ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่ห้า
ฟู่ถิงจวินบังเกิดความกล้าเพิ่มพูนขึ้น
นางวิ่งเลาะไปตามเก้าอี้ไท่ซือที่วางเรียงเป็นแถวทางซ้ายไปที่ห้องหนังสือ
หากจำไม่ผิด หน้าต่างห้องหนังสือทางทิศตะวันตกเปิดอยู่
ป้าฝานกับป้าซุนอยู่อีกด้านหนึ่งมีเก้าอี้ขวางอยู่ตรงกลาง กว่าพวกนางจะอ้อมไปได้ ฟู่ถิงจวินก็อยู่ห่างจากประตูบานเฟี้ยมของห้องหนังสือเพียงสองก้าว
หญิงสาวลืมไปว่าป้าเฉินยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนทางขวา เห็นนางไปที่ห้องหนังสือทางทิศตะวันตก ป้าเฉินวิ่งตรงเข้ามาดักนางตรงหน้าประตู
ด้านหน้ามีป้าเฉิน ด้านหลังมีป้าฝานกับป้าซุน ทางขวาเป็นกำแพงสีขาว ทางซ้ายเป็นแถวเก้าอี้ไท่ซือ
ฟู่ถิงจวินไม่หยุดคิดใคร่ครวญ ปีนขึ้นบนโต๊ะชาที่ตั้งคั่นระหว่างเก้าอี้ไท่ซือ ตั้งใจจะข้ามไปอีกด้านหนึ่ง แต่ถูกป้าเฉินรัดเอวไว้ “รีบมาช่วยกันเร็วเข้า!”
นางหน้าถอดสี ดิ้นขลุกขลักพลางตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วย!”
ป้าฝานกับป้าซุนล้วนร่างใหญ่กำยำ ไม่เพียงเรี่ยวแรงดี ซ้ำขายังยาวอีกด้วย พอเห็นฟู่ถิงจวินถูกป้าเฉินตะครุบตัวไว้ได้ก็ถลันเข้าไปโดยไม่รอคำสั่ง พริบตาเดียวพวกนางก็มาถึงตรงหน้า สิ้นเสียงป้าเฉินไม่ทันไร ทั้งคู่ยึดแขนของฟู่ถิงจวินไว้คนละข้าง แต่เพราะเสียงร้องของนางแหลมสูงเกินไป และดูจะดังก้องยิ่งขึ้นในลานเรือนอันเงียบสงัดไร้ผู้คนแห่งนี้ ป้าซุนหวั่นกลัวว่าจะมีคนมาจึงคิดจะปิดปากนางไว้ หางตาชำเลืองเห็นง่ามนิ้วโป้งของป้าเฉินแล้วก็อดสองจิตสองใจมิได้ ข้างหูมีเสียงทุ้มต่ำแฝงรอยเคร่งเครียดหลายส่วนของป้าเฉินดังลอยมา “เร็วเข้า พาตัวคุณหนูเก้ากลับไปที่ห้อง”
ป้าซุนไม่ลังเลอีกต่อไป นางแลมองป้าเฉินที่เตี้ยกว่าตนเองครึ่งศีรษะ ก่อนจะช้อนเอวฟู่ถิงจวินอุ้มขึ้นมา
ประเดี๋ยวเขาก็จะมาแล้ว!
ประเดี๋ยวก็มาแล้ว!
จะปล่อยให้พวกนางสมดังใจหมายไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องถ่วงเวลาจนเขากลับมา…นางก็จะรอดชีวิต
ฟู่ถิงจวินกรีดร้องสุดเสียง ทั้งเตะทั้งถีบทั้งทุบทั้งข่วนอย่างไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น กระนั้นนางยังคงต้านทานพละกำลังที่ต่างกันลิบไม่ไหว ถูกกึ่งอุ้มกึ่งลากกลับไปที่ห้องนอน
ป้าเฉินยกยาชามนั้นมาด้วยตนเอง สีหน้านางขุ่นมัว “กดตัวคุณหนูเก้าไว้”
ป้าฝานไม่พูดไม่จา ก้าวเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของฟู่ถิงจวินไว้
“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินเอ่ยเสียงพึมพำ ไม่รู้ว่าพูดกับนางหรือว่าปลอบใจตนเอง “ท่านอย่าโทษข้าเลยนะ จะโทษก็ต้องโทษที่ท่านชะตาไม่ดีถึงถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยหมายตา เช่นนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบเถอะ ส่วนทางจั่วจวิ้นเจี๋ย นายท่านใหญ่ย่อมชำระสะสางให้ท่านเอง” กล่าวจบป้าเฉินบีบปลายคางของหญิงสาวไว้แล้วกรอกยาเข้าปากนาง
ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่นสนิท พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากมือป้าเฉินสุดแรงเกิด พลางตะโกนร่ำร้องอยู่ในใจอย่างร้อนรน
ทำไมท่านยังไม่มาสักที ขืนท่านยังไม่มาอีกคงได้พบแต่ศพของข้าแล้ว…
น้ำตานางไหลพรากลงมาอย่างสุดจะกลั้น
ป้าเฉินไม่ทันตั้งตัว ยาต้มในมือกระฉอกออกมาหกใส่เสื้อคลุมไหมหังโจวสีฟ้านวลของฟู่ถิงจวิน ทิ้งคราบเป็นวงใหญ่
หญิงรับใช้ยึดปลายคางฟู่ถิงจวินอีกครา แต่นางสะบัดหน้าหนีจนหลุดจากมือเป็นคำรบที่สอง
ป้าเฉินส่งสายตาไปทางป้าฝาน
ป้าฝานกับป้าเฉินทั้งสองคนมิได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นหนแรก เป็นธรรมดาที่ป้าฝานจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้ นางมองป้าซุนแวบหนึ่ง ทั้งคู่ก็ร่วมแรงกันตรึงตัวหญิงสาวไว้บนเตียง ป้าฝานยกมือข้างที่ว่างอยู่มาจับปลายคางเรียวไว้ ขณะที่ป้าเฉินกรอกยาเข้าปาก
ต้องยืนหยัดไว้!
ต้องยืนหยัดไว้ให้ได้!
บางทีเขาอาจเดินมาถึงกลางทางแล้วแค่เชือกรองเท้าฟางหลุดเลยก้มตัวลงผูกให้แน่น ถึงได้เสียเวลาไปบ้าง…ไม่แน่ว่าในอึดใจต่อมา เขาก็จะปรากฏกายขึ้นแล้ว
เวลานี้จะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด!
ยืนหยัดไว้ก็มีชีวิตรอดต่อไปได้
เสียงพูดแฝงรอยละล้าละลังของป้าฝานดังขึ้นริมหู “ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ได้! ป้าเฉิน ข้าว่าหาตะเกียบมาสักคู่ดีกว่า!”
ฟู่ถิงจวินรู้ทันทีว่าพวกนางคิดจะง้างปากตนเอง!
นางกัดฟันแน่นยิ่งขึ้น
ป้าเฉินเห็นว่ายื้อยุดกันไปเช่นนี้มิใช่วิธีการที่ดี เพียงแต่ในห้องนี้มีตะเกียบที่ไหนกัน ถ้าอยากได้สักคู่ก็ต้องไปที่เรือนครัว กว่านางจะหาข้ออ้างให้พวกแม่ชีในอารามไปสวดมนต์ขอพรที่หอพระธรรมทางทิศตะวันตกได้มิใช่ง่ายๆ หากคนอื่นไหวตัวขึ้นมาเพราะตะเกียบคู่เดียว เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกนางเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป ขืนยังไม่รีบจัดการให้เสร็จสิ้นโดยไว หวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาแทรกขึ้นมาอีก
นางนิ่งคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหาปิ่นหยกสักแท่งในหีบคันฉ่องของคุณหนูเก้ามา”
ป้าฝานขานรับแล้วเดินไปหาปิ่นหยกมาแท่งหนึ่งจริงๆ จากนั้นใช้มันง้างฟันของฟู่ถิงจวินซึ่งส่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ออกจากกันจนมีช่องเล็กๆ
ป้าเฉินรีบเร่งกรอกยาเข้าไปโดยไม่รอช้า
มีของเหลวรสหวานๆ ไหลผ่านเข้ามา…ฟู่ถิงจวินหนาวเยือกจับใจ
หรือว่านางจะจบชีวิตลงเท่านี้!
เป็นผู้ใดขโมยอาภรณ์ตัวในของนางออกไป ทำไมจั่วจวิ้นเจี๋ยต้องป้ายสีนาง ท่านแม่อยู่ที่ไหน ท่านรู้หรือไม่บุตรสาวของท่านกำลังจะตายแล้ว ยังมีเขาอีกคน ทำไมเขายังไม่มา เขากับนางนัดหมายกันเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะพบกันใหม่ตอนเที่ยง
ของเหลวท่วมทะลักเข้าสู่ปอดของฟู่ถิงจวิน
นางอยากสำลักออกมา แต่มีของเหลวไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น
หญิงสาวทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจ ใบหน้าของป้าเฉินดูคล้ายเปลวเทียนต้องลม เคลื่อนไหววูบวาบตรงหน้า…นางไขว่คว้าทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวอย่างสะเปะสะปะ ต่อมานางได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวาของสตรีดังขึ้นชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง พร้อมกับแรงที่กดทับนางไว้อันตรธานไปอย่างรวดเร็ว…มีคนร้องเรียกชื่อของนาง
เป็นเสียงของบุรุษที่เจือความตระหนกอยู่บ้าง ฟังแล้วแปลกหูเป็นอันมาก
เป็นใครกัน
หญิงสาวมีท่าทางมึนงงเลื่อนลอย นางเงยหน้าขึ้นมองให้ถนัดตาว่าเป็นใคร ทว่าสายตากลับพร่าเลือน…ตรงกลางอกอึดอัดหายใจติดขัด นางกระอักกระไออย่างรุนแรงจนเจ็บหน้าอกมากขึ้น จากนั้นตัวงอล้มพับลงกับเตียงอย่างทานทนไม่ไหว
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ ฟู่ถิงจวินค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางสติที่เลือนราง นางอยากลืมตา แต่หนังตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่จนเปิดไม่ขึ้น
มีคนยกตัวนางขึ้นแล้วกอดไว้ในอ้อมแขน พูดล่อหลอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มา ดื่มยาเถิด! พอดื่มแล้ว ก็จะหายดีทันที” มีกลิ่นฝักเจ้าจย๋า* หอมสะอาดสดชื่นลอยอวลอยู่ตรงปลายจมูก
เขาเป็นใคร ทำไมต้องกอดนางไว้
ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน
นางเป็นสตรีที่หมั้นหมายแล้วด้วย
เป็นเขาใช่ไหม
ไฉนเขากล่าววาจากับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปานนี้
เขาไปไหนมา
เขารู้เรื่องที่นางถูกกรอกยาแล้วใช่ไหม
ในหัวสมองสับสนยุ่งเหยิง ของเหลวที่ไหลเข้าปากขมๆ ฝาดๆ
นางเพียรพยายามลืมตาขึ้น แต่หนังตากลับหนักอึ้งกว่าเดิม
คนผู้นั้นวางตัวนางลง
หมอนหนุนศีรษะแผ่ไอเย็นแสนสบาย
นางจมลงสู่ห้วงนิทราลึกไปอีกครา
หญิงสาวถูกเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้น “…ท่านเก้า เช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ! สตรีผู้นี้อ่อนแอผิวบาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลมีเกียรติ ซ้ำยังรูปโฉมงดงาม ถึงจะสวมอาภรณ์ชาวบ้านก็ปิดบังไม่อยู่ ถ้ามีคนเข้าใจผิดคิดว่าถูกพวกเราล่อลวงมาจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากนะขอรับ”
“ท่านเก้า ท่านรับฟังคำเตือนของพวกข้าสักคำเถอะ!” มีคนเอ่ยต่อ “ถ้าท่านคิดถึงสตรี พอถึงเมืองซีอานแล้ว จะยอดนางคณิกาโคมเขียว นางละครชื่อดัง หญิงชาวบ้านจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หรือแม้คุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่ ขอแค่ท่านเอ่ยปากคำเดียว รับรองว่าแต่ละนางล้วนโฉมงามกว่าสตรีผู้นี้ ท่านไม่จำเป็นต้องพาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยเพราะนางเลย!”
“นั่นสิขอรับ ท่านเก้า” มีคนเห็นพ้องด้วย “ตอนนี้มีคนเร่ร่อนไหล่บ่าเข้าสู่หวาอินกับผูเฉิงเป็นขบวนใหญ่ ทำให้เจ้าเมืองหฺวาโจวยังนั่งไม่ติด มิใช่แค่เจ้าหน้าที่และมือปราบของหวาอินกับผูเฉิงเท่านั้นที่ถูกระดมออกไปขับไล่คนเร่ร่อน แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่และมือปราบในหฺวาโจวก็ถูกเจ้าเมืองส่งตัวไปช่วยเหลือที่หวาอินกับผูเฉิง ยามนี้ใครยังจะมาสนใจพวกเราอีก ฉะนั้นพวกเราฉวยจังหวะนี้ไปซีอานได้พอดี เมื่อนั้นมังกรคืนสู่ท้องทะเล พวกเขาจะไปตามหาพวกเราที่ไหน…”
“พวกเจ้าไม่ต้องพูดอีกต่อไป ข้าตัดสินใจแล้ว” เสียงนี้ราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ถึงขั้นแข็งกระด้างเย็นชา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับแฝงความเด็ดขาดหนักแน่นไว้ระลอกหนึ่งชวนให้ยำเกรง “หยวนเป่า เจ้าพาพวกฟู่กุ้ยปะปนเข้าไปในกลุ่มคนเร่ร่อนจากชิ่งหยาง อวี้เฉิง เจ้าพาพวกซานฝูปะปนเข้าไปในกลุ่มคนเร่ร่อนจากก่งชาง จากนั้นมุ่งหน้าไปเมืองซีอานพร้อมกับพวกเขา ส่วนอาเซิน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่สิบสองเดือนเจ็ด พวกเราไปพบกันที่โรงเตี๊ยมหย่งฝูในอำเภอผิงอันหลี่เมืองซีอานในวันที่สิบห้าเดือนแปด”
วันที่สิบสองเดือนเจ็ด? วันนี้เป็นวันที่สิบสองเดือนเจ็ดแล้วหรือ นางนอนไม่ได้สติมานานถึงเจ็ดแปดวันเชียวหรือนี่
ฟู่ถิงจวินตกใจยกใหญ่ เค้นแรงยกเปลือกตาขึ้น
แสงสว่างพลันสาดเข้ามาแยงตาจนรู้สึกแสบเคือง
นางรีบหลับตาลง
มีคนหลายคนแย่งกันพูดเสียงดังขรม บ้างร้องเรียก ‘ท่านเก้า‘ บ้างพูดว่า ’ข้าขออยู่กับท่าน‘ บ้างพูดว่า ’จะไปต้องไปด้วยกัน‘ บ้างพูดว่า ’ทำแบบนี้ได้อย่างไร‘ บ้างพูดว่า ’อย่างมากพวกเราก็พาสตรีผู้นี้ไปด้วยก็สิ้นเรื่อง’…
“พอแล้ว!” สุ้มเสียงราบเรียบดังขึ้นอีกครา เสียงดังจ้อกแจ้กก็เงียบซาไปดุจคลื่นกระทบฝั่ง เหลือเพียงเสียงของคนผู้เดียว “หากพวกเจ้ายังนับถือข้าเป็นท่านเก้า ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” เขาเอ่ยต่อ “ในเมื่อปลอมตัวเป็นคนเร่ร่อนแล้ว จะทำอะไรก็อย่าหุนหันพลันแล่น สิ่งสำคัญที่สุดคือไปให้ถึงเมืองซีอานอย่างปลอดภัย แล้วถ้าเกิดพบเจอกับคนของเฝิงเหล่าซื่อ พวกเจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน”
หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง มีเสียงขานรับดังขึ้นเป็นห้วงๆ
“พวกเจ้าออกไปเตรียมตัวเถอะ หลังจากมื้อเที่ยงพวกเจ้าก็ออกเดินทางได้เลย” เมื่อคนผู้นั้นกล่าวจบก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ฟู่ถิงจวินพยายามลืมตาขึ้น
ร่างผ่ายผอมร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในคลองจักษุ
แสงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องมาทางด้านหลังชายหนุ่มแผ่เป็นรัศมีสีทองเรืองๆ รอบกายเขา นางมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน แต่ฟังจากเสียงที่ราบเรียบแข็งกระด้างนั่นก็รู้ได้ว่าเป็นเขา…เป็นเขานั่นเอง
เขาช่วยนางไว้ได้อย่างไร เขาได้พบกับท่านแม่หรือไม่ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน คนที่พูดคุยกันพวกนั้นเป็นใคร เพราะอะไรต้องปะปนอยู่ในกลุ่มคนเร่ร่อนไปที่เมืองซีอาน แล้วเขาเป็นใคร ทำไมพูดว่าพอถึงเมืองซีอานแล้ว จะเป็นยอดนางคณิกาโคมเขียว นางละครชื่อดัง หญิงชาวบ้านจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หรือคุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่ล้วนให้เขาเลือกได้ตามแต่ใจ ส่วนสตรีคนที่ทำให้เขากับพรรคพวกโต้เถียงกันคือนางใช่ไหม คนที่กอดนางไว้แล้วป้อนยาให้เป็นเขาใช่หรือไม่
พอคิดถึงตรงนี้ ผิวแก้มนางร้อนซู่ ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากคำถามใดดี นางได้แต่มองดูเขาเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ก่อนจะหยุดห่างออกไปสองสามก้าวแล้วก้มลงมองนาง
ทั้งคู่ประสานสายตากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครคนใดเอ่ยปากพูด
ชายหนุ่มพลันยอบตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ท่านยังจำข้าได้หรือไม่” กล่าวจบเขาขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่ชอบใจน้อยๆ
จะเป็นเพราะนางทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย หรือว่าขุ่นเคืองที่นางทำให้เขากับพรรคพวกต้องโต้เถียงกัน?
ทว่าแม้เขาจะดูใจแข็งเป็นหิน แต่ยังยึดมั่นในคุณธรรมน้ำใจบางประการอย่างมั่นคง
ชั่วเสี้ยวขณะนี้ ฟู่ถิงจวินตื้นตันใจกับความมั่นคงเช่นนี้ของเขาสุดจะหาใดเปรียบ
“จำได้” นางพยักหน้าแล้วคิดจะส่งยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรี พอมุมปากเหยียดออกก็เจ็บเสียดๆ ที่กลางอก นางทำได้แค่กระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
เขาผงกศีรษะ แม้นใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ดังเก่า แต่นางกลับสัมผัสได้ว่าสีหน้าเขาผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ตอนข้ารุดไปถึง ยาต้มนั่นถูกกรอกเข้าปากท่านไปแล้วเกือบครึ่ง ไม่รู้ว่าพวกนางให้ท่านกินยาอะไร ข้าจำต้องบอกกับหมอว่าท่านพลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป” เขาพูดอธิบาย “ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นการถอนพิษ วิธีใช้ยาเป็นหลักการเดียวกัน น่าจะไม่เป็นไร” ท่าทางของเขาราวกับจะบอกว่า ข้าเดาไว้ไม่ผิด ท่านฟื้นขึ้นมาแล้วดังคาด
ฟู่ถิงจวินรู้สึกได้ว่าตนเองคงทำสีหน้าพิกลจนบรรยายไม่ถูกเป็นแน่
พลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป?
ใครกันจะพลั้งกินยาเบื่อหนูเข้าไป
หมอท่านนั้นฟังแล้วเห็นทีว่าคงแอบหัวเราะในใจ นึกว่านางเป็นภรรยาที่ชอบหึงหวงอาละวาดของเหย้าเรือนไหน…
ประเดี๋ยวก่อน…หมอ…เขาเชิญหมอมา…พรรคพวกของเขาถูกเสือตะปบบาดเจ็บ เขาแค่หยิบยาจากตู้ลิ้นชักของนางไปง่ายๆ ส่วนนาง เขากลับเชิญหมอมา…
หญิงสาวมองเขาอย่างงงงัน มีกระแสอารมณ์แปลกๆ บางอย่างไหลผ่านกลางใจไปทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง
หรือมีสาเหตุมาจากที่นางนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้มารยาทและไม่สำรวมกิริยาต่อหน้าเขา?
ฟู่ถิงจวินลอบตรึกตรองแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงพบว่าบนตัวสวมเสื้อคลุมผ้าเนื้อดีสีฟ้านวลสะอาดสะอ้าน
สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปถนัดตา นางจำได้ว่าตอนนั้นนางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโจว แล้วขณะที่ป้าเฉินกรอกยาให้นางดื่ม ยาต้มยังหกรดบนอาภรณ์อีกด้วย
ราวกับอ่านความคิดของนางออก เขาเอ่ยขึ้นทันใด “ตอนนั้นสถานการณ์ไม่แจ่มชัด ข้าไม่กล้าพาท่านไปหาหมอในตัวเมืองหวาอิน เลยได้แต่พาท่านมาที่ถงกวน ส่วนอาภรณ์ของท่าน เป็นภรรยาของหมอคนนั้นช่วยผลัดเปลี่ยนให้”
ถงกวนอยู่ห่างจากหวาอินแค่ยี่สิบลี้ พวกเขาหนีมาไม่ไกลนัก
ฟู่ถิงจวินหน้าแดงเรื่อๆ
คาดเดาเช่นนี้ ดูเหมือนจะมองเขาในทางร้ายไปสักหน่อย นางนึกร้อนตัวน้อยๆ
หญิงสาวทางหนึ่งมองสำรวจไปรอบๆ ทางหนึ่งเปลี่ยนเรื่องสนทนา “นี่พวกเราอยู่ที่ไหน”
นางเอนตัวนอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่นที่ปูด้วยเสื่อสาน ตัวเตียงเก่าคร่ำครา ยางรักสีแดงหลุดร่อนกระดำกระด่าง เผยให้เห็นสีรองพื้นสีขาว ลวดลายบนซี่พนักกั้นลบเลือนไปจนไม่เห็นร่องรอย เหลือแค่ซี่ไม้เรียบเกลี้ยง แต่เสื่อสานกลับเป็นผืนใหม่ มีสีเขียวเข้ม ยังเจือกลิ่นหอมสดชื่นของไม้ไผ่ไว้จางๆ ส่วนหลังคาห้องรั่วเป็นรูใหญ่หลายรู ทำให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ตรงๆ ลมโกรกผ่านเข้ามาได้ทุกทิศ มุมกำแพงด้านตรงข้ามมีแมงมุมตัวหนึ่งกำลังชักใยเป็นตาข่าย ประตูไม้ทางซ้ายมือซึ่งใช้ตอไม้เก่ายันเอาไว้ผุพังหมดสภาพ ส่วนกำแพงทางขวามือก็ทลายลงมามากกว่าครึ่ง สามารถมองเห็นเสี้ยวพระพักตร์ด้านข้างของเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่ประดิษฐานอยู่ไม่ไกลนัก
“ที่นี่เป็นศาลเจ้าร้างหลังหนึ่งนอกตัวเมืองถงกวน” เขาเอ่ย “พวกเราไม่มีเงินพักในโรงเตี๊ยม ก็เลยค้างแรมอยู่ที่นี่”
อย่างนั้นหรือ?
ฟู่ถิงจวินนึกถึงคำสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่นี้แล้วลอบเบะปาก จากนั้นนางคิดถึงหานเยียนกับลวี่เอ้อขึ้นมาได้ “สาวใช้สองคนของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ตอนนั้นนางตะโกนเสียงดังขนาดนั้น แต่ทั้งสองคนล้วนหายเงียบไป ถ้ามิใช่ถูกป้าเฉินกักขังเอาไว้ก็ถูกจับมัด…หวังว่าพวกนางจะไม่เป็นอะไรมาก!
เขาได้ยินวาจานี้แล้วเม้มมุมปาก มองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “ตอนนั้นรีบร้อนหนีมา ข้าไม่มีเวลาคำนึงถึงพวกนาง”
ฟู่ถิงจวินละอายใจ ราวกับว่านางตำหนิเขาที่ไม่พาสาวใช้สองคนมาด้วย…สถานการณ์ในตอนนั้นฉุกละหุกขนาดนั้น เขาช่วยนางออกมาก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้วจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะพาแม่นางน้อยที่อ่อนแอไร้ทางสู้มาด้วยอีกสองคน
นางไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดจึงรีบกล่าวอธิบาย “ตอนนั้นป้าเฉินไล่คนรับใช้ในหอจิ้งเยวี่ยออกไปที่อื่นจนหมด พวกหญิงคนงานไม่มีปากเสียง น่าจะถูกเรียกใช้ให้ไปทำงานบางอย่าง ข้าก็เลยนึกเป็นห่วงหานเยียนกับลวี่เอ้อ…”
เขาผงกหัวเบาๆ ท่าทางไม่อยากพูดคุยอะไรมาก “จริงสิ ข้าได้พบมารดาท่านแล้ว” เขาตัดบทนางแล้วล้วงของสิ่งหนึ่งที่ห่ออยู่ในผ้าออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นของที่นางให้ข้านำมามอบให้ท่าน”
ฟู่ถิงจวินรับมาแล้วเปิดออกดูอย่างกังขาใจ
เป็นกำไลเงินวงหนึ่งที่มีรอยคราบมันติดอยู่เล็กน้อย
กำไลเงินประเภทนี้พบได้ดาษดื่นมากที่สุด ในตัวเมืองหวาอินมีวางขายอยู่ทั่วทั้งถนน หากจะพูดว่าท่านแม่ให้เขานำกำไลวงนี้มามอบให้นางมีสิ่งใดที่ผิดแผกไป นั่นก็คือจุดที่มีคราบมันตรงสลักลายดอกอวี้หลัน* เอาไว้ คนอื่นมองดูแล้วจะคิดว่าเป็นเครื่องหมายไว้สังเกตเท่านั้น แต่พอนางได้เห็นแล้วกลับวุ่นวายใจไปหมด
มันเป็นของที่ท่านแม่ตั้งใจสั่งทำที่หอแลกเงินในเมืองซีอานไว้ให้นางยามออกเรือน
ด้านในเป็นช่องกลวง ส่วนสลักเปิดปิดก็อยู่ตรงรอยคราบมันนั่นเอง
ตอนท่านแม่วางกำไลเงินลงในหีบคันฉ่องของนางเคยแอบพูดกับนางว่ามีของส่วนตัวสำคัญอะไรให้เก็บไว้ข้างในนี้ คนอื่นย่อมคาดไม่ถึงเด็ดขาด
นางไม่นำพาว่าเขาอยู่ด้วย หมุนสลักกำไลเงินเปิดออก
ในนั้นเก็บตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงซึ่งมีตราประทับของหอแลกเงินเป่าชิ่งไว้สองใบ
หอแลกเงินเป่าชิ่งจำตั๋วเงินไม่จำตัวคน สามารถนำไปขึ้นเงินทั้งสาขายี่สิบเจ็ดแห่งทั่วทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้ทุกเมื่อ
เวลานี้ที่นาผืนงามที่สุดของเมืองซีอานก็แค่หมู่ละแปดตำลึงเงิน
เหตุใดต้องให้เงินนางเยอะแยะขนาดนี้
ท่านแม่หมายความว่าเช่นไร
ตั๋วเงินในมือหญิงสาวสั่นระริก
เขามองดูแล้ว ในหัวพลันมีภาพใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฟู่ถิงจวินห้าหกส่วนปรากฏขึ้น
‘ท่านผู้มีคุณ ข้าขอร้องล่ะ ช่วยบุตรสาวข้าด้วย!’ ใต้แสงไฟดวงน้อย หญิงวัยกลางคนก็ตัวสั่นเทาเฉกเดียวกับบุตรสาว ขณะวิงวอนชายหนุ่มด้วยน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า ‘ชาติหน้าข้าขอเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนบุญคุณของท่าน’ นางกล่าวพลางถอดเครื่องประดับบนตัวออกมายัดเยียดใส่มือเขา ‘ส่วนชาตินี้ข้าจะตั้งป้ายหินสดุดีให้ท่านผู้มีคุณ ขอพรให้ท่านอายุมั่นขวัญยืน พรั่งพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญ มีลูกหลานสืบสกุลบริบูรณ์…’ เห็นเขาเอาพวกเครื่องประดับทั้งหมดใส่เข้าไปในอกเสื้ออย่างไม่เกรงใจ นางก็ยิ้มขื่นเป็นเชิงเยาะหยันตนเอง ของพวกนี้มีราคานับพันชั่ง เพียงพอที่จะให้ชาวบ้านคนหนึ่งซื้อที่นาปลูกเรือน และไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องปากท้องไปชั่วชีวิตที่เหลืออยู่
บุตรสาวนางไม่ได้รับความคุ้มครองจากตระกูลแล้ว ทั้งเรื่องที่นางไหว้วานก็เป็นความประสงค์ส่วนตัว เขาจะเอาเครื่องประดับพวกนี้แล้วหลบลี้หนีหายไปเลยก็ยังได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัยไปช่วยคนสักนิด และถ้าเขาใจไม้ไส้ระกำสักหน่อย ยังสามารถล่อลวงบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนของนางไปขายได้ด้วยซ้ำ…ต่อให้เรื่องแดงขึ้นมาแล้วจะมีอันใด เกรงว่าแม้แต่คนไล่เลียงเอาผิดก็ยังไม่มี! ถึงกระนั้นนางหมดหนทางแล้วจริงๆ จำต้องรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น*!
ยามเห็นกำไลเงินวงนั้น เขากระจ่างแจ้งในความคิดของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นทันใด
มุมปากเขาอดมีรอยยิ้มขมขื่นรางๆ ผุดขึ้นมิได้
“มารดาท่านให้ข้าพาท่านไปส่งที่บ้านน้าชายของท่านในอำเภอเฟิงหยวนเมืองเว่ยหนาน นับจากนี้อย่าได้กลับไปที่สกุลฟู่อีก” เขาพูดแล้วชี้ไปที่ห่อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินตรงข้างหมอนนาง “ในนั้นมีอาภรณ์สองสามชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนกับพวกเครื่องประดับเงินทองที่มารดาท่านมอบให้ ท่านเก็บไว้ดีๆ พอถึงยามพลบค่ำพวกเราก็ค่อยออกเดินทาง” เขาพูดจบก็หมุนกายจะเดินออกไป
“ช้าก่อน!” เสียงของฟู่ถิงจวินสั่นสะท้าน “ท่านบอกว่าท่านแม่ให้ข้าอย่ากลับไปที่สกุลฟู่หรือ”
เขาหันหน้าไป
สายตานางที่จับจ้องมองเขาทั้งวาดหวังทั้งหวาดกลัว
ฉับพลันนั้นชายหนุ่มกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจอยู่บ้าง น้ำเสียงเขาห้วนสะบัด “มารดาท่านกล่าวไว้อย่างนี้!”
ฟู่ถิงจวินมีสีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง
“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านแม่รู้แต่แรกแล้วว่าป้าเฉินจะกำจัดข้าทิ้งอย่างนั้นหรือ” นางกอดเข่า ทำเสียงพึมพำถามตนเองด้วยแววตาเลื่อนลอย “ทำไม ทำไมท่านแม่เต็มใจเชื่อจั่วจวิ้นเจี๋ยแต่ไม่ยอมเชื่อข้า ทำไมต้องพูดถ้อยคำปลอบประโลมใจว่า ‘แทนที่จะเชื่อถือธรรมเนียมของสกุลฟู่ มิสู้เชื่อใจบุตรสาวที่ข้าสั่งสอนมาเองกับมือ’ อย่างนี้ด้วย
ทำไมท่านแม่ไม่ถามไถ่ข้าสักคำก็ตัดสินโทษข้าแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมต้องส่งข้าไปที่บ้านท่านน้า หรือจะให้ข้าไปรับความอัปยศอีกครั้งหนึ่ง ข้าช่างน่าสมเพชนักที่ยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าจะได้พบท่านแม่…นึกแค่ว่าเมื่อได้พบท่านแม่แล้วก็จะล้างมลทินของข้าได้” นางยกมือปิดหน้า เอาศีรษะซบกับหัวเข่า
“มารดาท่านคงมีความจำเป็นบังคับเช่นกันกระมัง” เขาชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าไปตั้งหลายรอบล้วนไม่พบมารดาท่าน แต่เป็นเพราะบังเอิญได้ยินสาวใช้ส่งอาหารพูดขึ้นมา ถึงรู้ว่าตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนมารดาท่านย้ายไปที่เรือนท่านย่าของท่าน สวดมนต์อยู่ในหอพระเป็นเพื่อนท่านย่าของท่านทุกวัน เพื่อขอพรให้ท่านสุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน…”
“ท่านจะบอกว่าท่านแม่ข้าถูกกักขังเช่นกันหรือ” ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาฉายแววตะลึงลานระคนวาดหวังไว้เต็มเปี่ยม
เขาอ่านความรู้สึกนางได้แจ่มแจ้ง
ตะลึงลาน เพราะไม่กล้าเชื่อว่ามารดาของนางจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
วาดหวัง เพราะหวังว่ามารดานางมิได้ระแวงสงสัยนาง มิได้ทอดทิ้งนาง
เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ตามความเห็นข้า มารดาของท่านถูกกักขังจริงๆ!”
อารมณ์ของฟู่ถิงจวินพลุ่งพล่านขึ้นกะทันหัน
นางเปิดผ้าห่มเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้มบนตัวออกแล้วลงจากเตียง
“ท่านผู้กล้า ข้ายังไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่ของท่านเลย” ฟู่ถิงจวินมองเขาด้วยแววตาคมกล้า
เขาละล้าละลังครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าแซ่จ้าว” แต่มิได้บอกชื่อของตนออกมา
“ท่านเก้าสกุลจ้าว” นางยิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนเรียกขานท่านว่า ‘ท่านเก้า’ ข้าขอเรียกท่านแบบนี้เถอะ”
ใต้แสงอาทิตย์ ดวงหน้านางเปล่งรัศมีเฉิดฉายดุจดอกโบตั๋นแรกแย้ม งามล้ำตราตรึงใจ
เขาพยักหน้าอย่างใจลอยเล็กน้อย
ฟู่ถิงจวินแย้มยิ้มอย่างแช่มชื่นยิ่งขึ้น
นางเอาตั๋วเงินสองพันตำลึงยื่นให้เขา
เขาชำเลืองมองตั๋วเงินในมือนางแวบหนึ่ง จากนั้นมองหน้านางพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงนใจ
“ข้าจะไปเมืองหลวงหาท่านพ่อข้า อยากขอให้ท่านเก้าคุ้มครองข้าไปตลอดทาง ส่วนนี่คือค่าตอบแทน” ดวงตาคู่งามของฟู่ถิงจวินทอประกายสดใส นางเอ่ยต่อ ”ข้ารู้เช่นกันว่าท่านเก้าต้องเร่งรุดไปที่เมืองซีอานก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าไม่กล้าขัดขวางงานใหญ่ของท่าน เพียงหวังว่าระหว่างนี้จะได้ติดตามอยู่ข้างกายท่าน รอหลังจากท่านทำงานลุล่วงแล้วจะเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้าได้ ที่พักและอาหารล้วนเอาเงินที่ข้าได้เลย ถ้าไม่พอ เมื่อไปถึงเมืองหลวง ข้าจะให้ท่านพ่อชดใช้คืนท่านอีกทีหนึ่ง!” น้ำเสียงของหญิงสาวจริงใจอย่างยิ่งยวด
เขาตรึงสายตาอยู่ที่ใบหน้านางเหมือนต้องการพิศดูท่าทางของนางให้แจ่มชัดด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมาก
ฟู่ถิงจวินรู้สึกอยู่ไม่วายว่าชายหนุ่มเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทั้งยังใช้วิธีการดุดันโหดเหี้ยมอย่างนั้นได้ จึงทำให้ผูกมิตรด้วยยากอย่างยิ่ง ขณะนี้เห็นเขาจ้องมองตนเองอย่างไม่ละสายตา ทำให้นางใจเต้นไม่เป็นส่ำอย่างสุดระงับ สุ้มเสียงก็ยิ่งอ่อนน้อมมากขึ้น “ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านแม่ทนคับข้องหมองใจเช่นนี้ จะอย่างไรก็ต้องไปพบท่านพ่อ ขอให้ท่านช่วยตัดสินความยุติธรรมให้ท่านแม่กับข้า…”
“แต่ว่า…” เขาเอ่ยขึ้นเนิบๆ “พักก่อนบิดาท่านกลับมาที่หวาอินแล้ว”
“อะไรนะ” ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“สกุลฟู่แพร่ข่าวการตายของท่านออกมาแล้ว” เขาพูดเสียงเอื่อยๆ “ซ้ำยังจัดพิธีศพให้ท่านสิบสี่วัน และแจ้งข่าวมรณกรรมไปถึงบิดาท่านกับสกุลอวี๋แล้ว บิดาท่านกลับถึงหวาอินเมื่อห้าวันก่อน ส่วนคนของสกุลอวี๋มาถึงเมื่อสามวันที่แล้ว คนที่มาคือคู่หมั้นของท่านกับน้าสามของเขา หลังจากเซ่นไหว้หลุมศพของท่าน บิดาของท่านก็มอบเทียบหมั้นคืนให้แก่สกุลอวี๋…”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!” ฟู่ถิงจวินตะโกนเสียงดัง ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะยืนยันได้ว่าเขาเข้าใจผิด ทว่าสีหน้าท่าทางของนางสับสนลนลานไปหมดแล้ว
ท่านแม่รู้ดีว่านางยังมีชีวิตอยู่ และถึงท่านพ่อยังเคลือบแคลงใจในตัวนางบางส่วน ขอแค่ตามนางกลับไปซักถามก็จะรู้เรื่อง ทำไมไม่สืบความจริงให้กระจ่าง ทำไมไม่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง ซ้ำร้ายยังถอนหมั้นกับสกุลอวี๋!
เช่นนั้นนางจะทำฉันใด
หรือจะเป็นอย่างที่ท่านแม่กล่าวไว้ ไม่ต้องกลับไปที่สกุลฟู่อีกใช่หรือไม่
ฟู่ถิงจวินนั่งลงบนเตียงอย่างสิ้นหวัง
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนเองกลับสกุลฟู่ไม่ได้
นางเกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น
ต่อให้ต้องออกเรือนไปยังสกุลอวี๋อันโด่งดังลือลั่นแห่งเมืองหนานจิง เมื่อนางคิดถึงสกุลฟู่ คิดถึงว่าตนเองเป็นบุตรสาวที่ได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่ก็จะรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นแม่สามีที่เก่งกาจปราดเปรื่องก็ดี สามีผู้มีความสามารถรอบด้านทว่าไม่เคยพบหน้าค่าตาก็ดี หรือน้องสาวสามีมากมายหลายคนที่มีนิสัยใจคอต่างๆ กันไปก็ช่าง นางล้วนไม่ระย่อครั่นคร้าม เพราะว่านางมีสกุลฟู่ที่สามารถมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้แก่นางได้ทุกเมื่อ!
บัดนี้ แม้นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ในสายตาคนภายนอกคือตายไปแล้ว นางไม่ใช่บุตรสาวสกุลฟู่ ไม่ได้รับความคุ้มครองจากสกุลฟู่อีกสืบไป…ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล นางกลับมีตัวคนเดียวโดดเดี่ยว เสมือนแพสวะที่ลอยไปตามน้ำ แสวงหาที่ทางลงหลักปักฐานมิได้…
ฟู่ถิงจวินยกสองมือกอดตัวเอง เพียงรู้สึกว่ารอบกายถูกห้อมล้อมด้วยไอเย็นยะเยือก
ฟู่ถิงจวินขดตัวอยู่ตรงมุมเตียงเฉกลูกแมวที่ได้รับบาดเจ็บ
ท่านเก้าเห็นแล้วใจอ่อนลงบ้าง “ท่านเพิ่งหายจากป่วยหนัก พักผ่อนให้มากๆ ข้าจะให้คนยกอาหารกลางวันมาให้…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ ฟู่ถิงจวินก็ผุดลุกขึ้นอีก “ท่านเก้า ได้โปรดส่งข้ากลับหวาอิน ข้าไม่อยากไปเว่ยหนาน”
เขาอดขมวดคิ้วมิได้ “ในเมื่อมารดาท่านเตรียมการให้ท่านไปเว่ยหนาน คงจะต้องจัดแจงทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว ไยต้องทำให้ความปรารถนาของมารดาท่านสูญเปล่าด้วย ท่านไปอยู่ที่นั่นก่อนชั่วคราวดีกว่า หากมีเรื่องใด น้าชายกับน้าสะใภ้ของท่านจะได้เตรียมลู่ทางให้ท่านสักนิด ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเคว้งคว้างไม่รู้จะบ่ายหน้าไปทางไหนเช่นนี้”
มีหรือที่นางจะไม่รู้!
ท่านน้าของนางได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าในการสอบขุนนางอีกหลายครั้งต่อมาล้วนพลาดหวัง ประกอบกับฐานะขัดสนลงเรื่อยๆ จึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับราชการไป และหันมามุ่งมั่นกับการค้าขาย หลายปีมานี้ท่านน้าหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจนมีวี่แววว่าจะเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนาน กระทั่งท่านลุงใหญ่ยังเอ่ยถึงด้วยความเลื่อมใสพอดู ท่านน้ามีบุตรชายสี่คนแต่ไม่มีบุตรสาว ก็เลยรักเอ็นดูนางอย่างยิ่ง ทุกคราที่ได้ของหายากอะไรมา แม้ว่าพวกพี่ชายยังไม่มี ก็ต้องส่งให้นางชิ้นหนึ่งเสมอ ฉะนั้นย่อมไม่มีวิธีใดดีกว่าฝากฝังนางไว้กับท่านน้าอีกแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามสถานการณ์ในคราวนี้ต่างออกไป บิดามารดาของนางเลือกที่จะประนีประนอม ส่งผลให้นางไม่มั่นใจเลยจริงๆ ว่าท่านน้าจะออกหน้าแทนนาง…
“ข้าไม่ไปเว่ยหนาน!” ดวงตาคู่โตของหญิงสาวที่มองเขาฉายแววดึงดัน “ข้าไปเว่ยหนานแบบนี้ไม่ได้!”
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก นางกับลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงเล่นซ่อนหาอยู่ในเรือนท่านย่าแล้วทำโถดอกเหมยใบโปรดของท่านย่าแตก แต่ไม่มีคนยอมรับผิด ทำให้ถูกท่านย่าลงโทษด้วยการให้ไปคุกเข่าในห้องโถง ‘พวกเจ้าเป็นคุณหนูสกุลฟู่ มีศักดิ์ฐานะสูงส่งอยู่ในตระกูลมีเกียรติไม่มีเรื่องด่างพร้อย ไฉนพอเกิดเรื่อง แต่ละคนล้วนเป็นเหมือนคนชั้นต่ำที่เดินตามตรอก ขลาดเขลาไร้ความกล้า
กับแค่ทำโถกระเบื้องแตกใบเดียว ยอมรับผิดจะเป็นไรไป ก็แค่ชดใช้ในสิ่งที่ควรชดใช้ รับโทษที่ควรได้รับ หรือว่าแม้แต่เรื่องนี้พวกเจ้ายังทนไม่ไหว ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ ถ้าไม่กล้ารับก็อย่าทำ วันนี้ให้พวกเจ้าพี่น้องคุกเข่าเป็นการลงโทษ มิใช่เพราะพวกเจ้าทำโถกระเบื้องแตก หากแต่พวกเจ้าไม่กล้ารับผิด ไม่กล้าเชิดหน้ายืดอกเยี่ยงคนซื่อตรงทรงเกียรติ…’
คิดถึงตรงนี้ ขอบตาของฟู่ถิงจวินแดงเรื่อ
“ถ้าไปเว่ยหนานแบบนี้ แล้วข้านับเป็นอะไร” นางฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลลงมา “เพราะเรื่องที่มีสัมพันธ์ลับกับจั่วจวิ้นเจี๋ยถูกเปิดเผยออกมาจึงปลิดชีพตนเองด้วยกลัวความผิด เป็นสตรีไร้ยางอาย เป็น…” คำว่าหญิงใจง่าย ไม่ว่าอย่างไรนางก็เอื้อนเอ่ยออกจากปากมิได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากแล้วกล่าวต่อ “ดังนั้นจึงถูกกำจัดทิ้งลับๆ ดุจดั่งมุสิกในร่องน้ำครำ! ข้าไม่กลัวตายหรอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า แต่ต่อให้ข้าตายไปก็ต้องตายอย่างมีเกียรติ ตายอย่างบริสุทธิ์ไร้มลทิน จะให้ถ้อยคำสกปรกโสโครกพวกนั้นของจั่วจวิ้นเจี๋ยแปดเปื้อนติดตัวข้าไปทั้งชีวิตมิได้…”
ท่านเก้ามองนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทีละน้อย “ท่านอยากกลับไปเผชิญหน้ากับจั่วจวิ้นเจี๋ย?”
น้ำเสียงของฟู่ถิงจวินมีร่องรอยลังเล “ข้ารู้เช่นกันว่าข้ากลับไปตอนนี้มีแต่ทำให้สกุลฟู่กลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้คน ถึงในใจข้ามีความคับแค้นมากสักปานใด ท่านพ่อ ท่านแม่ อีกทั้งพี่ชาย พี่สะใภ้ หลานๆ และลูกผู้พี่ผู้น้องที่เติบโตมาด้วยกันแต่เด็กก็ยังต้องอยู่ในสกุลฟู่ต่อไป…ทว่าอย่างน้อย ต้องให้พวกผู้อาวุโสในตระกูลล่วงรู้…” นางก้มศีรษะ สีหน้าเคว้งคว้าง
ชายหนุ่มลอบถอนใจ
“ตอนนี้ท่านกลับไปที่หวาอินก็ไม่มีประโยชน์ใดแล้ว” เขากล่าว “พักก่อนสกุลฟู่มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า จั่วจวิ้นเจี๋ยกระทำเรื่องผิดศีลธรรมหลังเมาสุรา คิดทำมิดีมิร้ายต่ออนุของท่านลุงของท่าน นางทนรับความอัปยศไม่ไหว แขวนคอตายไปแล้ว สกุลฟู่ไปแจ้งทางการ นายอำเภอส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ตรอกกว่างเทาเพื่อเรียกตัวเขามาสอบสวน กลับพบกว่าที่นั่นว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ จั่วจวิ้นเจี๋ยก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้รู้ไปถึงกองตุลาการ และได้รายงานต่อกรมอาญากับกรมพิธีการให้ถอดตำแหน่งบัณฑิตของจั่วจวิ้นเจี๋ย ปลายเดือนน่าจะมีข่าวที่แน่นอนไปถึงเมืองซีอาน”
“ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” ฟู่ถิงจวินมองท่านเก้าด้วยสีหน้าตะลึงงันเต็มเปี่ยม
สละนางยังไม่พอ ยังต้องดึงอนุคนหนึ่งของท่านลุงใหญ่มารับเคราะห์ไปด้วย!
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ในห้วงความคิดของนางสับสนยุ่งเหยิง
เริ่มจากจั่วจวิ้นเจี๋ยบอกว่ามีสัมพันธ์ลับกับนางเหมือนคนบ้าบิ่นขาดสติ ต่อมาผู้อาวุโสของตระกูลไม่ถามไถ่นางสักคำก็ขังนางไว้ในอารามปี้อวิ๋น จากนั้นภรรยาของปี้ปอก็หายตัวไป ท่านแม่ถูกกักตัว นางถูกกรอกยา อนุของท่านลุงใหญ่แขวนคอตาย จั่วจวิ้นเจี๋ยหายตัวไป…ไฉนสกุลฟู่ที่อบอุ่นแสนสุขมาแต่ไหนแต่ไรถึงกลายเป็นนรกไปในชั่วข้ามราตรีได้นะ
นางขบคิดไม่แตก!
เดิมทีเรื่องราวไม่จำเป็นต้องดำเนินมาถึงขั้นนี้
ถึงจั่วจวิ้นเจี๋ยมีเล่ห์กระเท่ห์ต่ำช้า เหตุผลที่เขากล้าทำเรื่องพรรค์นี้เพราะคาดคะเนได้อย่างแม่นยำว่าสกุลฟู่ไม่กล้าป่าวร้องออกไป แทนที่จะคาดหวังว่าเขาจะบังเกิดมโนธรรมภายในใจยุติเลิกราไปเอง มิสู้เปิดอกพูดกันอย่างตรงไปตรงมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถ้าใครต่อใครพากันถือของชิ้นหนึ่งมาบอกว่ามีสัมพันธ์ลับกับบุตรสาวสกุลฟู่ เช่นนั้นบุตรสาวสกุลฟู่ไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันแล้วหรือไร ชื่อเสียงของสกุลฟู่มิกลายเป็นเรื่องชวนขันไปหรือไร! แม้ว่าถึงตอนนี้จะต้องมีเสียงเล่าลือนินทาเป็นแน่ แต่ก็ยังดีกว่าถูกจั่วจวิ้นเจี๋ยมัดมือมัดเท้าแบบนี้ ทำให้มีคนจบชีวิตไปคนแล้วคนเล่า…
ท่านลุงใหญ่กริ่งเกรงอะไรอยู่กันแน่
พอเรื่องนี้ลุกลามมาถึงขั้นสะสางไม่อยู่ เหตุใดยังต้องอ่อนโอนให้จั่วจวิ้นเจี๋ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถึงกับยินยอมสละนาง สละอนุของตนเอง
มันมีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่ที่นางไม่รู้?
ละม้ายภาพที่ถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปะติดปะต่ออย่างไรก็ขาดชิ้นที่สำคัญมากไปชิ้นหนึ่ง ทำให้มองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วภาพนี้เป็นภาพอะไร
ร่างกายที่เพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยทานรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่ไหว
ฟู่ถิงจวินหลั่งเหงื่อเย็นไม่หยุด กลับดื้อรั้นไม่ยอมเอนตัวลงนอนพักผ่อน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะน้อยๆ
แม้แต่เขายังคิดแล้วไม่เข้าใจ นับประสาอะไรกับสตรีในห้องหอที่เปราะบางคนหนึ่งเช่นนาง!
“มีบางเรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็อย่าคิดอีกเลย” เขาอดพูดกล่อมนางมิได้ “พักผ่อนสักหน่อยแล้วค่อยคิดอีกที ไม่แน่ว่าจู่ๆ ก็จะแจ่มแจ้งขึ้นมาเอง”
ฟู่ถิงจวินเม้มปาก
“ท่านเก้า!” มีเสียงเล็กใสของเด็กน้อยเรียกขานเขาอย่างขลาดๆ “ขะ…ข้าต้มโจ๊กมาให้แม่นางขอรับ”
ทั้งสองหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน
ฟู่ถิงจวินมองเห็นเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่ง หัวโตตัวผอมแห้งดั่งท่อนฟืน เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างเต็มไปด้วยรอยปุปะ มือหนึ่งประคองชามโคมหนาเทอะทะใบหนึ่ง มือหนึ่งถือตะเกียบคู่หนึ่ง กำลังเบิกตากว้างมองนางด้วยความสนใจใคร่รู้ ข้อมือของเขาเล็กเสียจนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเขามีแรงยกชามโคมใบเขื่องนั่นไว้ได้หรือไม่
“ยกเข้ามาเถอะ” ท่านเก้าเอ่ยสั่งเด็กน้อย จากนั้นหันหน้ามาพูดกับหญิงสาว “ท่านคิดจะทำอะไรก็ต้องพักรักษาตัวให้หายดีค่อยว่ากัน กินข้าวแล้วพักผ่อนสักครู่ พวกเราจะไปกันตอนพลบค่ำ”
ไป? ไปเว่ยหนานหรือ
คำตอบที่ก่อนหน้านี้เคยมั่นใจมาก ขณะนี้กลับตัดสินใจไม่ใคร่จะถูกเสียแล้ว
ไปเว่ยหนานตามที่ท่านแม่เตรียมการให้ นับแต่นี้ละทิ้งฐานะบุตรสาวสกุลฟู่ ก็เท่ากับยอมรับคำโกหกพกลมของจั่วจวิ้นเจี๋ยในทางอ้อม
ไม่ไปเว่ยหนาน จั่วจวิ้นเจี๋ยหนีไปเพราะบีบคั้นให้อนุของท่านลุงใหญ่ต้องตาย ส่วนคนที่ป่วยตายถูกฝังลงดินแล้วอย่างนางกลับโผล่ออกมาโต้แย้งถูกผิดกับจั่วจวิ้นเจี๋ยกะทันหัน ถึงตอนนั้นเรื่องที่สกุลฟู่ปกปิดไว้สุดกำลังจะเปิดเผยออกมาต่อหน้าผู้คน คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ในทีแรกก็จะได้รู้แล้ว…นี่มิใช่นางตบหน้าตัวเองอย่างนั้นหรือ!
เสียงสวบสาบแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง
ท่านเก้าออกไปแล้ว
เด็กชายยื่นโจ๊กให้นางอย่างระมัดระวัง “แม่นาง ข้าใช้พัดพัดให้แล้ว ไม่ร้อนเลยสักนิด”
เมื่อได้พิศดูถึงพบว่าเขาเป็นเด็กชายที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง
ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวโค้ง นัยน์ตากลมโต
ฟู่ถิงจวินส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร นางรับชามโจ๊กมาแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่ออาเซินขอรับ” เห็นหญิงสาวส่งยิ้มให้ เขาก็คลายยิ้มออกมา ดวงตาคู่โตหรี่ลงน้อยๆ แลดูน่ารักมาก “ชื่อนี้ท่านเก้าเป็นคนตั้งให้ บอกว่าเก็บข้าได้ตรงหน้าต้นไม้สามต้น ก็เลยเรียกข้าว่าอาเซิน*” เขาพูดพลางใช้เท้าวาดไปมาบนพื้น “อักษรคำว่า ‘เซิน’ มีคำว่าไม้สามตัว เขียนแบบนี้ขอรับ!”
ฟู่ถิงจวินคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินเขามอบหมายงาน ยังนึกว่าอาเซินเป็นหนุ่มฉกรรจ์บึกบึนแข็งแรง จึงคิดไม่ถึงว่าอาเซินจะเป็นเด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง
ความร่าเริงของอาเซินผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้ลงได้ บันดาลให้ฟู่ถิงจวินอารมณ์ดีขึ้นมาก
“ท่านเก้าเป็นคนบอกเจ้าหรือ” นางถือชามไว้ เอ่ยถามเขายิ้มๆ มิได้รีบร้อนจะกิน
“อื้อ!” อาเซินพยักหน้า “ท่านเก้ายังให้ข้าใช้แซ่จ้าวด้วย ข้าชื่อจ้าวเซิน” ตอนที่กล่าวถ้อยคำนี้ เขายืดอกด้วยความภาคภูมิใจสุดจะกล่าว
ฟู่ถิงจวินหัวเราะออกมา “แล้วท่านเก้าของพวกเจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“ชื่อ…” เพิ่งหลุดปากออกมาคำเดียว อาเซินรู้ตัวทันทีว่าพลั้งปากแล้ว เขารีบปิดปากไว้ แต่ครั้นเห็นนางมองเขาด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายดูงดงามดุจบุปผา ทำให้เขาทำใจแข็งไม่ได้ เด็กชายอึกๆ อักๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะล้วงไข่ต้มฟองหนึ่งในอกเสื้อออกมาวางทิ้งไว้ให้ฟู่ถิงจวิน “นี่ท่านเก้าให้ข้าต้มให้ท่าน ข้ายังต้องต้มยาให้ท่านอีก!” ว่าแล้วก็วิ่งปรูดออกไปราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง
เด็กคนนี้ชวนขันจริงๆ!
ฟู่ถิงจวินผลิยิ้มงามเจิดจ้า จากนั้นก้มหน้ากินโจ๊ก
เม็ดข้าวนุ่มๆ เหนียวๆ ทิ้งรสหวานหอมอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงปาก
เป็นข้าวขาวหิมะเดือนหกชั้นดี
เขาหามาจากที่ใดกัน
บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารมานานหลายวัน มาตรว่าโจ๊กจะอร่อยมาก แต่นางกินได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่ม พอคิดจะเอาชามไปเก็บที่ห้องครัว ก็นึกขึ้นได้ว่าท่านเก้ายังมีพรรคพวกมากมาย นางเลยล้มเลิกความคิดนี้
หญิงสาวหยิบไข่ต้มมาคลึงอยู่ในมือเป็นนานถึงค่อยปอกเปลือกไข่ออก
ไข่ขาวนุ่มนิ่ม ไข่แดงเนียนละเอียด
อร่อยจริงๆ!
ฟู่ถิงจวินมองแสงแดดที่ส่องลอดหลังคาลงมา พลันรู้สึกว่าถ้าวันเวลาหยุดนิ่งลงในเสี้ยวขณะนี้ไปชั่วนิรันดร์คงจะดีสักปานใดหนอ!
พอความคิดผุดขึ้น พาให้นางนึกไปถึงการเดินทางตอนพลบค่ำ
ทำไมต้องไปตอนพลบค่ำ มืดมิดไร้แสงไฟจะเร่งรุดเดินทางอย่างไร แล้วจะไม่โดนจับเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ
นางพิงหลังกับหัวเตียง
ตกลงว่าจะกลับหวาอินหรือว่าไปเว่ยหนานดีนะ
ด้านนอกมีเสียงอึงคะนึงดังขึ้นระลอกหนึ่ง เป็นเสียงกล่าวอำลาดังบ้างเบาบ้าง
ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้นเห็นอาเซินแอบอยู่ด้านข้างเทวรูปพระโพธิสัตว์
นางยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกเขา “เจ้าบอกมิใช่หรือว่าจะไปต้มยาให้ ไฉนกลับมาอีกแล้ว”
อาเซินยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิมอย่างเก้อกระดาก
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่บอกท่านเก้าหรอก”
“ข้ามิได้กลัวสักหน่อย!” อาเซินทำปากยื่น พูดแย้งนาง “เป็นท่านเก้าให้ข้าแอบมาดูท่าน บอกว่าเผื่อท่านคิดไม่ตกแล้วทำอะไรโง่ๆ ออกมา!”
ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน
อาเซินเดินเข้ามา
พอเห็นโจ๊กครึ่งชามที่นางวางอยู่บนหัวเตียง เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “ทะ…ทำไมท่านไม่กินโจ๊ก ข้าต้มไม่อร่อยหรือขอรับ”
นางหวนประหวัดถึงภาพท่านเก้ากวาดของกินในเรือนครัวไปตอนพบกันครั้งแรกแล้วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง กระซิบถามอาเซินอย่างอดใจไม่อยู่ “ตอนกลางวันเจ้ากินอะไร”
อาเซินหลบสายตานาง ตบท้องพลางพูด “ข้ากินอิ่มแล้ว! ไม่เชื่อท่านลูบท้องข้าดูได้เลยขอรับ”