ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่สี่
ราตรีนั้น ฟู่ถิงจวินหลับสนิทอย่างหาได้ยาก
วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่น แม้ไม่ถึงกับดูสดใสร่าเริง แต่สีหน้าหญิงสาวกลับแช่มชื่นผิดจากท่าทางหม่นหมองในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ป้าเฉินบังเกิดความสงสัย เฝ้าชำเลืองมองนางไม่หยุด
ปล่อยให้เจ้าเดาเสียให้พอ!
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วแอบดีใจ นางยกมุมปากโค้งขึ้น เสียงพูดยังแฝงความนุ่มนวลสามส่วน
ป้าเฉินขมวดคิ้วถี่ๆ
ฟู่ถิงจวินแสร้งทำไม่เห็นแล้วไปที่ห้องของหานเยียน
นางกำลังนอนพักอยู่บนเตียง พอเห็นฟู่ถิงจวินก็พยายามจะลุกขึ้น “คุณหนู!”
ฟู่ถิงจวินกดบ่านางไว้ “เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
หญิงสาวเลิกขากางเกงของสาวใช้ขึ้นเบาๆ ดูอาการ ทั้งแดงทั้งบวมจนน่าตกใจอย่างยิ่งยวด
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หานเยียนกลัวนางเป็นห่วง รีบดึงขากางเกงลงปิดแผล “กั่วฮุ่ยซือฟู่บอกว่าอีกสองวันก็ลงจากเตียงได้แล้วเจ้าค่ะ”
ลวี่เอ้อยกน้ำชาเข้ามา “คุณหนู ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนป้าเฉินนอนเฝ้าอยู่ที่ห้องของท่านหรือเจ้าคะ”
“ไม่ต้องสนใจนาง” หานเยียนเป็นแบบนี้ไปแล้ว นางไม่อยากดึงสาวใช้สองคนนี้เข้ามาพัวพันอีก “นางอยากทำอะไรก็ช่างปะไร เรื่องผ่านมาสองเดือนกว่า ข้าไตร่ตรองดูแล้วอีกระยะหนึ่งก็น่าจะมีข้อยุติสักที ถึงอย่างไรพวกเราไม่อาจพำนักอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นไปตลอดกระมัง! พักก่อนเป็นข้าใจร้อนเกินไปเอง”
สาวใช้ทั้งสองนั้นมีจิตใจใสซื่อ อีกทั้งฟู่ถิงจวินก็เป็นคุณหนูของพวกนาง เป็นธรรมดาที่จะเชื่อถือคำพูดของนางโดยไม่กังขา
ทั้งสามสนทนากันครู่หนึ่ง ฟู่ถิงจวินถึงไปที่เรือนของกั่วฮุ่ยซือฟู่
“ข้าดูรอยแผลตามตัวหานเยียนแล้ว น่าจะต้องใส่ยาบ้างถึงจะหาย” นางขอยาสมานแผลกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ “ถ้ามียาบำรุงเลือดลมมาฟื้นฟูร่างกายอีกสักหน่อยก็จะยิ่งดีเจ้าค่ะ”
กั่วฮุ่ยซือฟู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบขวดกระเบื้องพื้นขาวลายเขียวขวดหนึ่ง กับขวดกระเบื้องพื้นขาวลายแดงขวดหนึ่ง “ขวดนี้เป็นยาทา ขวดนี้เป็นยากิน ยาทาใช้ทาวันละหนึ่งครั้ง ส่วนยากินให้กินเช้าเย็นครั้งละหนึ่งเม็ด”
“ซือฟู่ช่างตระหนี่เหลือเกิน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยพลางกวาดเอาขวดยาทั้งสองอย่างในตู้ลิ้นชักทั้งหมดมาหอบไว้ในอ้อมแขน
กั่วฮุ่ยซือฟู่ประหลาดใจที่นางเสียมารยาท จึงเอ่ยขึ้น “อันยารักษาโรคนั้นใช่ว่ามากแล้วจะดีเสมอไป เดิมทีอาการของหานเยียนไม่หนักหนาอะไร จะใช้หรือไม่ก็ได้ คุณหนูเก้าอย่าให้ความหวังดีกลายเป็นผลร้าย”
ฟู่ถิงจวินหน้าชาเห่อ
ตนเองถึงกับมีพฤติกรรมเยี่ยงโจรตามอย่างคนผู้นั้น เข้าตำราว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิดโดยแท้ แต่นางก็สุดปัญญาเช่นกัน ใครจะรู้ว่ายังมีเรื่องต้องขอร้องเขาอีกหรือไม่ ในมือมียาหลายขวดก็มีเบี้ยต่อรองมากขึ้น
“ซือฟู่อย่าถือโทษข้าเลย” นางถอนใจ “ข้ากำลังคับอกคับใจ ซือฟู่ก็ปล่อยให้ข้าทำฤทธิ์ทำเดชไปเถอะ”
กั่วฮุ่ยซือฟู่มองนางปราดหนึ่งอย่างค้นหาความนัยโดยไม่กล่าววาจาใดอีก
ฟู่ถิงจวินไปที่เรือนครัว “ข้าอยากทำหมี่ผัดต้นหอมเอง”
พวกแม่ชีหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าในหอจิ้งเยวี่ยเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง รู้แค่ว่าอารามปี้อวิ๋นได้รับการอุปถัมภ์จุนเจือจากสกุลฟู่ คนของสกุลฟู่ก็เปรียบได้กับบิดามารดาผู้อุปการะเลี้ยงดู ฉะนั้นพวกนางบ้างก็ช่วยนวดแป้ง บ้างก็เช็ดเขียง บ้างก็ช่วยคลึงแป้งให้เป็นแผ่นกันด้วยความกระวีกระวาดอย่างยิ่งยวด
ฟู่ถิงจวินผสมแป้งไปพลางพูดคุยกับแม่ชีทั้งหลายไปพลาง “ข้าจำได้ว่าหลายวันก่อนทางจวนฟู่ยังส่งเส้นหมี่มาให้ที่อารามด้วย แล้วเหตุใดไหข้าวสารถึงว่างเปล่า”
“หลายวันก่อนมีขโมยเข้ามามิใช่หรือเจ้าคะ” แม่ชีกำลังต้มน้ำรอลวกเส้นหมี่ “ทุกวันจะหยิบออกมาเพียงเท่านี้ จะได้ไม่โดนขโมยไป ตอนนี้ราคาข้าวสารแพงขึ้นจนน่าใจหายเลยนะเจ้าคะ…”
พอทำเส้นหมี่เสร็จ ฟู่ถิงจวินก็ได้รู้เรื่องที่อยากรู้ นางกินสองสามคำ แล้วให้แม่ชีน้อยคนหนึ่งยกส่วนที่เหลือไปให้หานเยียนกับลวี่เอ้อ ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตนเอง
ป้าเฉินออกมาต้อนรับ “คุณหนูเก้า จะจัดสำรับอาหารกลางวันได้หรือยังเจ้าคะ”
“ข้ากินมาแล้ว” ฟู่ถิงจวินเหยียดยิ้มมุมปาก ปรายตามองคนงานหญิงสองคนด้านหลังแวบหนึ่ง “หรือว่าพวกนางมิได้บอกเจ้า” นางพูดจบก็ปิดประตูเสียงดังโครม
ป้าเฉินมองคนงานหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าเครียดขรึม
“ป้าเฉิน” สีหน้าของพวกนางกระวนกระวายเต็มเปี่ยม…
หน้าต่างยาวลงรักแดงเป็นรอยแตกลายงาครึ่งบาน หนังสือ ‘เรื่องปกิณกะ’ สองเล่มที่นำมาจากจวนวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง ม่านผ้าฝ้ายสีขาวถูกรวบเก็บแล้วเกี่ยวไว้ด้วยตะขอทองเหลืองลายนกสาลิกาดงเกาะกิ่งเหมย กำแพงอิฐสีเทายังหลงเหลือคราบน้ำจากการเช็ดถู
เห็นได้ชัดเจนอย่างมากว่าตอนที่นางไม่อยู่ ภายในห้องผ่านการปัดกวาดเช็ดถูหมดทุกซอกทุกมุม
ฟู่ถิงจวินเบะปาก นางคิดคำนึงในทางร้าย ไม่แน่ว่าป้าเฉินคงสบช่องรื้อค้นห้องของนางจนทั่วก็เป็นได้…
นางเอาขวดยาทากับยากินวางเก็บในตู้ลิ้นชักอย่างละหนึ่งขวด ส่วนที่เหลือเก็บลงในหีบ จากนั้นหมุนกายนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสือ
ตอนนี้เป็นยามเที่ยงตรง แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องผ่านหลังคา กำแพงรั้ว และต้นไผ่เงินที่พลิ้วสะบัดไหวไปตามลมร้อนผ่าวๆ ชายคาเรือนกับหน้าต่างยาวช่วยกั้นแสงแดดไว้ทำให้ภายในห้องสงบวิเวก
ความวิตกกังวลที่หลงลืมไปเพราะธุระวุ่นวายหวนกลับมาเกาะกุมใจหญิงสาว
นับๆ เวลาดู เขาน่าจะเข้าเมืองไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาจะได้พบกับภรรยาของปี้ปออย่างราบรื่นหรือไม่
ท่านแม่จะฝากคำพูดอะไรมากับเขานะ
คนในเรือนของนางมีส่วนหนึ่งเป็นบ่าวเก่าแก่ในสกุลฟู่ และมีที่ซื้อมาจากชนบทอีกหลายคน คนกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นล้วนถูกส่งตัวไปอยู่คฤหาสน์โรงนาด้วยเหตุผลว่าเป็นโรคระบาด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีพ่อแม่หรือพี่น้องของพวกนางไปเยี่ยมเยียนโดยไม่คำนึงถึงโรคภัย…ก็ไม่รู้ว่าคำโป้ปดนี้จะถูกเปิดโปงหรือไม่
อีถง อวี่เวย เจ๋อหลิ่ว เจี่ยนเฉ่า…เป็นใครกันแน่ที่ทำเรื่องเลอะเลือนพรรค์นี้ขึ้นจนทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก…
ยังมีท่านย่ากับป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่เล่า
ท่านแม่เขียนสารถึงท่านพ่อหรือยัง
นางยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งร้อนรน จึงขึ้นเตียงนอนพักไปเสียเลย
ถ้าตอนออกจากจวนนำพิณติดตัวมาด้วยก็คงจะดี ยามจิตใจว้าวุ่นจะได้ดีดพิณสงบจิตใจ
แต่พิณคือสื่อเสียงแห่งใจ ในกาลก่อนมิได้ใกล้ชิดกับกั่วฮุ่ยซือฟู่มากนัก ตอนนี้เพิ่งรู้ว่านางเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก หากดีดพิณสักเพลงจริงๆ ไม่แน่ว่านางอาจล่วงรู้ถึงความในใจของตนจนหมดเปลือก…
ขณะที่ฟู่ถิงจวินกำลังคิดฟุ้งซ่าน มีคนเคาะบานหน้าต่างด้านทิศตะวันออกเบาๆ ดังก๊อกๆๆ
“ใคร” นางเดินไปริมหน้าต่างอย่างตื่นเต้น
“ข้าเอง” สุ้มเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
หากแต่ยามมันกระทบโสตประสาทของนางกลับเป็นเช่นเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์
คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมารวดเร็วปานนี้
“ท่านลงมาทางหลังคาเหมือนเดิมเถอะ” ฟู่ถิงจวินลิงโลดใจ “ประเดี๋ยวป้าเฉินจับได้ว่าแผ่นไม้ที่ตอกติดกับหน้าต่างถูกงัดออก จะเกิดเรื่องยุ่งยากมากขึ้นอีก”
เสียงนอกหน้าต่างเงียบหายไป
ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไปเล็กน้อย
เขาคงมิได้มีน้ำโหเพราะเหตุนี้กระมัง
นางแนบหูฟังอย่างตั้งใจ
ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น
ทว่าด้านหลังพลันมีคนส่งเสียงขึ้น “เจ้าทำอะไรอยู่”
ฟู่ถิงจวินสะดุ้งโหยงหมุนตัวขวับ มองเห็นเขายืนอยู่ข้างหลังตนเอง พอแหงนหน้าขึ้น กระเบื้องโปร่งแสงบนหลังคาถูกดึงออกไป แสงแดดส่องลอดเข้ามาเป็นลำ บันดาลให้ภายในห้องสว่างไสวขึ้นมา
เหตุไฉนทุกคราที่เขาเข้ามาล้วนทำให้ขวัญหนีกระเจิงเช่นนี้นะ
นางลอบค่อนขอดในใจ แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าแม้สักนิด
หญิงสาวลุกลนไปปิดหน้าต่าง แนบหูกับประตูฟังเสียงชั่วครู่หนึ่งถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเชิญเขานั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ และรินน้ำชาให้ถ้วยหนึ่ง
ใบหน้าเขาถูกแดดเผาจนแดงก่ำ เส้นผมตรงจอนหูเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ เสื้อคลุมสั้นสีดอกติงเซียงม่วงตุ่นๆ บนตัวสะอาดเรียบร้อย เขายังสวมรวมรองเท้าฟางด้วย
ฟู่ถิงจวินมองรองเท้าฟางคู่นั้นซ้ำอีกครา
เขากระดกน้ำชาที่นางรินให้รวดเดียวหมดอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นยื่นถ้วยชาให้นาง “เปลี่ยนเป็นชามใหญ่ๆ แล้วรินมาอีกชามหนึ่ง”
ฟู่ถิงจวินข่มใจไว้ถึงได้ไม่ถลึงตาใส่เขา “ในห้องข้าไม่มีชามใหญ่ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกกาน้ำชามา” เขากล่าวอย่างไม่เอาใจใส่
มุมปากของนางกระตุกริกๆ ขณะถือกาน้ำชามา
เขารินชาลงในถ้วยชาแล้วดื่มรวดเดียวหมด
ยังดีที่เขาไม่ยกกาน้ำชามากรอกเข้าปาก ไม่เช่นนั้นนางคงต้องอธิบายกับป้าเฉินว่าเพราะอะไรอยู่ดีๆ ตนเองถึงไม่ต้องการกาน้ำชาใบนี้แล้ว
ฟู่ถิงจวินบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าต้องรักษามารยาทตามปกติไว้ รอจนเขาดื่มชาหมดแล้วค่อยเอ่ยปากถามไถ่…
เขาวางถ้วยชาลง “ข้าไม่พบภรรยาของปี้ปอ คนของสกุลฟู่บอกว่านางปรนนิบัติคุณหนูเก้าที่เป็นไข้แดดอยู่ในอารามปี้อวิ๋น”
“อะไรนะ!” นางใจเต้นดุจรัวกลอง ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด
ป้าฝานร้องถามอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู “คุณหนู ท่านมีอะไรจะกำชับหรือเจ้าคะ”
ข่าวน่าพรั่นพรึงที่เขานำมา ประกอบกับความรังเกียจที่มีต่อพวกป้าเฉินซึ่งเก็บงำอยู่ภายในใจ ทำให้อารมณ์ของฟู่ถิงจวินเดือดพล่านขึ้นมากะทันหัน นางเอ่ยด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าอยากกินไข่ เจ้าทำได้หรือไม่เล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งเสียงดังจ้อกแจ้กหนวกหูข้า”
นอกประตูเงียบกริบ
พอได้ระบายความโกรธแล้ว ฟู่ถิงจวินเยือกเย็นลงมาก
ภรรยาของปี้ปอมิได้กลับไปที่สกุลฟู่ เช่นนั้นนางไปอยู่ที่ใด
ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าภรรยาของปี้ปอหายตัวไป แล้วรู้หรือไม่ว่านางถูกกักบริเวณอยู่ในอารามปี้อวิ๋น
ใจนางร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอยู่ “แล้วท่านได้พบท่านแม่ข้าหรือไม่”
ถ้อยคำหลุดออกจากปาก นางก็รู้ว่าตนเองพูดผิดไป!
เขาเป็นบุรุษ ส่วนท่านแม่อยู่เรือนหลัง ยามกลางวันแสกๆ เขาจะพบหน้าท่านแม่ได้อย่างไรกัน
แต่นางอยากพบกับท่านแม่เหลือเกินจริงๆ ไม่แน่ท่านแม่อาจถูกปิดหูปิดตาเช่นเดียวกับนาง
เป็นผู้ใดกันแน่ที่สั่งการเรื่องทั้งหมดนี้
ท่านย่า? ป้าสะใภ้ใหญ่?
ฟู่ถิงจวินร้อนรนจนใจคอไม่ดี
น่าเสียดายที่พี่ชายของนางพาพี่สะใภ้กับหลานติดตามท่านพ่อไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นนางจะได้ไปขอความเห็นจากพี่ชาย!
มาตรว่าบุรุษผู้นี้จะเหาะเหินเดินอากาศได้ ทว่าชายหญิงต่างกัน ฉะนั้นการไปพบท่านแม่ยามวิกาลจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง…
นางตรึกตรองแล้วถอดกำไลหยกเนื้อดีสีขาวใสบริสุทธิ์ข้างหนึ่งออกจากข้อมือแล้ววางบนโต๊ะชา “ท่านผู้กล้า ข้าสืบถามจนกระจ่างแล้วว่ายุ้งฉางอยู่ที่ห้องใต้ดินด้านล่างแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ในพระอุโบสถ ข้าอยากจะขอให้ท่านผู้กล้าไปที่จวนสกุลฟู่อีกครั้งหนึ่ง ท่านนำกำไลข้างนี้ไปจำนำแลกเงินซื้อเสื้อคลุมไหมสักชุด บอกว่าบิดาข้าส่งสารมาจากเมืองหลวง และขอพบกับมารดาข้าโดยตรง”
เขานั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาจับอยู่ที่กำไลหยกข้างนั้น ครู่ใหญ่ถึงเงยหน้าขึ้น “คุณหนูเก้า ดูเหมือนความคิดของท่านล้วนแล้วไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่!”
ชายหนุ่มชำเลืองตามองนาง ใบหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึก ดวงตาเขาดำสนิทปานบ่อน้ำลึก
ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไปเป็นนาน
นี่เขาหมายความว่าอะไร
ประชดว่านางละเมอเพ้อพกหรือ?
ในเมื่อใช้ทางลัดไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นทางตรง บุกเข้าไปขอพบอย่างเปิดเผย…นี่มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ
“ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าคนที่จะได้รับมอบหมายให้นำสารส่งกลับบ้านต้องเป็นคนสนิท คนในจวนท่านนั้นไม่มีใครสักคนรู้จักข้า อีกอย่างตอนนี้ท่านลุงใหญ่ของท่านเป็นประมุขของสกุลฟู่ หากข้าไปส่งสาร สิ่งแรกที่ต้องกระทำก็คือไปคำนับท่านลุงใหญ่ของท่าน ถ้าเขาเอ่ยถามว่าบิดาท่านอยู่ในเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ข้าควรจะตอบเช่นไรเล่า” เขาถามนางเสียงเบา
ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้าง
แบบนี้อาจเสี่ยงอันตรายเล็กน้อย แต่นอกจากวิธีนี้แล้ว นางก็คิดหาหนทางที่ดีกว่า ตรงไปตรงมากว่า และได้ผลมากกว่านี้ไม่ออกแล้ว!
“เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวข้าให้ท่านฟังก็แล้วกัน” นางเอ่ยทันที “ท่านจะได้พูดโต้ตอบกับท่านลุงใหญ่สักสองสามคำ พอถึงเวลาเพียงบอกว่าเป็นเรื่องเร่งร้อนสำคัญ ยืนกรานขอพบท่านแม่ข้า ท่านลุงใหญ่จะขัดขวางท่านก็คงไม่ถนัดนัก…”
“ข้าแปลกใจมาโดยตลอด” เขาตัดบทนาง “ด้วยความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านมีอยู่ ต่อให้มีเรื่องผิดใจกับพวกลูกพี่ลูกน้องก็น่าจะเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดายจึงจะถูก ไยถึงตกอยู่ในสภาพถูกกักตัวในอารามปี้อวิ๋นได้เล่า” เขาเพ่งมองนาง “ข้าได้ยินคนในเมืองพูดว่าในครอบครัวท่านมีคนคบชู้สู่ชาย ซ้ำยังถูกจับได้คาหนังคาเขา ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเป็นความจริงหรือไม่…”
ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ…นี่จะชมเชยหรือประชดนาง?
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้น ห้วงสมองของฟู่ถิงจวินก็อึงอลว่างเปล่าไปเพราะคำว่า ‘คบชู้สู่ชาย’ นานครู่ใหญ่กว่าจะดึงสติคืนมาได้
“ท่านว่าอะไรนะ” นางเข่าอ่อนล้มลงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือด้านหลัง
ความแตกแล้ว…ความแตกแล้ว สุดท้ายกระดาษห่อไฟไม่มิด* ตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องกันหมด สกุลฟู่มีคนอยู่สักกี่มากน้อยเชียว ช้าเร็วก็ต้องเดาได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง…ถึงตอนนั้นนางจะสู้หน้าใครได้!
จะทำอย่างไร ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี
มือเท้าของนางเย็นเฉียบ
ไยจึงเป็นเช่นนี้
ผู้อาวุโสในจวนเล่า?
เรื่องพรรค์นี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไหร่ยิ่งเกิดปัญหาได้ง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งนางยังรู้เหตุผลข้อนี้ มีหรือที่ผู้อาวุโสในจวนจะไม่รู้ เหตุใดจึงไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ เล่า
นางเป็นบุตรสาวของนายท่านห้า ถูกกักตัวอยู่ในอารามปี้อวิ๋น แต่คนที่ดูแลนางเป็นคนของป้าสะใภ้ใหญ่…ส่วนภรรยาของปี้ปอคนสนิทของท่านแม่ก็หายตัวไปไม่รู้เบาะแส ทั่วทั้งจวนมีคนเยอะแยะอย่างนั้นกลับไม่มีใครสักคนสังเกตเห็น ลุงใหญ่เคยเป็นนายอำเภอมาก่อน ทำคดีน้อยใหญ่และไต่สวนการฟ้องร้องป้ายสีมาตั้งมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไฉนแม้แต่จั่วจวิ้นเจี๋ยก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้ข่าวลือแพร่กระจายออกไป หรือลุงใหญ่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะก่อความเสียหายต่อสกุลฟู่อย่างรุนแรงปานใด
ฟู่ถิงจวินยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งคิดยิ่งหนาวเหน็บใจ มีบางเรื่องที่นางหลบเลี่ยงไม่อยากไปคิดมาตลอด ครั้นพอเริ่มต้นคิดมันก็ไหลบ่าเข้ามาทันใด
คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามขยับปากขึ้นๆ ลงๆ พูดอะไรบางอย่าง ทว่านางไม่ได้ยินสักนิด
เขาเคาะโต๊ะชาก๊อกๆ แต่เสียงของมันกลับดังก้องประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า ปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์
นางแลมองเขาอย่างงุนงง
“ข้าสืบข่าวมาได้เรื่องหนึ่ง” เขามองนางด้วยสีหน้าเฉยเมยปึ่งชา “เดือนหน้าสกุลอวี๋ที่ตรอกเฟิงเล่อเมืองหนานจิงจะส่งคนมาหารือฤกษ์หมั้นหมาย เพราะเรื่องนี้ทำให้สกุลฟู่รีบเร่งปัดกวาดเช็ดถู ตกแต่งประดับประดาคฤหาสน์…”
สกุลอวี๋จะมาหารือฤกษ์หมั้นแล้ว!
ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่ามีกระไอเย็นวาบๆ แผ่ซ่านรอบตัว
ถ้าพวกเขารู้ถึงความขัดแย้งระหว่างนางกับจั่วจวิ้นเจี๋ย จะต้องถอนหมั้นเป็นแน่
ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของนางคงย่อยยับป่นปี้ ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ล้างมลทินไม่หมด…
“ก่อนหน้านี้ท่านกับข้าเคยตกลงรับปากกันไว้ ท่านช่วยข้าสืบถามที่ตั้งของยุ้งฉาง ส่วนข้าช่วยส่งสารไปถึงมารดาท่าน” เขาทำสีหน้านิ่งขรึมเย็นชา “ในเมื่อท่านทำตามคำสัญญาแล้ว ข้าก็มิใช่คนไม่รักษาคำพูด” ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นทอประกายคมปลาบดุจคมมีดเฉียดผ่านใบหู ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน “ข้าคิดว่ามีบางเรื่อง คุณหนูเก้าสมควรมีคำตอบให้ข้า หาไม่แล้ว หากข้าส่งสารไปไม่ถึง จะมิกลายเป็นคนถ่อยไร้สัจจะหรอกหรือ”
แล้วจะพูดอย่างไรเล่า
บอกว่าตนเองถูกคนป้ายสีว่าคบชู้? เขาจะเชื่อไหม
กระทั่งป้าเฉินยังกล่าววาจาทำนองว่า ’แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว‘ ออกจากปากได้…หากนางบอกออกไป จะมิเป็นการฉีกหน้าตนเองหรือไร
ใบหน้าของฟู่ถิงจวินแดงก่ำเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอกระนั้น
เขาไม่เปล่งเสียงพูด เพียงนั่งอยู่ที่เดิมมองนางเงียบๆ
บรรยากาศค่อยๆ ตึงเครียดขึ้น บีบคั้นนางจนแทบหายใจไม่ออก
“หากท่านจะให้ข้าส่งสารไปถึงมารดาท่าน ข้ามีวิธีถมเถไป” เขาเอ่ยปากพูดทำลายความอึดอัด “แต่ถึงอย่างไรข้าเป็นบุรุษ ส่วนมารดาท่านเป็นสตรี อีกทั้งการไปส่งสารโดยไม่รู้สถานการณ์แจ่มแจ้งอย่างนี้ เกรงว่าข้าเองก็จนใจ ท่านให้ข้าช่วยเหลือเรื่องอื่นจะดีกว่า…”
ถ้าไม่มีเขา นางคงลำบากติดขัดไปทุกทาง
พอเห็นเขาจะถอนตัวกลางคัน ฟู่ถิงจวินร้อนใจขึ้นมา
“ไม่!” หญิงสาวตวัดเสียงสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าบอกท่าน…ข้าบอกท่าน…”
ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
นางก้มหน้าลงไม่อยากให้ตนเองหลั่งน้ำตา และยิ่งไม่อยากเห็นแววดูแคลนในดวงตาเขา
“น้องชายแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า เติบโตอยู่ในจวนตั้งแต่เล็ก…” เสียงของนางเอื่อยเฉื่อยไร้ชีวิตชีวาเหมือนดั่งกระแสธารที่ถูกกีดขวาง
เขารับฟังโดยไม่พูดอะไร รอเมื่อนางเล่าจบ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านกำลังสงสัยท่านลุงใหญ่ของท่านอยู่รึ” น้ำเสียงเขาไม่ต่างจากเดิม เรียบสนิทราวกับกำลังถามว่านางกินข้าวหรือยัง
ฟู่ถิงจวินเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง
เขาขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแล้วเป็นผลดีอะไรต่อเขา ต่อสกุลฟู่ ข้าว่ากลับเป็นจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นที่มีพิรุธมาก…”
เขาไม่เพียงไม่สงสัยนาง ซ้ำยังช่วยนางพินิจพิเคราะห์….
นางมองเขาตาลอย ไม่รู้ว่าควรเอื้อนเอ่ยคำใดดี
เขาไพล่พูดไปอีกทาง “ท่านวาดภาพเป็นหรือไม่”
นางผงกศีรษะอย่างฉงนสนเท่ห์
เขากล่าว “เช่นนั้นก็ดี ท่านวาดผังของจวนสกุลฟู่ให้ข้าที ตอนไปถึงที่นั่นข้าจะได้ไม่หลงทาง”
เขาจะเข้าจวนไปสืบข่าวหรือ
ฟู่ถิงจวินรีบหยิบหมึกพู่กันกับกระดาษออกมา หยุดความคิดต่างๆ ลงแล้วตั้งสมาธิวาดผังจวน
เขาไล่ชี้ตามจุดต่างๆ ในภาพพร้อมถาม “นี่เป็นเรือนของท่านย่าของท่าน? ส่วนนี่เรือนของท่านลุงใหญ่…”
นางพยักหน้าทุกครั้ง
เขาลุกขึ้น “ข้าจะกลับมาอีกทีตอนกลางดึก”
ฟู่ถิงจวินอยากจะดึงแขนเสื้อเขาไว้ พอเอื้อมมือออกไปก็รู้สึกว่าเสียมารยาท จึงหดมือกลับแล้วกล่าวเตือนเขา “ผังจวน!”
“ข้าจำได้แล้ว” เขาพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก่อนจะกระโจนตัวขึ้นไปบนขื่อห้อง
“ท่านผู้กล้า!” นางแหงนหน้าเรียกเขา
เขาก้มหน้ามองนาง
นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ข้า…ข้าถูกใส่ร้ายป้ายสี!”
เขาพยักหน้าแล้วพลิกกายขึ้นไปบนหลังคา
แผ่นกระเบื้องถูกวางเรียงกลับเข้าที่ทีละแผ่นกั้นแสงอาทิตย์ไว้ภายนอก ส่งผลให้แสงในห้องสลัวลงจนเห็นเงาร่างของนางได้เลือนราง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหวาดหวั่นว้าวุ่นใจจากการที่เรื่องราวเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ หรือเป็นความโกรธเกรี้ยวต่อเสียงเล่าลือที่ถูกต่อเติมเสริมแต่งพวกนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นความคับข้องหมองใจที่ถูกปรักปรำ หรือเป็นความตื้นตันใจที่บุรุษผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ
น้ำตาของหญิงสาวไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป นางซบหน้ากับเตียงเริ่มต้นร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง
ป้าเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก “คุณหนูเก้า คุณหนูเก้า…”
นางไม่อยากพบหน้า ไม่อยากสนใจใครทั้งสิ้น
“ข้าได้ยินเสียงร้อง…อีกอย่างดูเหมือนจะมีเสียงคนคุยอะไรกันอยู่…” เป็นเสียงของป้าฝาน น้ำเสียงของนางแฝงรอยกระวนกระวาย
“พังประตู!” เสียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนป้าเฉินพูดสั่งขึ้น “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด”
ด้านนอกมีเสียงคนขานรับ จากนั้นก็เริ่มกระแทกประตูดังปึ้งๆๆ
ฟู่ถิงจวินเอนตัวนอนนิ่งอยู่ที่เดิม
บานประตูหลุดออกล้มลงกับพื้นดังโครม
ป้าเฉินเห็นนางนอนอยู่บนเตียงก็รีบวิ่งถลาเข้าไป
“ออกไป!” หญิงสาวนอนนิ่งๆ ไม่ขยับกาย ร้องตวาดออกมาคำหนึ่ง
ป้าเฉินประหลาดใจมาก แต่สีหน้าผ่อนคลายลง นางทำไม้ทำมือบอกพวกป้าฝาน จากนั้นถอยออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เหลือคนทิ้งไว้สองคนอยู่ช่วยกันซ่อมประตูให้เรียบร้อย
หลายวันต่อจากนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ฉะนั้นต้องตระเตรียมกำลังวังชาให้พร้อม
ฟู่ถิงจวินบอกเตือนตนเองแล้วนอนหลับตลอดยามบ่ายจนเต็มอิ่ม
พอกินอาหารเย็นเสร็จ นางไปเยี่ยมหานเยียนแล้วกลับห้องรอคอยเขาไปพลางอ่านหนังสือ ’เรื่องปกิณกะ‘ ไปพลาง แต่ทว่าอ่านไม่เข้าหัวสักคำ
เขาเป็นใครกันแน่
เหตุไฉนพอได้ยินว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยเอาหลักฐานชิ้นนั้นออกมาแล้วไม่ซักไซ้ไล่เลียงนางดังเก่า
เป็นเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลยไม่แยแส หรือเชื่อว่านางถูกปรักปรำจริงๆ?
ซ้ำเขายังคงช่วยนางส่งสารไปให้ท่านแม่ น่าจะเป็นเพราะเชื่อใจนางมากกว่าอยู่สักหน่อยกระมัง
บางทีเขาอาจแค่ทำตามคำสัญญา?
ขณะที่หญิงสาวปล่อยความคิดเตลิดเปิดเปิงไป มีหินก้อนเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาทางหลังคา
นางรีบวางหนังสือลงแล้วเป่าเทียนดับ
ด้านนอกมีเสียงดังระลอกหนึ่ง พวกป้าเฉินพากันเข้านอน
ท่ามกลางความมืด นางหยิบซาลาเปาไส้ผักสองสามลูกกับโจ๊กข้าวหอมชามหนึ่งในช่องเก็บของบนเตียงออกมา “ท่านผู้กล้ากินข้าวหรือยัง นี่เป็นส่วนที่ข้าเหลือไว้ให้ตอนมื้อเย็น…ท่านกินแก้ขัดไปก่อน”
เขาก็ไม่ได้เกรงอกเกรงใจ นั่งตรงเก้าอี้ไท่ซือแล้วเริ่มกิน
ฟู่ถิงจวินรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา
ทั้งสองสนทนากันไป
“…ตอนไปถึงเรือนพำนักของมารดาท่านเป็นเวลายามสองแล้ว ข้าจึงมิได้เข้าไปรบกวนให้ท่านตื่นตกใจ” เสียงพูดของเขาทุ้มห้าวแข็งกระด้าง แต่กลับทำให้นางสบายใจ “ในห้องเล็กๆ เชื่อมติดกับลานด้านหลังเรือนท่านลุงใหญ่ของท่าน มีบุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกคนหนึ่งพักอยู่ เขามีเรือนกายสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา แต่จมูกโด่งไปสักหน่อย ริมฝีปากค่อนข้างบาง ดูท่าทางหยิ่งทะนงถือตัวอยู่บ้าง…”
“คนผู้นั้นก็คือจั่วจวิ้นเจี๋ย!” ฟู่ถิงจวินลดสุ้มเสียงเบาลงเช่นกัน
“ดูเหมือนเขาถูกกักขังไว้เช่นกัน” เขากล่าว “มีชายร่างใหญ่สองคนเฝ้าอยู่หน้าประตู หน้าต่างห้องยังถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้อีกด้วย”
“คิดไม่ถึงท่านลุงใหญ่จะกักตัวเขาไว้ในจวน…” ในใจฟู่ถิงจวินสับสนเล็กน้อย
ที่แท้เป็นความเข้าใจผิดของนางเองที่สงสัยท่านลุงใหญ่มาโดยตลอด…แต่เพราะอะไรเรื่องราวยังคงลุกลามมาจนถึงขั้นที่สะสางไม่ได้อย่างนี้เล่า
นางเผยสีหน้าแปลกพิกลออกมา
คนสองคนที่พิพาทบาดหมางกัน คนหนึ่งอยู่ในเมือง คนหนึ่งอยู่นอกเมือง กลับตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
“ข้าสืบถามเรื่องในจวนท่านกับบ่าวสกุลฟู่หลายต่อหลายคน ไม่มีใครได้ยินว่าท่านแม่ของท่านมีอะไรผิดปกติ ยังมีบ่าวคนหนึ่งพูดว่าสองวันก่อนเห็นท่านแม่ของท่านกับสะใภ้สามยืนสนทนากันอยู่ใต้ชายคาเรือนท่านย่าของท่าน”
พอถามถึงข่าวลือในเมือง พวกเขามีสีหน้าเดือดดาล บอกว่ามีคนต้องการให้ร้ายสกุลฟู่ แต่ไรมาชาวสกุลฟู่ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย บุรุษอกสามศอกไม่เข้าเรือนหลัง แม้กระทั่งพวกหญิงรับใช้จะไปไหนยังต้องออกมาด้วยกันสองคนทุกครั้ง เรื่องคบชู้สู่ชายอะไรนั่นเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวทั้งสิ้น
ยังมีคฤหาสน์โรงนาที่กักขังคนในเรือนของท่านไว้ตามที่ท่านบอก ข้าก็ไปมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนละแวกนั้นก็ดี หรือคนในคฤหาสน์เองก็ดี ล้วนเชื่อสนิทใจว่าพวกนางเป็นโรคระบาด ว่ากันว่าเพราะเหตุนี้ทำให้มีคนติดโรคจนล้มหมอนนอนเสื่อถึงวันนี้” เขาเอ่ยอย่างลังเล “ข้าสงสัยว่ามิใช่คนในจวนท่านที่ปล่อยข่าวลือนี้ออกมา”
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาถึงกับสืบได้เรื่องมากมายขนาดนี้ภายในเวลาแค่ครึ่งวัน
ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างอัศจรรย์ใจ
“ท่านบอกว่าท่านแม่ข้าไม่เป็นอะไร?”
“อย่างน้อยข่าวที่สืบได้เป็นเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ขอให้เป็นอย่างนั้นเถิด!
ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจโล่งอก นางเว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านสงสัยว่ามีคนใส่ร้ายป้ายสีสกุลฟู่?”
“บอกยาก!” เขาพูดอย่างไม่แน่ใจ “ผู้คนในใต้หล้าต่างดิ้นรนกระเสือกกระสน หากมิใช่เพื่อชื่อเสียงก็เงินทอง จะอย่างไรก็ต้องเป็นเหตุผลสักข้อหนึ่ง ฉะนั้นถ้าไถ่ถามผู้อาวุโสในจวนท่านได้ก็คงจะดี”
ฟู่ถิงจวินเข้าใจความหมายของเขา นางเล่าเท้าความ “ตระกูลข้าอาศัยอยู่ในหวาอิน แต่ไรมาเป็นมิตรกับผู้คน จะแจกทานข้าวต้มหรือซ่อมแซมถนน ไม่เคยบ่ายเบี่ยงบอกปัด เครือญาติที่ผูกดองกันก็สนิทแน่นแฟ้น ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเรื่องผิดใจกับสกุลใด…” นางคิดถึงจั่วจวิ้นเจี๋ย “จะเป็นเขาหรือไม่”
“นี่เป็นจุดที่ข้าคิดไม่ตกมาตลอด” เขาขมวดคิ้ว “ในเมื่อเขาต้องการแต่งท่านเป็นภรรยา ก็ไม่น่าจะทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต มิเช่นนั้นถึงแต่งงานได้สำเร็จก็จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนจนเขาโงหัวไม่ขึ้นทั้งชาติ จะว่าไปแล้วเขาก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง สมควรเข้าใจเรื่องกฎธรรมเนียมมากกว่าใครๆ ท่านหมั้นหมายกับคนของสกุลอวี๋แล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะถอนหมั้นโดยปราศจากเหตุผล เขาคงคิดว่าถ้าตนเองก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งสองตระกูลก็จะถอนหมั้นกันอย่างเงียบๆ กระมัง ยิ่งกว่านั้นบรรพชนสกุลอวี๋โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น สร้างบุญกุศลไว้มาก ส่วนเขาเล่าเรียนศึกษาด้วยความมานะพากเพียรนานนับสิบปี มิใช่เพื่อสอบขุนนางผ่านและเข้ารับราชการเป็นขุนนางหรือ แล้วการล่วงเกินสกุลอวี๋มีผลดีอะไรต่อเขา คุณหนูสิบเอ็ดกับคุณหนูสิบสองของสกุลฟู่ซึ่งอายุน้อยกว่าท่านสองปีล้วนเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก ทั้งยังมิได้หมั้นหมาย แล้วก็มีสินเดิมเจ้าสาวก้อนโต ไฉนเขาเจาะจงเลือกท่านคนเดียว”
ระหว่างที่กล่าววาจา เขาเหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
โคมไฟสีแดงใต้ชายคาสาดแสงเรืองๆ ทะลุช่องหน้าต่างเข้ามา แลเห็นเรือนผมนางดำขลับดุจสีน้ำหมึก ผิวกายขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาเรียวยาวบนใบหน้ารูปไข่เปล่งประกายระยับมีเสน่ห์ดึงดูดใจ โฉมงามเฉิดฉันกว่าดอกโบตั๋นสามส่วน และอ่อนหวานกว่าดอกไห่ถังสามส่วน
เขาฉุกคิดในใจ หรือว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นถูกตาต้องใจในความงามของนาง!
นางเบิกตากว้างมองเขา พาให้ดวงตาคู่งามยิ่งสุกใสแพรวพราวน่าหลงใหล
ข้อกังขาของเขาทำให้ฟู่ถิงจวินหวนคิดถึงคำกล่าวของป้าเฉินที่ว่า ’แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว‘ ขึ้นมาอีก นางหลุบตาลงด้วยความอับอาย นิ้วมือเรียวงามดุจลำเทียนบดบี้ดอกชาภูเขาในถ้วยพักชาเบาๆ นางมิได้สังเกตเห็นเลยสักนิดว่าคนฝั่งตรงข้ามเบือนหน้าไปทางอื่นกะทันหันพลางยกถ้วยชาใกล้มือขึ้นจรดริมฝีปาก แต่พอพบว่าในถ้วยว่างเปล่า ใบหน้าเขามีรอยเก้อกระดากผุดขึ้นวูบหนึ่ง
ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จา ภายในห้องกึ่งมืดกึ่งสว่าง บันดาลให้บรรยากาศดูหม่นมัวไปบ้าง
นี่มิใช่มารยาทของการต้อนรับแขก
ฟู่ถิงจวินตรึกตรองแล้วนึกถึงยาในตู้ลิ้นชัก
นางลุกขึ้นยืน พูดพร้อมกับเปิดตู้ลิ้นชัก “ยาที่ท่านต้องการ ข้าได้มาแล้ว”
ขวดกระเบื้องสีแดงขวดหนึ่งสีเขียวขวดหนึ่งวางเรียงกันอยู่ในนั้น สีตัดกันฉับดูเด่นสะดุดตามาก
นางสองจิตสองใจครู่หนึ่ง
เขาเปิดเผยกับนางทุกอย่าง นางก็สมควรมอบยาที่เก็บไว้ในหีบให้เขาไปทั้งหมดด้วยความซื่อสัตย์เช่นกันใช่หรือไม่
กระนั้นในใจยังกระวนกระวายอยู่บ้าง
ช่างเถิด เพิ่งจะไปเปิดหีบเอาตอนนี้ ถ้าเกิดทำให้เขารู้เท่าทันความคิดของนางกลับไม่เป็นการดี
ครั้นคิดคำนึงเช่นนี้ นางถือขวดยาแล้วหมุนตัวกลับมาวางลงบนโต๊ะชา “ขวดลายสีเขียวเป็นยาทา ขวดลายสีแดงเป็นยากิน…” หญิงสาวบอกวิธีใช้คร่าวๆ
เขามิได้เอ่ยถามอะไรมาก หยิบยาสองขวดเก็บเข้าไปในอกเสื้อ
“เช่นนั้นข้าไปก่อนละ” สีหน้าเขานิ่งสนิท “พรุ่งนี้ยามบ่ายข้าถึงมีเวลาเข้าเมือง จะกลับมาตอนเที่ยงวันมะรืนเป็นอย่างช้า”
เพราะอะไรต้องรอถึงพรุ่งนี้ยามบ่าย
พอคำถามนี้ผุดขึ้นในหัว นางก็รู้คำตอบทันใด
นี่เขากำลังจะไปขโมยข้าวในยุ้งฉาง!
อารามปี้อวิ๋นเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลฟู่ นางกลับเป็นสายให้เขา นี่หาใช่เรื่องที่ถูกต้องดีงามอะไร นางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ขานตอบเสียงเบาๆ พลางมองดูเงาร่างเขาหายลับไปบนหลังคา
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฟู่ถิงจวินไปที่ห้องของหานเยียน
หานเยียนเอ่ยขึ้นทันที “บ่าวหายดีแล้ว ไม่ต้องให้ลวี่เอ้อคอยดูแลอยู่ข้างๆ แล้ว ให้นางกลับไปปรนนิบัติคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ!”
ลวี่เอ้อพยักหน้าอยู่ด้านข้าง
“เรื่องอะไรจะปล่อยให้พวกนางกินข้าวอิ่มไม่มีอะไรทำทุกวัน แต่พวกเจ้าต้องวิ่งวุ่นไปมาแทบขาขวิด” ฟู่ถิงจวินโบกมือไปมาอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “ต้องกลัวด้วยหรือว่าข้างกายข้าจะไม่มีคนรับใช้ พวกเจ้าพักผ่อนให้สบายเถอะ” นางเอ่ยต่อ “แต่ว่ามองหน้าพวกนางทุกวันก็น่าเบื่อมาก ถึงอย่างไรเจ้าขาแพลงอยู่คงไปไหนไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราคุยกันสักครู่เถอะ” นางให้ลวี่เอ้อไปชงชากาหนึ่งพร้อมกับหาขนมหวานมาสองสามชิ้น
ในเมื่อเขาบอกว่าตอนบ่ายถึงมีเวลาว่างเข้าเมือง เป็นไปได้มากว่าจะมาขโมยข้าวไม่ตอนเช้าก็ตอนบ่าย ฉะนั้นรั้งตัวสาวใช้สองคนนี้ไว้ในห้องดีกว่า จะได้ไม่ออกไปเดินเพ่นพ่านจนเจอะเจอเข้า ดีไม่ดีอาจเกิดอะไรขึ้นกับพวกนางก็เป็นได้
หานเยียนกับลวี่เอ้อมาที่นี่เพื่อรับใช้ฟู่ถิงจวิน พูดคุยเป็นเพื่อนก็ถือเป็นการรับใช้ พวกนางไม่เพียงไม่โต้แย้ง แต่ยังทำด้วยความกระตือรือร้นอีกด้วย
“ในห้องพวกบ่าวจะมีน้ำชากับขนมหวานดีๆ ที่ไหนกันเจ้าคะ” ลวี่เอ้อรีบพูด “ข้าไปหยิบใบชาที่ห้องท่านแล้วค่อยไปห้องครัวดูว่ามีของอะไรพอใช้แก้ขัดทำขนมหวานสักจานได้ ท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ”
ฟู่ถิงจวินย่อมไม่ปล่อยตัวนางออกไปแน่นอน
“ชาอะไรก็ได้ตามสบาย ไม่มีขนมหวานก็ไม่เป็นไร” นางนั่งลงบนม้านั่งหน้าเตียง “อากาศร้อนอย่างนี้เจ้าอย่าวิ่งไปวิ่งมาเลย กว่าเจ้าจะเตรียมของจนครบถ้วนก็น่าจะต้องกินมื้อเที่ยงแล้ว ข้าแค่ไม่อยากเห็นหน้าพวกป้าเฉินเท่านั้น”
ลวี่เอ้อส่งเสียงหัวเราะแล้วไปเตรียมน้ำชา ฟู่ถิงจวินถามถึงเรื่องในครอบครัวของทั้งคู่ และยกเรื่องสัพเพเหระของเหล่าวงศาคณาญาติที่คนทั้งสามรู้จักคุ้นเคยดีขึ้นมาคุยกันจนใกล้จะถึงเที่ยงวัน
ไม่มีความเคลื่อนไหว!
หรือจะบอกว่า…วางแผนลงมือตอนบ่าย
ฟู่ถิงจวินยิ่งไม่ปล่อยให้คนทั้งสองออกไป นางเรียกคนงานหญิงให้ยกอาหารกลางวันเข้ามา และกินข้าวอยู่ในห้องของหานเยียน จากนั้นเบียดขึ้นไปบนเตียงของหานเยียนนอนกลางวัน
ลวี่เอ้อรีบเร่งคลี่พัดโบกลมให้ และไม่ปลีกตัวออกไปแม้แต่เพียงชั่วเค่ออย่างที่เคยทำ
ตอนดื่มชายามบ่าย มีเสียงเอะอะดังมาจากทางทิศตะวันตกระลอกหนึ่ง
ลวี่เอ้อจะไปดู แต่ถูกฟู่ถิงจวินรั้งตัวไว้ “จะสนใจมากมายปานนั้นไปทำไม ถึงฟ้าถล่มลงมายังมีป้าเฉินทั้งคน” ลวี่เอ้อคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ทางนั้นมีเสียงอึกทึกมากขึ้นเรื่อยๆ ฟู่ถิงจวินอดครุ่นคิดในใจมิได้ หรือเจ้าคนผู้นั้นจะขโมยข้าวไปจนหมดเกลี้ยง นางเริ่มนั่งไม่ติด พอตอนลวี่เอ้อเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่าจะออกไปดู นางจึงมิได้ห้ามปราม “เจ้าระวังหน่อยนะ อย่ามัวห่วงแต่จะมุงดูจนพาตัวเองเข้าไปวุ่นวายด้วย”
“คุณหนูเก้าวางใจได้ ข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อกล่าวรับรอง ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องไป
ไม่ถึงชั่วครู่ นางวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา
“คุณหนูเก้า ไม่ได้การแล้ว ไม่ได้การแล้ว!” นางหายใจกระหืดกระหอบ “มีคนบุกเข้ามาในอาราม ไม่เพียงขโมยธัญพืชที่เก็บไว้ในหอต้าสยงเป่า ยังทำร้ายกั่วจื้อซือฟู่จนบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ!”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!” ฟู่ถิงจวินทำหน้าเครียด ลุกขึ้นเดินออกไป
ลวี่เอ้อลุกลนตามไปพลางกล่าว “พอกั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ข่าวก็หามกั่วจื้อซือฟู่ไปที่หอชีเป่าเจ้าค่ะ”
หอชีเป่าเป็นที่พำนักของกั่วฮุ่ยซือฟู่หัวหน้าอารามปี้อวิ๋น
ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่น ทั้งเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของกั่วจื้อซือฟู่ ทั้งคับข้องใจว่าเขาทำร้ายคนเพราะอะไร นางลอบนึกเสียใจรางๆ แต่กลับไม่อยากขบคิดถึงมันต่อไปอย่างละเอียดนัก
จิตใจหญิงสาวสับสันว้าวุ่น นางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงห้องของกั่วฮุ่ยซือฟู่
ลานเรือนเงียบเชียบ ตรงใต้ชายคามีแม่ชียืนอยู่เจ็ดแปดคน ล้วนมีสีหน้าร้อนอกร้อนใจมาก
เมื่อเห็นฟู่ถิงจวิน พวกนางพากันประนมมือคารวะ ขณะที่แม่ชีสูงวัยหลายคนกล่าวขอบคุณนางเสียงเบาๆ “ทำให้คุณหนูเก้าต้องลำบากมาถึงที่นี่แล้ว!”
“ซือฟู่ทั้งหลายไม่ต้องมากพิธี” ฟู่ถิงจวินลดเสียงเบาลงกล่าวทักทายพวกนางแล้วเอ่ยต่อทันที “อาการของกั่วจื้อซือฟู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่ทราบเลย!” มีแม่ชีถอนใจ “ตอนพวกเราไปถึงก็เห็นอาจารย์อานอนหงายหลังอยู่บนพื้น สลบไสลไม่ได้สติแต่แรก ส่วนผ้าคลุมแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ถูกแหวกออกไปด้านข้างจนเห็นทางเข้าห้องใต้ดิน…”
ขณะที่นางพูดอยู่ สุ้มเสียงนุ่มนวลทว่ายังแฝงไว้ด้วยความเข้มงวดของกั่วฮุ่ยซือฟู่ดังมาจากในห้อง “ใครอยู่ข้างนอกรึ”
แม่ชีคนนั้นรีบหยุดสนทนา กล่าวอย่างเคารพยำเกรง “เป็นคุณหนูเก้าของสกุลฟู่เจ้าค่ะ นางได้ยินว่าอาจารย์อาถูกคนทำร้ายบาดเจ็บจึงตั้งใจมาเยี่ยมอาการ”
ยังมิทันสิ้นเสียง ประตูเปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าดพร้อมกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู
“เป็นคุณหนูเก้านี่เอง!” สีหน้าของนางอ่อนโยนใจดี หากแต่ยากจะเก็บงำความกังวลใจไว้ได้ “ศิษย์น้องเพียงถูกคนตีสลบ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้นางฟื้นแล้ว” นางเอ่ยแล้วเชิญหญิงสาวเข้าไปในห้อง
ฟู่ถิงจวินได้ยินเสียงถอนหายใจดังต่อกันเป็นทอดๆ ของเหล่าแม่ชีที่รออยู่ใต้ชายคา พลอยให้โล่งอกตามไปด้วย
ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยังลอบยินดีรางๆ
ในห้องไม่มีคนอื่น กั่วจื้อซือฟู่ฟื้นขึ้นมาแล้วตามที่กั่วฮุ่ยซือฟู่ได้บอกไว้ นางนอนพิงหมอนหนุนใบใหญ่ตรงหัวเตียงหลัวฮั่น* ยกมือคลำที่ศีรษะ
กั่วฮุ่ยซือฟู่เอ่ยอธิบาย “นางถูกคนใช้ไม้ตีที่ศีรษะ”
กั่วจื้อซือฟู่หันมาทักทายฟู่ถิงจวิน “คุณหนูเก้ามาแล้วหรือ!” นางพูดแล้วตั้งท่าจะลุกขึ้น
“ไม่ต้องลุกขึ้น รีบนอนลงเร็วเข้า!” ฟู่ถิงจวินเข้าไปห้าม “พักรักษาแผลสำคัญกว่า! ถ้าซือฟู่เกรงอกเกรงใจเยี่ยงนี้ ข้าว่าข้ากลับไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
กั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ยินแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูเก้าเป็นคนง่ายๆ เจ้าไม่ต้องถือพิธีรีตองนัก เจ้าก็บาดเจ็บอยู่ นอนนิ่งๆ อย่าขยับตัวมากจะเป็นการดีที่สุด!” ถ้อยคำสุดท้ายกลับพูดให้ฟู่ถิงจวินฟัง ถึงอย่างไรนางยังคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่ากั่วจื้อซือฟู่เสียมารยาท
กั่วจื้อซือฟู่ไม่ยืนกรานจะลุกต่อ นางจึงกล่าวขอขมาแล้วนอนพิงหมอนดังเก่า
แม่ชีน้อยยกน้ำชาเข้ามา
ป้าเฉินซึ่งได้ยินเสียงเอะอะก็รุดมาถึงเช่นกัน
ทุกคนคำนับทักทายกันครู่หนึ่ง จากนั้นนั่งลงตามลำดับศักดิ์ฐานะ กั่วฮุ่ยซือฟู่ทำสีหน้าขึงขัง และเอ่ยเสียงเคร่งเครียด “นับจากคราวก่อนที่ของในเรือนครัวถูกขโมยไป อาตมากับศิษย์น้องก็คอยระมัดระวังอยู่ ทั้งยังพาลูกศิษย์หลายคนเดินลาดตระเวนภายในอารามบ่อยๆ วันนี้ก็ช่างปะเหมาะเคราะห์ร้าย เดิมทีศิษย์น้องลาดตระเวนเสร็จแล้ว คิดว่าหลายวันนี้อากาศร้อนแห้ง แต่ในพระอุโบสถยังจุดโคมประทีปไว้หลายดวงเลยรู้สึกไม่วางใจอยู่สักหน่อย นางคิดจะเข้าไปดู ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้าไปก็มองเห็นชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าปุๆ ปะๆ สิบกว่าคนมุดออกมาจากด้านล่างของแท่นบูชาองค์เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ ศิษย์น้องรู้ว่าไม่เข้าทีแล้ว เพิ่งคิดจะวิ่งออกไปร้องเรียกคน ก็ถูกคนที่ดูต้นทางใช้ไม้ตีที่ท้ายทอยจนหมดสติไปทันที ส่วนธัญพืชในห้องใต้ดินก็ถูกขโมยไปมากกว่าครึ่ง” นางพูดพลางมองไปทางป้าเฉิน “อาตมาว่าแจ้งทางการดีกว่าเถอะ!”
“แจ้งทางการ?” ฟู่ถิงจวินกับป้าเฉินต่างนิ่งงันไป
“ใช่ แจ้งทางการ!” กั่วฮุ่ยซือฟู่มีสีหน้าหนักใจ “คราวก่อนของในเรือนครัวถูกขโมยไปครั้งหนึ่งแล้ว ขโมยคราวนี้น่าจะเป็นพรรคพวกเดียวกับคราวก่อน ถึงไม่ใช่พวกเดียวกันก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่คุ้นเคยกับสภาพภายในอารามถึงเพียงนี้ อีกอย่างพากันมาทีเดียวสิบกว่าคน เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนเร่ร่อน หากตกเป็นเป้าหมายของพวกนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากดึงดูดฝูงตั๊กแตนมา ถ้าไม่กวาดของที่กินได้ในอารามปี้อวิ๋นไปจนหมดเกลี้ยง พวกเขาคงไม่เลิกราแต่โดยดี และจะต้องมาใหม่อีกเป็นแน่ อารามปี้อวิ๋นตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คน ถ้าเกิด…เอ่อ…แล้วไม่มีใครให้ความช่วยเหลือแม้สักคน หากคนของจวนสกุลฟู่เป็นอะไรไป อาตมาตายหมื่นครั้งก็ยากจะไถ่ถอนความผิดได้!”
ฟู่ถิงจวินคาดหวังว่ากั่วฮุ่ยซือฟู่จะแจ้งทางการ เมื่อเป็นเช่นนี้สกุลฟู่ก็ไม่อาจไม่รับนางกลับไป
นางปิดปากเงียบ
ป้าเฉินดูลังเลใจมาก นานครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยขึ้น “ข้าว่าเรื่องนี้ควรหารือกับนายท่านใหญ่จะดีกว่า! ต่อให้จะแจ้งทางการก็ต้องรายงานนายท่านใหญ่สักคำจึงจะถูก”
“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน” กั่วฮุ่ยซือฟู่นิ่งคิดแล้วกล่าว “จะได้ขอให้นายท่านใหญ่แบ่งปันข้าวสารให้พวกเราบ้างพอดี ร้านข้าวสารในเมืองล้วนบอกว่าไม่มีข้าวแล้ว ตอนนี้ถึงมีเงินก็ซื้อธัญพืชไม่ได้ เช่นนั้นก็รบกวนป้าเฉินรายงานด้วย” นางโค้งคารวะให้ป้าเฉิน
“ข้าจะนำคำพูดของซือฟู่ฝากไปถึงนายท่านใหญ่แน่นอน!” ป้าเฉินถามไถ่อาการของกั่วจื้อซือฟู่แล้วนั่งอยู่ชั่วครู่ถึงลุกขึ้นอำลา “ฉวยจังหวะที่ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะส่งคนกลับไปแจ้งข่าว”
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วกล่าวขอตัวตาม “ในเมื่อกั่วจื้อซือฟู่ต้องพักรักษาตัวอย่างสงบ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว รอเมื่อท่านดีขึ้นข้าจะเยี่ยมอีกที” กั่วจื้อซือฟู่กล่าวคำขอบคุณ
กั่วฮุ่ยซือฟู่เดินออกไปส่งคนทั้งสองถึงนอกเรือนแล้วจึงกลับมาที่ห้อง
ภายในห้อง แม่ชีน้อยกำลังเก็บถ้วยชา
กั่วจื้อซือฟู่บอกให้นางออกไปแล้วเอ่ยถามกั่วฮุ่ยซือฟู่ “ศิษย์พี่ ท่านอ้างว่าธัญพืชถูกขโมย แล้วให้ข้าแกล้งทำเป็นถูกคนเร่ร่อนทำร้ายจนบาดเจ็บ ทั้งยังจะแจ้งทางการอีกด้วย ท่านอยากจะไล่คนของสกุลฟู่ไปหรือ”
กั่วฮุ่ยซือฟู่พยักหน้า ดวงหน้าใจดีมีเมตตากระด้างขึ้น ทำให้แลดูปึ่งชาไปบ้าง “เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือว่า สกุลฟู่หมายอาศัยอารามของเราเป็นที่ลงมือน่ะสิ!”
บุตรสาวของนายท่านห้าถูกคนของนายท่านใหญ่คอยเฝ้าอยู่ ไยนางจะมองไม่ออกเล่า
กั่วจื้อซือฟู่เอ่ยอย่างละล้าละลัง “ถึงอย่างไรหลายปีนี้พวกเราได้รับการอุปถัมภ์จุนเจือจากสกุลฟู่…มันออกจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่”
กั่วฮุ่ยซือฟู่เหยียดมุมปาก ตั้งท่าจะเอ่ยบางอย่าง ก็มีคนเคาะประตู “กั่วฮุ่ยซือฟู่ นี่ป้าเฉินเจ้าค่ะ!”
นับๆ เวลาดู นางคงจะแยกกับคุณหนูเก้าแล้วย้อนกลับมาอีกครา
นางมาทำอะไร
แม่ชีทั้งสองสบตากัน
กั่วฮุ่ยซือฟู่ไปเปิดประตู
ป้าเฉินสนทนากับกั่วฮุ่ยซือฟู่ในห้องนอน “ซือฟู่เจ้าคะ วันนี้เป็นวันที่สองเดือนเจ็ดแล้วกระมัง? หลายวันก่อนนายหญิงของข้าให้คนส่งสารมาบอกให้พวกเราต้องกลับจวนก่อนวันที่สี่เดือนเจ็ด ฉะนั้นอย่างมากก็รออีกแค่สองวันเท่านั้น ข้าว่าซือฟู่รออีกสองวันจะดีกว่านะเจ้าคะ”
กลับจวน! กลับอย่างไร
ทุกคนกลับไปพร้อมกันหมด หรือมีแค่ป้าเฉินพาคนไม่กี่คนกลับไป
ภายในห้องเงียบกริบดุจน้ำบ่อนิ่งสนิท
ฟู่ถิงจวินไม่รู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย นางกำลังครุ่นคิดถึงถ้อยคำของกั่วฮุ่ยซือฟู่ไปตลอดทาง
หรือว่าเขาจะเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ แต่ดูไปก็ไม่คล้ายจะใช่นี่นา!
ยังมิต้องเอ่ยถึงว่าเขามีฝีมือวรยุทธ์ที่ดี เพียงดูเขาที่ใช้เวลาแค่ครึ่งวันสืบได้เรื่องต่างๆ มากมาย ความคิดอ่านก็เป็นเหตุเป็นผล แยกแยะความสำคัญก่อนหลังได้ชัดเจนชวนให้น่านับถือ แล้วเขายังสามารถนำพาคนสิบกว่าคนเสี่ยงลอบเข้ามาในอารามปี้อวิ๋นอย่างเงียบเชียบตอนกลางวันแสกๆ และขนธัญพืชออกไปได้อย่างปลอดภัย ความสามารถชั้นนี้ ไฉนจะรักษาทรัพย์สมบัติของตระกูลไว้ไม่ได้จนต้องมาเป็นคนเร่ร่อนเล่า
แล้วเขาก็ไม่ใช่โจรสลัดที่ทางการออกประกาศตามจับหรือนักโทษหลบหนีที่สังหารคนตายในบ้านเกิดแน่นอน เพราะคนสองจำพวกนี้โดยมากล้วนมีตัวคนเดียว พอเห็นของมีค่า หยิบฉวยมาได้ก็เผ่นหนี มีหรือจะกล้ารั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ เหนืออื่นใดข้างตัวเขาไม่เพียงมีพรรคพวกจำนวนมาก อีกทั้งทุกคราที่เข้าออกห้องนอนของนางกลับไม่แยแสสนใจเครื่องประดับในหีบคันฉ่อง และยังรู้จักขอหยูกยาให้พวกพ้องที่บาดเจ็บ
เขายังไม่ใช่นายพรานอีกด้วย นายพรานมักอาศัยอยู่บนภูเขา ท่องไปทั่วป่าดงพงไพรได้ประหนึ่งเดินอยู่บนที่ราบ ไม่คุ้นเคยกับความพลุกพล่านจอแจภายในเมือง ทว่าเขาอ่านออกเขียนได้ ดูภาพผังจวนที่นางวาดขึ้นอย่างลวกๆ หยาบๆ ปราดเดียวก็เข้าไปในจวนสกุลฟู่ได้อย่างราบรื่น นี่มิใช่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปจะกระทำได้เด็ดขาด
เคราะห์ดีที่เขามิได้ใช้ฝีมือวรยุทธ์สังหารคนหรือทำอันตรายต่อกั่วจื้อซือฟู่ที่มาพบเจอพวกเขาโดยบังเอิญ
พอหวนนึกขึ้นได้ นางชะงักฝีเท้ากึก
ตอนนั้นเขาแค่บีบคอนางจนสลบไปเฉกเดียวกับกั่วจื้อซือฟู่ หาได้ต้องการเอาชีวิตนางไม่!
หรือว่าเขาเจตนา!
ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้น นางก็ระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนไม่อยู่
ด้วยเหตุนี้เขาวางตัวนางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ตรงลานด้านหลัง ประการแรกมีร่มเงา นางจะได้ไม่ต้องตากแดดจนล้มป่วย ประการที่สองพอนางฟื้นขึ้นมา ต่อให้ร้องตะโกนโวยวาย คนในอารามก็ไม่ได้ยิน เป็นการถ่วงเวลาให้เขาหลบหนี!
ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
ฟู่ถิงจวินกำมือเป็นหมัดแน่น
ไม่อย่างนั้น ด้วยวรยุทธ์ของเขา ถึงมีนางสิบคนก็ถูกเขากำจัดไปแต่แรกแล้ว
นางคิดต่อไปว่าเขาเป็นคนมีสัจจะ ทั้งที่รู้ว่าเป็นโคลนตม เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย เขาก็ยังช่วยส่งสารให้นางโดยไม่ลังเลใจ…นางอยากพบเขามากเพื่อถามว่าเขาเป็นใครกันแน่ เหตุไฉนจึงตกอับอยู่ในสภาพนี้ และมีอะไรที่นางช่วยเหลือได้บ้าง เขาช่วยเหลือนางมามากขนาดนี้ อย่างอื่นนางไม่กล้ารับปาก แต่ให้ท่านแม่มอบเงินทองให้เขาเป็นการขอบคุณยังพอทำได้อยู่
เอ๊ะ…นางยังไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่ของเขาเลย!
ครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกันนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป เป็นเหตุให้นางเห็นเขาก็เสียขวัญ หวังแต่จะหนีห่างจากเขาได้ยิ่งไกลยิ่งดี นับจากนี้ไปไม่ต้องเจอะเจอกันอีกจะดีที่สุด ไหนเลยจะอยากรู้ว่าเขามีชื่อแซ่ว่าอะไร
ฟู่ถิงจวินหน้าแดงน้อยๆ
“คุณหนูเก้า” ลวี่เอ้อซึ่งเดินตามหลังมาร้องเรียกนางไว้ “พวกเราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ”
นางดึงสติคืนมา ถึงพบว่าตนเองยืนอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ
แสงตะวันยามบ่ายจัดจ้าร้อนแรง ต้นแปะก๊วยเก่าแก่สองต้นแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมเป็นร่มเงาครึ้ม ลำพังแค่มองดูก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย
“เจ้ากลับห้องไปดูแลหานเยียนเถอะ!” นางพลันรู้สึกเบาสบายทั้งกายใจ “ข้าจะกลับห้องนอนพักครู่หนึ่ง หลังจากมื้อเย็นเจ้าค่อยมารับใช้ข้าตอนชำระกายก็พอ”
ลวี่เอ้อไม่ยอม ยังพร่ำพูดซ้ำๆ ทำนองว่า “แบบนี้จะได้อย่างไร” ฟู่ถิงจวินคร้านจะพูดกับนางให้มากความ หมุนกายสาวเท้าไปตามทางเดินที่ปูด้วยศิลาเขียวซึ่งเชื่อมสู่หอจิ้งเยวี่ย
ตอนเป็นเด็ก ท่านแม่เคยเล่าเรื่องของซูสวินที่เริ่มพากเพียรเล่าเรียนในวัยยี่สิบเจ็ดจนได้เป็นจิ้นซื่อในท้ายที่สุดให้นางฟัง
ฉะนั้นนางเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บัดนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไปกระมัง!
ฟู่ถิงจวินเดินเข้าไปห้องนอนพร้อมด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก
นอกห้องแสงแดดเริงแรงดุจเปลวไฟ ขณะที่ในห้องเงียบสงัด ไอร้อนผ่าวตามเนื้อตัวมลายหายไปอย่างรวดเร็ว พาให้จิตใจสงบตามไปด้วย
“เจ้าช่วยฝนหมึกให้ข้าเถอะ!” เมื่อก่อนในเวลานี้นางจะเย็บผ้าเสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีผ้าให้เย็บ มิสู้ฝึกคัดลายมือดีกว่า จะว่าไปแล้ว หลังจากนางมาอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นก็ไม่ได้ฝึกคัดลายมืออีกเลย
การคัดลายมือต้องฝึกปรือทุกวันไม่ขาดถึงจะก้าวหน้า
ลวี่เอ้อขานรับแล้วหยิบชามล้างพู่กันไปใส่น้ำเข้ามา
เมื่อปลายพู่กันอ่อนนุ่มจรดลงบนกระดาษ ฟู่ถิงจวินปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับการคัดลายมือทีละน้อย
วันถัดมาหลังอาหารมื้อเที่ยง ฟู่ถิงจวินบอกให้ลวี่เอ้อออกไปแล้วปิดหน้าต่าง จากนั้นนั่งอ่านหนังสือ ‘เรื่องปกิณกะ‘ อยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าวเงียบๆ คนเดียว
ป้าเฉินมาเคาะประตู “คุณหนูเก้า บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าคะ”
ฟู่ถิงจวินไปเปิดประตู
วันนี้อากาศร้อนจัด ป้าเฉินใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีขาว กลัดกระดุมถักลายผีผาครบทุกเม็ดอย่างเรียบร้อย มีเสื้อคลุมผ่าหน้ายาวเหนือเข่าปักลายดอกบัวนิลสีม่วงสวมทับด้านนอกอีกชั้น แลดูขึงขังเจ้าระเบียบ
นางยังพาป้าฝานกับหญิงรับใช้วัยกลางคนแซ่ซุนอีกนางหนึ่งติดตามมาด้านหลัง ทั้งสองมีเรือนร่างอวบหนาล่ำสัน สวมเสื้อตัวสั้นป้ายทับไปทางซ้ายกับกระโปรงทำจากผ้าฝ้ายโปร่งสีคราม ดูเหมือนประตูสองบานที่กีดขวางอยู่หน้าห้องนอน ป้าฝานยังประคองกล่องอาหารไม้ไผ่สานลงรักแดงใบหนึ่งไว้ในมือ
ฟู่ถิงจวินลอบนึกแปลกใจ นางหมุนกายไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือหน้าโต๊ะหนังสือ
“คุณหนูเก้ากำลังทำอะไรง่วนอยู่หรือเจ้าคะ” ป้าเฉินไต่ถาม ทว่าไม่ได้ยืนตรงหน้านางดังเช่นที่ผ่านมา หากแต่เดินวนในห้องรอบหนึ่ง พอเห็นหน้าต่างงับปิดเรียบร้อย ดูท่าทางนางประหลาดใจอยู่สักหน่อย
ฟู่ถิงจวินเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจป้าเฉิน จึงเอ่ยถามนางอย่างตรงไปตรงมา “ป้าเฉินมีเรื่องอะไร”
ป้าเฉินไม่ปริปากพูด เพียงยืนอยู่กับที่นิ่งๆ หลุบตาลงมองดูก้อนอิฐสีเทาบนพื้น
นี่จะทำอะไรกัน แสร้งทำลึกลับอมพะนำ!
ขณะที่ฟู่ถิงจวินรำพึงในใจก็มองเห็นป้าฝานเดินก้มหน้าเข้ามาแล้ววางกล่องอาหารลงบนโต๊ะตัวเล็กด้านข้าง
“คุณหนูเก้า อากาศร้อนมาก หลังจากท่านเป็นไข้แดดแล้วร่างกายยังไม่หายดีสักที สกุลอวี๋กำลังจะมาสู่ขอในเวลาอันใกล้นี้แล้ว นายท่านใหญ่ร้อนอกร้อนใจเลยให้คนส่งยาดับพิษร้อนมาให้เจ้าค่ะ” เสียงของนางเบามาก ซ้ำยังทุ้มต่ำน้อยๆ “ยายังร้อนอยู่ คุณหนูเก้ารีบดื่มเถอะเจ้าค่ะ!” นางพูดพลางเปิดกล่องอาหารออก
กล่องไม้ไผ่ลงรักแดงเป็นมันวาวจนเห็นเงาสะท้อน มีชามโคมลายครามวางอยู่หนึ่งใบ ยาต้มสีน้ำตาลที่อยู่ในชามสีครามแลดูเป็นสีดำๆ
นี่หมายความว่าอะไร
ฟู่ถิงจวินมองป้าเฉินอย่างงุนงง
ป้าเฉินมองที่ปลายเท้า ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่เสมือนหุ่นดินปั้น
ป้าฝานยืนค้อมกายอยู่ที่เดิม สองมือประสานกันไว้แน่นคล้ายระแวดระวังอะไรอยู่ก็ไม่ปาน
ภายในห้องที่เงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตกพื้นมีเสียงสวบสาบแผ่วเบาดังขึ้น
ฟู่ถิงจวินมองไปเห็นป้าซุนยืนอยู่หน้าประตูห้อง
ภาพบางอย่างผุดขึ้นในหัว นางกระจ่างขึ้นมาในบัดดล
สีหน้านางซีดเผือดในชั่วอึดใจ โลหิตทั่วกายพลุ่งขึ้นหน้า นางเงื้อมือจะปัดชามใบนั้นทิ้ง
ป้าฝานที่ไม่ขยับตัวมาโดยตลอดสืบเท้าก้าวหนึ่งเข้ามาขวางหน้านางไว้ แต่เพิ่งส่งเสียงเรียก “คุณหนูเก้า” ฟู่ถิงจวินก็หมุนกายปีนขึ้นเก้าอี้ไท่ซือแล้วพุ่งทะยานไปที่หน้าต่าง
คนในห้องล้วนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ฟู่ถิงจวินใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนป่ายข้ามโต๊ะหนังสือจนไปถึงริมหน้าต่าง
“รีบสกัดนางไว้!” สุ้มเสียงของป้าเฉินร้อนรนระคนแตกตื่น
ป้าซุนที่เฝ้าอยู่ข้างประตูปรี่เข้าไปจับขาทั้งคู่ของหญิงสาว
นางตะเบ็งเสียงลั่น “ลวี่เอ้อ…หานเยียน…กั่วฮุ่ยซือฟู่…กั่วจื้อซือฟู่…” แต่แล้วก็ถูกคนปิดปากไว้
นางออกแรงกัดสุดชีวิตโดยไม่ปรานีใดๆ
“โอ๊ย!” คนที่ร้องโอดโอยคือป้าเฉิน
ฟู่ถิงจวินกัดแรงยิ่งขึ้น
ป้าฝานกับป้าซุน คนหนึ่งจับแขนนางไว้ คนหนึ่งจับมือของป้าเฉิน “คุณหนูเก้า รีบปล่อยเดี๋ยวนี้!”
พวกเจ้ายังหมายเอาชีวิตข้าได้ ข้ายังต้องกลัวทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บอีกหรือไร
ห้วงสมองของฟู่ถิงจวินอึงอลว่างเปล่า ทว่าใจนางมุ่งแต่จะกัดสิ่งที่อยู่ในปากชิ้นนั้นให้หลุดออกมาจากตัวป้าเฉิน
คนหนึ่งร้องห้าม คนหนึ่งยื้อยุดฉุดดึง คนหนึ่งสะบัดมือ คนหนึ่งกัดไม่ปล่อย ทั้งสี่คนมะรุมมะตุ้มนัวเนียกันอุตลุดชุลมุนประหนึ่งเกลียวเชือกที่พันกันยุ่ง
จู่ๆ ฟู่ถิงจวินก็อ้าปากปล่อยป้าเฉิน
ป้าเฉินกุมมือถอยหลังกรูดๆ
ฝ่ายฟู่ถิงจวินยังจะถลันตามไปพุ่งชนนาง
ป้าฝานกับป้าซุนเห็นฟู่ถิงจวินปล่อยป้าเฉินแล้วระบายลมหายใจโล่งอก มือที่ยึดตัวหญิงสาวไว้ก็คลายออกโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้จับนางไว้ไม่อยู่ในชั่วขณะ
ฟู่ถิงจวินดิ้นหลุดจากมือของทั้งคู่ได้ก็เอี้ยวตัวหนี ทางหนึ่งร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย!” ทางหนึ่งพุ่งไปที่ข้างประตูห้องนอนแล้วเปิดออกด้วยความว่องไว
พวกป้าเฉินหน้าถอดสีไปถนัดตา ป้าฝานกับป้าซุนไล่ตามไปโดยไม่รอคำสั่ง
ในห้องโถงไม่มีใครสักคน ประตูใหญ่กับหน้าต่างปิดแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าคนงานหญิงพวกนั้นได้รับคำสั่งให้หลบออกไปแต่แรกแล้ว
พอฟู่ถิงจวินชักดาลประตู ป้าฝานก็ไล่ตามมาถึง ขณะที่ประตูเพิ่งเปิดอ้าออกเป็นช่องเล็กๆ มือของป้าฝานก็แตะถูกไหล่นาง
จังหวะได้เปรียบหลุดลอยไป ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
นางตัดสินใจวิ่งไปตรงกลางโถงทันควัน
ป้าซุนกับป้าเฉินวิ่งไล่ตามหลังกันออกมา
“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินมองฟู่ถิงจวินที่ยืนชิดโต๊ะตัวยาวด้วยท่าทางตื่นกลัวกระสับกระส่าย สายตาฉายแววพรั่นพรึง “พวกข้าก็ต้องทำงานตามคำสั่งของนายท่านใหญ่…”
“เจ้าโกหก!” ฟู่ถิงจวินกระชากเสียงแหลมบาดหูอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน “ท่านเป็นลุงใหญ่ของข้า มีหรือจะปล่อยให้ข้าตายได้ลงคอ! อีกอย่างปกติเรื่องของเรือนหลังต้องให้ประมุขหญิงเป็นผู้สะสาง ท่านลุงใหญ่จะยื่นมือแทรกได้อย่างไร เป็นเจ้าแค้นใจที่ข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาชัดๆ ถึงได้หลอกให้เจ้านายหลงเชื่อ ปิดหูปิดตาบ่าวไพร่คนอื่น เพื่อหมายจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย…”
ตรงกลางอกหัวใจเต้นรัวดังตึกตักๆ ราวกับว่าทันทีที่นางสะกดไว้ไม่อยู่ มันก็จะกระดอนออกมา
ถ้านางต้องตาย ก็จะไม่ปล่อยให้ป้าเฉินที่กล้าเอายามาให้นางกินได้อยู่อย่างเป็นสุข
“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินทำหน้าบึ้ง รอยลังเลที่ฉายขึ้นในดวงตารางๆ แต่เดิมเลือนหายไปทีละน้อย และแทนที่ด้วยแววตาเย็นเยียบ “คุณหนูเก้ากล่าวเรื่องใดกันนี่ นายท่านใหญ่แค่สงสารที่ท่านไม่สบายถึงส่งยามาให้เท่านั้น เป็นๆ ตายๆ อะไรกัน ไยท่านต้องพูดเสียน่ากลัวปานนี้ หรือว่าป่วยจนเลอะเทอะไปแล้ว”
“ในเมื่อข้าไม่สบายก็สมควรเชิญหมอมาจึงจะถูก” ฟู่ถิงจวินตะเบ็งเสียง วาดหวังว่าจะมีคนได้ยินแล้วบุกเข้ามาช่วยพลิกสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อนาง “แต่ไรมาไม่เคยยินว่าคนล้มป่วยไม่ตรวจชีพจรไม่ถามอาการก็สั่งยาให้เลย สกุลฟู่ของข้าไม่มีธรรมเนียมอย่างนี้ ป้าเฉินอย่าได้ยกท่านลุงใหญ่มาหลอกข้าให้ตายใจ”
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเก้าจะปากคมปากกล้าเช่นนี้
เรื่องความเป็นความตาย จะอาศัยแค่ถ้อยคำวาจาก็ชักจูงให้หลงเชื่อได้แล้วหรือ
นางไม่สามารถหว่านล้อมคุณหนูเก้าได้ ส่วนคุณหนูเก้าก็ไม่มีทางยอมรับชะตากรรม
ป้าเฉินเฝ้าหน้าประตูไว้พร้อมส่งสายตาไปให้ป้าฝานกับป้าซุน ทั้งสองก็เดินรี่เข้าไปกระหนาบฟู่ถิงจวินทั้งซ้ายขวา
สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไป นางหันรีหันขวาง อยากจะหาอะไรสักอย่างป้องกันตัว พอเห็นกระถางธูป แจกันเหมย* แจกันดอกไม้ ฉากกั้นที่วางประดับอยู่บนโต๊ะตัวยาว ก็หยิบมาขว้างใส่ป้าฝานกับป้าเฉินหมดทุกชิ้น
เสียงแหลมกังวานของกระเบื้องแตกกับเสียงทุ้มหนักของระฆังบอกเวลาดังประสานกันเป็นทอดๆ แม้จะยับยั้งฝีเท้าของป้าฝานกับป้าเฉินได้บ้าง แต่พวกนางยังคงขยับเข้าไปใกล้ฟู่ถิงจวินทุกทีๆ
ใครก็ได้ ช่วยข้าด้วย!
ในใจฟู่ถิงจวินค่อยๆ สิ้นหวังลงทีละน้อย น้ำตาเอ่อคลอปริ่มขอบตา
เงาร่างบุรุษผ่ายผอมเงียบขรึมผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในหัว
นางลอบยินดี
นางลืมไปได้อย่างไรว่านางกับเขานัดหมายกันไว้!