใต้ชายคาเรือน ซึ่งก็คือที่ที่ป้าเฉินวางเตียงไม้ไผ่อยู่ในเวลานี้ ยังมีอีกทางหนึ่งที่สามารถออกไปได้ก็คือประตูห้องนอน

นางแลลอดรอยแยกของประตูมองออกไป

ด้านนอกมีคนงานหญิงสองคนคุยกระซิบกระซาบกันไปพลางปูที่นอนกับพื้นไปพลาง

ดูท่าทางได้แต่รอพวกนางหลับแล้วค่อยว่ากันอีกที!

นางหันไปส่ายหน้ากับเขาเป็นเชิงบอกว่าเขายังออกไปไม่ได้ชั่วคราว

เขากลับชี้ไปที่หลังคา

ไม่ว่าแก้วหลากสีหรือสิ่งของจากดินแดนตะวันตกล้วนหายากและล้ำค่าอย่างมาก ต่อให้เป็นสกุลฟู่ก็เพิ่งจะกรุบานประตูหกบานในห้องโถงกลางด้วยแผ่นแก้วสีเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ขณะที่บ้านเรือนทั่วไปจะกรุด้วยกระดาษ แต่ถ้าภายในห้องทึมทึบแม้ในยามกลางวัน หลังคาส่วนหนึ่งจะมุงด้วยแผ่นกระเบื้องโปร่งแสง* ไม่กี่แผ่นเพื่อให้แสงแดดพอลอดเข้ามาได้

ฟู่ถิงจวินงุนงง

ชายหนุ่มเหินกายขึ้นไปบนขื่อห้อง จากนั้นแค่เขย่งส้นเท้าก็แตะถูกแผ่นกระเบื้องโปร่งแสง เขาดึงมันออกอย่างเบาไม้เบามือ

นางตะลึงพรึงเพริด

เรือนพำนักและห้องหับที่ตนเองนึกว่าปลอดภัย สำหรับเขาแล้วเปรียบดั่งที่รกร้างว่างเปล่า

ใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดขัดขวางเขาได้อีก

สมดังคำว่าแผ่นฟ้ากว้างวิหคโบยบินอย่างเสรี ท้องนทีไพศาลมัจฉาแหวกว่ายได้ดั่งใจ

สีหน้านางนิ่งขึงไป

ทำไมไม่…

นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ครั้นเห็นว่าเขาเจียนจะดึงแผ่นกระเบื้องโปร่งแสงออกหมดแล้ว นางก็กวักมือเรียกเขา

ภายใต้แสงจันทร์ เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน แต่ยังคงกระโดดลงมา

“ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านผู้กล้าเรื่องหนึ่ง” นางยืนตัวตรงหันหลังให้หน้าต่าง ใบหน้าซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด ทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัดถนัดตา “ท่านก็เห็นแล้วว่าสถานการณ์ข้ายังน่าวิตก เรื่องที่ท่านไหว้วานข้า เกรงว่าจะลำบากอยู่สักหน่อย”

“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็ยุติเท่านี้เถอะ” เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ขอแค่เจ้าไม่เปิดเผยเบาะแสของข้า ข้าก็จะไม่มารบกวนเจ้าอีก…”

คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนพูดง่ายอย่างนี้

ฟู่ถิงจวินโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ไม่ใช่ๆๆ ท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว” นางหยุดเว้นจังหวะก่อนพูดกระซิบ “หลายวันก่อนข้าผิดใจกับลูกผู้พี่ผู้น้องเลยถูกท่านย่าลงโทษ ส่งตัวมาสำนึกผิดที่อารามปี้อวิ๋น พอคิดถึงว่าท่านแม่อยู่ที่จวนต้องทุกข์ใจเป็นห่วงข้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ อยากเขียนสารถึงท่าน แต่บ่าวไพร่พวกนี้กลับได้รับคำสั่งของท่านย่า ไม่ให้ข้าออกนอกหอจิ้งเยวี่ย

ทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงช่วยมิได้ที่จะทำอะไรไม่ถี่ถ้วนไปบ้าง ตอนนี้แม้สาวใช้ของข้าคนหนึ่งไม่สบาย คนหนึ่งต้องดูแลคนป่วย แต่ข้าก็สามารถตั้งอกตั้งใจจัดการเรื่องที่ท่านผู้กล้าไหว้วานได้ ไม่ว่าท่านต้องการธัญพืชหรือยาสมุนไพร ข้าจะหาวิธีช่วยท่านเอง เพียงแต่ข้าห่วงใยท่านแม่จริงๆ ท่านจะช่วยส่งสารถึงท่านแม่ข้าได้หรือไม่” นางมิได้มีเจตนาโกหกเขา คนเรารู้จักกันผิวเผินย่อมไม่สะดวกจะบอกทุกอย่าง มีบางเรื่องที่นางเอื้อนเอ่ยออกจากปากไม่ได้จริงๆ

ยามอยู่เบื้องหน้าเขา นางเปราะบางเฉกเช่นเดียวกับเครื่องกระเบื้อง เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายนางได้ทุกเมื่อ การเอ่ยขอร้องแบบนี้ออกจะเพ้อฝันไปบ้าง นางได้แต่โน้มน้าวใจเขาอย่างละมุนละม่อม “บิดาข้าเป็นอาจารย์ในสำนักราชบัณฑิต ส่วนมารดาข้าเป็นแม่เหย้าแม่เรือนที่เก่งมาก หลายปีนี้ยังทำการค้าขายอีกด้วย หากท่านผู้กล้าสามารถยื่นมือช่วยเหลือ ท่านแม่จะต้องซาบซึ้งใจอย่างล้นเหลือ ถึงเวลานั้นท่านผู้กล้าก็นำพาพี่น้องลงหลักปักฐานได้ ในเมื่อทั้งคลี่คลายสถานการณ์ลำบากให้ข้าได้ ทั้งทำให้พี่น้องท่านมีที่พำนักอย่างสุขกายสบายใจ จะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายหรือไร”

เขาไม่พูดไม่จา เพ่งมองนางเงียบๆ

แสงไฟสีแดงนอกหน้าต่างตกกระทบใบหน้าเขา นางพบว่าขนคิ้วของเขาทั้งดกทั้งดำ นัยน์ตายังคมเข้มดั่งบึงน้ำลึกสุดหยั่งใต้ร่มเงาต้นหลิว มันลึกล้ำเสียจนเห็นประกายสีเขียวเรื่อๆ วูบหนึ่งชวนให้พรั่นพรึง

ฟู่ถิงจวินขลาดกลัวขึ้นมาฉับพลัน

หรือว่าตนเองใช้วิธีการผิด?

แต่เสี้ยวขณะนี้ลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยว ไม่อาจไม่ยิงออกไปได้ ขลาดกลัวไปจะมีประโยชน์อันใด

นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ในอารามมีคนมากขนาดนี้ แต่เรือนครัวไม่เคยเหลือข้าวข้ามคืน ฉะนั้นอาหารทุกวันจะต้องทำเท่าจำนวนคนอย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกนางก็ต้องไปหยิบข้าวในยุ้งฉางทุกวัน ขอแค่ข้าจับตาดูพวกแม่ชีในเรือนครัวตอนทำอาหาร ก็จะสืบได้ว่ายุ้งฉางอยู่ไหน…”

“สารอยู่ที่ใด” เขากล่าวโพล่งขึ้นตัดบทนาง

“เอ๊ะ!” ฟู่ถิงจวินคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ด้วยชายหนุ่มเอ่ยถามกะทันหันเกินไป

“ข้าถามเจ้าว่าสารอยู่ที่ใด” เขาเอ่ยเป็นจังหวะจะโคน ดวงตาเปล่งประกายประหลาดวูบหนึ่ง

ฟู่ถิงจวินยินดีแทบคลั่ง แต่ยังไม่กล้าเผยออกมาทางสีหน้า กลัวจะเป็นการยั่วโทสะบุรุษที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตรงหน้าโดยไม่ระวัง ทำให้เรื่องของนางบานปลายออกไปอีก ไหนเลยจะมีแก่ใจไปขบคิดถึงประกายประหลาดๆ ในดวงตาเขา

“ท่านผู้กล้าโปรดรอสักครู่!” นางพูดพลางสาวเท้าฉับๆ ไปยังข้างเตียง หยิบหมึกพู่กันกับกระดาษใต้พื้นเตียงออกมา เทน้ำฝนหมึก เอาพู่กันจุ่มหมึกเขียนสารถึงบ้านอย่างว่องไวที่สุดแล้วยื่นส่งให้เขา

“ท่านผู้กล้านำสารฉบับนี้ส่งให้กับภรรยาของปี้ปอ แล้วขอให้นางมอบต่อให้ท่านแม่ข้าก็พอ” ฟู่ถิงจวินกล่าว

เขารับสารมาแล้วยัดเก็บไว้ในอกเสื้อ จากนั้นดึงแผ่นกระเบื้องออก พอปีนออกไปแล้วก็วางปิดกลับเข้าที่เดิม

หญิงสาวแหงนหน้ามองแผ่นกระเบื้องสีขาวเกลี้ยง พรูลมหายใจเฮือกยาว รู้สึกราวกับเบาสบายไปทั้งสรรพางค์กาย

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com