ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่หก
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศประจิมทีละน้อย ท่านเก้าสกุลจ้าวเดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมสั้นป้ายข้างสีน้ำเงินเข้มที่ซักจนสีซีด มีแถบผ้าผูกเอว แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอก ดูทะมัดทะแมงและคล่องแคล่วเจนจัดอยู่หลายส่วน “ท่านเก็บของเสร็จแล้วหรือยัง พวกเราจะไปกันแล้ว!”
ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจกับเรื่องนี้มาตลอดยามบ่าย พอได้ยินวาจานี้ ใบหน้าเผยรอยลังเลใจออกมา
ท่านเก้าเม้มปาก นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “สองเรื่องนี้หาได้ขัดแย้งกันไม่ ท่านไปอาศัยที่เว่ยหนานก่อน พอบิดามารดาท่านรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมาหาท่านแน่นอน ถึงเวลานั้นมีเรื่องใดค่อยถามท่านทั้งสอง ภายภาคหน้าจะทำอย่างไรก็มีคนที่ปรึกษาหารือได้ อีกอย่างร่างกายท่านยังอ่อนแอ ไม่เหมาะจะนอนกลางดินกินกลางทราย มีน้าชายน้าสะใภ้คอยดูแล จะได้หายเร็วขึ้นบ้าง”
สิ่งสำคัญที่สุดคือท่านเก้ากับนางพบกันโดยบังเอิญ เขาไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ ยังให้ความช่วยเหลือนางมากมายในยามที่ตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพลำบากอัตคัด เป็นความเมตตากรุณาเท่าที่เขาพึงทำได้แล้ว นางจะพลอยให้เขาเดือดร้อนไปด้วยอีกไม่ได้
ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงแล้วพยักหน้าอย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นหยิบห่อสัมภาระข้างหมอนขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
เขายืนนิ่งไม่ขยับ เหลือบตามองนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าชอบกลๆ “ท่านผลัดอาภรณ์ใหม่จะดีกว่า”
นางประหลาดใจมาก ก้มหน้ามองสำรวจชุดของตนเอง
เสื้อคลุมไหมเนื้อดีสีฟ้านวล กระโปรงบานสีน้ำเงินเข้มจับจีบซ้ายขวาข้างละหกจีบ รัดผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้ม บนตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น สะอาดสะอ้านเรียบร้อยหมดจด แล้วมีอะไรไม่เหมาะ!
นางมองเขาอย่างงุนงง
หญิงสาวมีผิวกายเนียนดุจเนื้อหยก รับกับเรือนผมดำดุจสีน้ำหมึก และริมฝีปากแดงนุ่มนิ่ม นางดูอ่อนหวานหยาดหยดดั่งดอกทับทิมกลางคิมหันตฤดู และงดงามติดตรึงใจเฉกเช่นทิวทัศน์อันสดใสเจิดจรัสของเดือนห้า แต่ดวงตาเรียวงามกลับทอประกายใสบริสุทธิ์ดุจธารน้ำกลางพงไพร เสมือนไม่รับรู้ถึงความงามของตนเองสักนิด รูปโฉมงามล้ำที่แฝงไว้ด้วยความสง่าเรียบง่ายสามส่วนอย่างนั้นยิ่งชวนให้จิตใจสั่นไหวมากขึ้น
ชายหนุ่มลอบถอนใจแล้วเอ่ย “ท่านหาผ้าสักผืนโพกศีรษะ แล้วเปลี่ยนใส่อาภรณ์สีเข้มสักหน่อย” เขามองเห็นมือที่ถือห่อสัมภาระไว้ขาวผ่องเนียนนุ่มดุจหยกเนื้อดี “ใช้ผ้าคาดเอวพันมือไว้ด้วย”
เมื่อครั้งที่ฟู่ถิงจวินไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องและมิตรสหายเคยมองลอดผ่านม่านหน้าต่างออกไปเห็นพวกคนชั้นต่ำ พวกเขาล้วนสวมเสื้อผ้าสีเข้ม โพกศีรษะ สวมรองเท้าฟางหรือเท้าเปล่า ผมเผ้าใบหน้ามอมแมมสกปรก
“ท่านจะให้ข้าปลอมตัวเป็นคนชั้นต่ำหรือ” นางเอ่ยเสียงลังเล “แต่ไรมาทางการไม่เกรงใจคนพวกนี้…”
ถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะถูกตรวจค้นก็เพิ่มขึ้นอีกมาก
“ขณะนี้ข้างนอกมีคนเร่ร่อนทุกหนแห่ง ทั้งในอันฮว่า เหอสุ่ย หล่งซี และอันติ้งล้วนเกิดการลุกฮือขึ้น เจ้าหน้าที่พวกนั้นยังจะกล้าตรวจค้นที่ไหนกัน” ท่านเก้ากล่าวอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ยิ่งสวมอาภรณ์สวยงาม ยิ่งมีโอกาสถูกปล้นชิง ทันทีที่มีคนถูกปล้นชิง คนที่อดอยากหิวโหยพวกนั้นได้ยินเสียงก็จะกรูกันเข้ามากลุ้มรุมโจมตี สองมือหรือจะสู้สี่มือได้ ถึงตอนนั้นข้าอาจคุ้มครองท่านไม่ไหว ท่านแต่งกายแบบนี้เด่นสะดุดตาเกินไป”
ฟู่ถิงจวินหน้าแดงเรื่อๆ
ไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่างจริงๆ แม้แต่จะเดินทางยังทำให้เขาเดือดร้อน
นางรีบพยักหน้า
ชายหนุ่มเลี่ยงออกไป
นางเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ตามที่เขากำชับไว้ มองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง รู้สึกไม่มีช่องโหว่ใดๆ แล้ว จึงส่งเสียงเรียก “ท่านเก้า”
เขาเดินเข้ามา ยังมีอาเซินที่แต่งกายแบบเดียวกันตามมาด้านหลัง
เมื่อเห็นฟู่ถิงจวิน ดวงตาของอาเซินนิ่งค้างไป
ชุดชาวบ้านสีน้ำเงินเข้มขับเน้นใบหน้าของนางให้ยิ่งกระจ่างผุดผ่องดุจหยก
ท่านเก้าจนปัญญาอยู่บ้าง เขากระแอมกระไอเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสำทับหญิงสาว “ตอนเดินทางท่านอย่าเหลียวซ้ายแลขวา พยายามก้มศีรษะไว้ มีใครพูดจากับท่าน ท่านไม่ต้องสนใจทั้งสิ้น ข้าจะเป็นคนรับหน้าเอง อย่าให้คนเห็นใบหน้าท่านจะดีที่สุด”
อาเซินได้ยินเสียงกระแอมกระไอนั่นก็สะดุ้งเฮือกราวกับตื่นจากความฝัน รีบเร่งเก็บเสื่อสาน หมอนกระเบื้อง ถ้วยดื่มน้ำ ตะเกียบกินข้าวของฟู่ถิงจวินทั้งหมดแล้วออกจากประตูไป
ในใจนางกลับรู้สึกขมขื่นจางๆ
เขากลัวว่าจะมีคนจำหน้านางได้กระมัง
คิดไม่ถึงว่านางจะมีวันที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จะพบปะพูดคุยกับผู้คนหรือทำอะไรล้วนเปิดเผยเกินไปไม่ได้
“ได้” นางก้มหน้าขานตอบเสียงอ่อยๆ อย่างห่อเหี่ยวใจ
ชายหนุ่มไม่รู้ว่านางเป็นอะไรไป แล้วก็ไม่อยากจะรู้ เขาแค่พาสตรีผู้นี้ไปส่งให้ถึงบ้านน้าชายของนางอย่างปลอดภัยก็ถือว่าทำตามที่ได้รับไหว้วานลุล่วงแล้ว จากนั้นเขาจะไปจากส่านซี นับจากนี้แยกกันไปคนละทาง ไม่มีวันได้พบกันอีก
เขาหมุนกายออกนอกประตูไป
ฟู่ถิงจวินปรับอารมณ์เป็นปกติได้แล้วติดตามออกไป
ภายนอกศาลเจ้าร้างเป็นป่าผืนหนึ่ง ทว่าต่างจากป่าร่มรื่นเขียวชอุ่มของอารามปี้อวิ๋น ต้นไม้ของที่นี่เหลือแต่กิ่งก้านหงิกงอคล้ายถูกแดดเผาจนแห้งเหี่ยว มีฝุ่นดินจับเขรอะแลดูหมองมัวไร้ชีวิตชีวา
อาเซินลำเลียงของใช้ของหญิงสาวขึ้นวางบนรถเข็นไม้ล้อเดียวคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าร้าง
แสงอัสดงทั่วฟ้าส่องกระทบใบหน้าพวกเขา อาบย้อมทิวไม้ให้เป็นสีแดง ชวนให้วังเวงใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ไปเถอะ!” สุ้มเสียงของท่านเก้าฟังดูเคร่งเครียดระคนกังวลใจ “ที่นี่หาใช่ที่ที่ควรรั้งอยู่นาน พอพวกนั้นกินเปลือกข้าวกับผักป่าจนหมดเกลี้ยง ก็ถึงคราวกินเปลือกไม้รากไม้กันแล้ว”
ฟู่ถิงจวินตื่นตระหนก “มะ…ไม่จริงกระมัง”
“เหตุใดจะไม่จริง” อาเซินเดินเข้ามา “ข้ายังเคยเห็นคนกินดินเลยนะขอรับ” เขามัดของเสร็จแล้ว “ท่านเก้า พวกเราไปได้แล้วกระมัง” เขากล่าวรำพึง “ป่าใหญ่ขนาดนี้มีพวกเราแค่สามคน ข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ถ้าพวกคนเร่ร่อนนั่นตามมาละก็แย่แน่”
ท่านเก้าไม่เอ่ยวาจาใด สาวเท้าเข้าไปหยิบสายบังเหียนของรถเข็นขึ้นมาคล้องคอ และเอ่ยกับฟู่ถิงจวิน “ท่านขึ้นมานั่งเถอะ!”
“เอ๊ะ!” นางเบิกตากว้าง
รถเข็นไม้แบบนี้ใช้กันดาษดื่นในชนบท มีโครงไม้เพียงชิ้นเดียว อาศัยกำลังคนเข็นกับแรงหมุนของล้อไม้ด้านหน้าอย่างเดียวเท่านั้น ต่างจากรถลากด้วยม้า ลาหรือล่อ
นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเข็นรถให้นางนั่ง
“ข้าก็อยากหารถม้าให้ท่านสักคัน” เขากล่าวเสียงเรียบ “แต่ในเวลาอย่างนี้ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตล้วนถูกจับกินลงท้องไปจนหมด ท่านฝืนทนนั่งไปก่อนเถอะ”
พูดราวกับนางรังเกียจอย่างไรอย่างนั้น
“ข้ามิได้หมายความเช่นนี้!” ฟู่ถิงจวินลุกลนอธิบาย “ข้าเห็นอาเซินวางข้าวของบนรถเข็น เลยนึกว่าใช้มันบรรทุกของต่างหากเล่า”
อาเซินยิ้มกว้างจนตาหยีเมื่อได้ยินนางเอ่ยชื่อตนเอง เขาชี้ไปที่รถเข็นไม้ “สิ่งของล้วนวางกองไว้ทางขวา ส่วนทางซ้ายเหลือที่ไว้ให้ท่านนั่งขอรับ ข้าปูปลอกผ้าห่มบนพื้นรถ ท่านจะได้ไม่ถูกอะไรตำบาดเจ็บอย่างแน่นอน” เขากล่าวพลางจ้องนางตาเป๋งเป็นเชิงบอกว่า ‘ท่านรีบขึ้นไปนั่งสิ สบายมากเลยนะ’
ฟู่ถิงจวินยังคงละล้าละลังเล็กน้อย
แม้นางจะไม่อวบอัดกลมกลึงอย่างพี่หก แต่ก็ไม่ผอมบางเป็นกิ่งหลิวลู่ลมเช่นพี่เจ็ด ทางขวามีของสัพเพเหระกองสุมอยู่แล้ว มีนางเพิ่มอีกคนไม่รู้ว่าเขาจะเข็นไหวไหม ถ้าเกิดตกลงไป…นางหวนนึกถึงครั้งนั้นที่ตนเองตกใจเพราะเขาจนตกลงมาจากต้นไม้ ทำให้เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวอยู่นานหลายวันแล้วยังขยาดไม่หาย
ท่านเก้าชักจะหงุดหงิดที่นางยืดยาดร่ำไร เขาชำเลืองมองนาง “หรือท่านอยากเดินไปจนถึงเว่ยหนาน”
“ไม่ใช่…” ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว อีกทั้งเป็นความปรารถนาดีของเขา ถึงแม้จะยังวิตกกังวล ฟู่ถิงจวินก็ทำแข็งใจขึ้นไปนั่ง
“ไปกันเลย!” อาเซินออกวิ่งนำหน้าไปตามทางดินลูกรังสายหนึ่งข้างป่าอย่างเริงร่าดีใจ
ท่านเก้าเข็นรถตามหลังเขาไป
รถเข็นไม้เขย่าโคลงเคลง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าจะถูกเหวี่ยงตกได้ทุกเมื่อ ยามล้อรถหมุนบดไปตามพื้นยังมีฝุ่นดินสีเหลืองฟุ้งเข้าจมูกไม่ขาดสาย
ฟู่ถิงจวินทรมานมาก ได้แต่กอดห่อสัมภาระไว้กับอกแน่นๆ
ท่านเก้ากระซิบเตือนนาง “จับเชือกที่มัดของไว้สิ”
“อื้อ” นางรีบขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็นั่งทรงตัวได้อย่างมั่นคงแล้ว
เมื่อออกจากป่าแล้วเป็นถนนหลวงสายหนึ่ง
ถนนกว้างขวางราบเรียบอย่างที่ทางดินลูกรังไม่อาจเทียบเคียงได้
ในเวลานี้ฟู่ถิงจวินค่อยรู้สึกว่าได้นั่งรถจริงๆ
นางมองสำรวจทัศนียภาพรอบกาย
สองข้างทางล้วนเป็นไร่นา ไกลออกไปยังมองเห็นกระท่อมชาวนาหลายหลังกับต้นไม้สูงพ้นหลังคา พลบค่ำแล้วกลับไม่เห็นควันไฟจากการหุงหาอาหาร ในผืนนาไม่มีต้นข้าว พื้นดินแห้งแตกระแหง ส่วนร่องน้ำด้านข้างมองไม่เห็นน้ำสักหยด ทั่วทั้งสี่ทิศเงียบสงัดวังเวง พาทำให้ผู้ที่ผ่านทางมาบังเกิดความหดหู่ใจ
“เหตุใดถึงแห้งแล้งขนาดนี้” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงพร่า “ปีนี้คงจะเก็บเกี่ยวผลไม่ได้เลย?”
แม้นนางเติบโตอยู่ในเรือนหลัง แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้เป็นประมุขหญิงปกครองเรือน ทำให้พอเข้าใจเรื่องการทำไร่ไถนาบ้าง สำหรับนางแล้ว เก็บเกี่ยวไม่ได้หนึ่งปีก็แค่ผลกำไรลดลง ทว่ากลับเป็นเรื่องสำคัญเท่าชีวิตของผู้ที่ทำนาประทังชีพ แม้จะกล่าวว่าที่ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรงจนมีคนเร่ร่อนทั่วทุกแห่งในซางโจวและถงโจว แต่นางยังใช้ชีวิตไปตามปกติ ส่วนเรื่องพวกนั้นก็แค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น ขณะนี้เมื่อได้เห็นเองกับตา เป็นธรรมดาที่จะตกตะลึงถึงขีดสุด
ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด
อาเซินกลับกระซิบบอก “หลายวันก่อนขายคนยังแลกแป้งหมี่ได้สามชาม หลายวันนี้ต่อให้ไม่เอาเงินยังไม่มีคนซื้อเลย ได้แต่มองดูให้หิวตายไปต่อหน้าต่อตา…”
นี่เป็นเรื่องที่ฟู่ถิงจวินไม่อาจนึกภาพออกได้อย่างสิ้นเชิง
“เหตุไฉนทางการจึงไม่เปิดยุ้งฉางแจกจ่ายธัญพืช” ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองตวัดเสียงแหลมไปบ้าง
ไม่มีคนกล่าวตอบนาง มีเพียงเสียงกงล้อบดกับพื้นถนนดังครืดคราด
ฟู่ถิงจวินหันไปมองชายหนุ่ม
สีหน้าเขาสงบนิ่งมาก แต่สันกรามที่ขบกันแน่นเผยถึงความรู้สึกในใจ
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จิตใจนางผ่อนคลายขึ้น พาให้อารมณ์สงบลงไม่น้อย
ไม่มีคำสั่งของราชสำนัก ที่ว่าการต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายธัญพืชโดยพลการ
“ท่านผู้ตรวจการสมควรถวายฎีกาต่อองค์ฮ่องเต้ให้ส่งคนมาดูแลเรื่องคนเร่ร่อนในส่านซีถึงจะถูก หาไม่แล้วหากเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้” นางกล่าว
ท่านเก้าเข็นรถไปเรื่อยๆ สายตามองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางกระนั้น
ฟู่ถิงจวินรออยู่เป็นนานก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขาจึงหันหน้ากลับไปอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
“ฮ่องเต้ทรงมุ่งหมายแต่อยากจะเป็นยอดกษัตริย์ซึ่งสร้างคุณูปการต่อแผ่นดินทั้งด้านการปกครองและการทหารจนได้รับการสดุดีไปชั่วกาลนาน” เบื้องหลังกลับมีเสียงราบเรียบจนติดจะแข็งกระด้างของเขาดังขึ้น “นับแต่รัชศกซีผิงปีที่ยี่สิบแปดที่ยกทัพไปรบกับเหอเท่า* มีการระดมเสบียงอาหารไม่ต่ำกว่าพันหมื่นตั้น ส่านซีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญ จึงถูกเรียกระดมอยู่บ่อยครั้ง ต่งฮั่นเหวิน ผู้ตรวจการมณฑลส่านซีเป็นลูกศิษย์ของโม่อิงป๋อ เสนาบดีกรมพิธีการและอดีตมหาราชบัณฑิตประจำหอเหวินยวน เขามีเรื่องบาดหมางกับเสิ่นซื่อชงซึ่งปัจจุบันรั้งตำแหน่งราชเลขาธิการสภาขุนนาง ต่งฮั่นเหวินจำต้องคล้อยตามพระประสงค์เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ ธัญพืชใหม่ที่ยังไม่เก็บเข้ายุ้งฉางก็ถูกส่งไปสมทบเป็นเสบียงทางเหนือแล้ว ยามนี้เกิดภัยแล้งรุนแรง เกรงว่าถึงเขาอยากจะเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายก็คงไม่มีธัญพืชอยู่ดี!”
นี่หรือคือเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปจะล่วงรู้หรือพูดออกมาได้
ฟู่ถิงจวินอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านเก้าทำมาหากินอะไรหรือ”
“ข้าเป็นเพียงบุรุษป่าเถื่อนที่ท่องไปทั่วหล้าเท่านั้นเอง” เขาพูดพร้อมมีรอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นตรงมุมปากจางๆ “ได้ยินคนอื่นเล่าเรื่องงานบ้านงานเมืองมาจากโรงน้ำชา เลยจำคำเขามาเล่าต่ออีกทีเท่านั้น ท่านฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
อย่างนั้นหรือ
ฟู่ถิงจวินนิ่งเงียบ
หากวันหนึ่งมีคนอื่นถามว่านางคือใคร เกรงว่านางคงได้แต่กล่าวตอบเช่นเดียวกับเขากระมัง!
ฉับพลันนั้น นางรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ชิดนางมาก
ม่านสนธยาคลี่คลุม ท้องนภาค่อยๆ มืดสลัวลง มองเห็นหมู่บ้านปรากฏเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ไกลลิบ
ท่านเก้าหยุดฝีเท้า ฉวยผ้าผืนยาวที่พาดอยู่บนมือจับขึ้นมาเช็ดเหงื่อพลางเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปดูทีซิ!”
“ขอรับ!” อาเซินขานรับอย่างเบิกบานแล้ววิ่งตัวปลิวไปทางหมู่บ้าน
ท่านเก้าหยิบถุงหนังออกมาจากด้านข้างยื่นส่งให้ฟู่ถิงจวิน “ดื่มน้ำสักอึกสิ”
มาตรว่าดวงอาทิตย์หลบเร้นไปทางทิศประจิมแล้ว แต่ความร้อนจากเมื่อตอนกลางวันยังหลงเหลืออยู่บนพื้น มันแผ่ไอระอุอบอวลจนเหงื่อไหลชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง ยิ่งกว่านั้นหญิงสาวสวมใส่อาภรณ์ปกปิดมิดชิด ทำให้คอแห้งเป็นผุยผงมานานแล้ว เพียงแต่เห็นท่านเก้ากับอาเซินต่างก้มหน้าก้มตาเร่งรุดเดินทาง จึงปริปากบอกไม่ถนัดเท่านั้นเอง
ฟู่ถิงจวินกล่าวขอบคุณแล้วรับถุงหนังมาดื่มน้ำติดๆ กันหลายอึก
เมื่อลำคอที่แห้งผากได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
นางพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างสบายตัว แล้วยื่นถุงหนังส่งให้ท่านเก้าด้วยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยว่า ’ท่านก็ดื่มสักนิดสิ‘ พลันตระหนักขึ้นได้ว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน ก็รีบกลืนคำพูดกลับลงคอ ครั้นตั้งท่าจะดึงมือกลับอย่างขัดเขิน เผอิญเขาหันมามอง ทั้งคู่สบตากันพอดิบพอดี
ฟู่ถิงจวินหน้าแดงซ่าน จะประหม่าไปไย ทำขลาดอายไม่เข้าเรื่องแท้ๆ!
แต่นี่มิใช่เรื่องอื่น ถึงนางอยากใจกล้าก็ใจกล้าไม่พอ!
หญิงสาวอ่อนใจอยู่บ้าง
ท่านเก้ามิได้คิดอะไรมากอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยขึ้น “ตอนนี้บ้านเมืองโกลาหล ท่านอย่าได้เห็นว่าตอนนี้รอบตัวไม่มีผู้คน ไม่แน่ว่าถ้าพวกเราหยิบหมั่นโถวออกมาลูกเดียวก็จะมีคนรุมเข้ามาแย่งชิง ระวังตัวไว้สักหน่อยจะดีกว่า ท่านอดใจไว้สักครู่ รอเมื่อพวกเราหาที่หยุดพักได้ ท่านก็สามารถถอดผ้าโพกศีรษะออกเพื่อรับลมได้แล้ว”
ที่แท้เขาเข้าใจผิดคิดว่านางติติงว่าร้อน…
ฟู่ถิงจวินได้ยินเช่นนี้แล้วโล่งใจ
ยังดีที่เขาเข้าใจผิดไปแบบนี้ ไม่อย่างนั้น นางไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดีจริงๆ
“ท่านเก้าวางใจได้” นางกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าจะจดจำไว้”
“อืม” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่งแล้วไม่เอ่ยวาจาใดอีก สายตาจับอยู่ที่หมู่บ้านซึ่งไกลออกไป
รอบด้านเงียบสงัด ฟู่ถิงจวินได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจแผ่วๆ ของตนเอง
ไม่พูดคุยกันเลยเช่นนี้คงไม่ได้กระมัง! ดีชั่วเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้
ฟู่ถิงจวินคิดแล้วเค้นสมองหาเรื่องชวนสนทนา
“ท่านเก้า อีกนานเท่าไหร่พวกเราจึงจะไปถึงเว่ยหนาน”
“อีกราวๆ สิบวัน” ท่านเก้าเพ่งมองหมู่บ้าน เสียงพูดเรียบเรื่อยฟังดูใจลอยเล็กน้อย “ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์จะต้องส่งท่านไปถึงที่นั่นแน่นอน”
นางมิได้จะรีบไปบ้านท่านน้าเพื่อฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์สักหน่อย!
ฟู่ถิงจวินเม้มริมฝีปาก
ในเมื่อเขาเอ่ยถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว นางก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามตามมารยาท “ไม่รู้ว่าท่านเก้าชอบกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไร ถึงตอนนั้นข้าให้ท่านน้าสะใภ้ทำเพิ่มขึ้น ท่านเก้ากับอาเซินจะได้ลองชิม”
เขานัดพบกับพรรคพวกที่เมืองซีอานในวันที่สิบห้าเดือนแปด คงไม่รับปากอยู่ฉลองเทศกาลในเว่ยหนานเป็นแน่ อีกอย่างเขาอาจจะไม่เต็มใจให้นางล่วงรู้เรื่องนี้ก็เป็นได้ นางจำต้องแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอ่ยปากว่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์ให้เขาถือเป็นคำขอบคุณ
ท่านเก้าหันหน้ามามองนาง “ท่านไม่ต้องเกรงใจ ข้าส่งท่านถึงบ้านน้าชายแล้วก็จะไปเลย!”
“ท่าน!” ฟู่ถิงจวินโกรธจนตัวสั่น
พูดตรงก็แล้ว พูดอ้อมก็แล้ว ล้วนฟังไม่เข้าใจ คนอะไร…ทื่อเป็นท่อนไม้เลยทีเดียว!
หญิงสาวสะบัดหน้ากลับ ดื่มน้ำไปพลางระหว่างรอฟังข่าวจากอาเซิน
ท่านเก้าสัมผัสถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปรไปของฟู่ถิงจวินได้
แต่ไรมาสกุลฟู่เป็นที่โจษขานว่า ’ใจซื่อมือสะอาด หญิงในเรือนงามสมกุลสตรี‘ ฉะนั้นเรื่องที่นางแกล้งตายยิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดีเป็นธรรมดา หาไม่แล้วนางคงไม่ถามอ้อมๆ ว่าเขาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างไร ตอนนี้เขาบอกนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าไม่คิดจะข้องแวะอะไรกับนาง แล้วนางยังมีเรื่องใดไม่วางใจอีกเล่า
เขางุนงงอย่างมาก
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครา
ไกลออกไป ปรากฏร่างเล็กๆ วิ่งกระโดดโลดเต้นมาตามคันนา
ฟู่ถิงจวินยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ชะเง้อคอมองไปอย่างอดใจไม่อยู่
ร่างร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาเซินที่มีเหงื่อเต็มหน้า
นางยินดีในใจ
“ท่านเก้า” อาเซินใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ในหมู่บ้านไม่มีคนเป็นเลยขอรับ”
ท่านเก้าพยักหน้า บอกกับฟู่ถิงจวิน “วันนี้เราพักแรมในหมู่บ้านก็แล้วกัน”
“อื้อ” นางขานรับในลำคอ พอเห็นว่าคันนากว้างพอเดินได้ทีละคน จึงลงจากรถเข็นไม้
เขาไม่ห้ามปราม เอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าไปนำทางอยู่ข้างหน้า”
“ขอรับ” อาเซินขานรับอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเสียงสดใสอย่างนั้นแล้วพาให้จิตใจปลอดโปร่งตามไปด้วย
ฟู่ถิงจวินเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากนั้นเดินไปบนคันนาตามหลังอาเซิน
ท่านเก้าเข็นรถเข็นไม้ล้อเดียวเดินตามอยู่ข้างหลัง
อาเซินเหลียวหลังเป็นระยะ ประเดี๋ยวก็ ’แม่นางระวังหน่อยนะ ตรงนี้มีร่องน้ำ‘ ประเดี๋ยวก็ ’แม่นางมองทางด้วย ตรงนี้แคบเล็กน้อย‘ อย่างหวั่นใจว่านางจะหกล้ม
ทุ่งนาแห้งแล้งเห็นแต่พื้นดินสีเหลือง ร่องน้ำด้านข้างไม่มีน้ำ ทำให้ฟู่ถิงจวินไม่กังวลใจ นางขานตอบอาเซินยิ้มๆ ตลอดทางจนเข้าสู่หมู่บ้าน
หมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่สิบกว่าถึงยี่สิบครอบครัว ปลูกเรือนตั้งเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ตรงปากทางหมู่บ้านเป็นกระท่อมฟางเตี้ยๆ คับแคบโกโรโกโสมากสองสามหลัง อาจเป็นเพราะไม่มีคนอาศัยอยู่ ทำให้เรือนพังทลายลงมา ด้วยตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นสภาพข้างใน แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าน่าคลื่นไส้ลอยมาระลอกหนึ่ง
ฟู่ถิงจวินปิดจมูก
ด้านหลังมีเสียงพูดเร่งของท่านเก้าดังขึ้น “ไปเร็วๆ!”
นางที่นั่งอยู่บนรถเข็นไม้มานานหลายชั่วยามแล้วก็ยังอ่อนเพลีย นับประสาอะไรกับคนเข็นรถเล่า เห็นทีว่าเขาคงอยากจะหยุดพักแต่แรกแล้ว
หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
อาเซินชี้ไม้ชี้มืออยู่ข้างหน้า “แม่นาง วันนี้พวกเราจะพักที่นั่น เรือนหลังนั้นมีสภาพดีที่สุดในหมู่บ้านแล้วขอรับ”
นางมองตามไป เป็นเรือนหน้ากว้างสามช่วงเสา กำแพงสีขาวกระเบื้องสีเทา ดูโอ่อ่าเคร่งขรึม
“เรือนหลังนี้มีสภาพดีมากจริงๆ!” นางแย้มยิ้ม
แต่แล้วจู่ๆ มีสุนัขหลายตัวโผล่พรวดออกมาล้อมพวกเขาเอาไว้ พวกมันอ้าปากแสยะเขี้ยว คำรามเสียงต่ำๆ
ฟู่ถิงจวินตกใจสะดุ้งโหยง หลบไปอยู่ด้านหลังท่านเก้าโดยไม่รู้ตัว
อาเซินกลับตื่นเต้นดีใจมาก “ท่านเก้า มีสุนัขด้วย” เขาพูดพลางพุ่งเข้าใส่สุนัขตัวหนึ่งในนั้นอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ เจ้าสุนัขก็กระโจนเข้าหาอาเซินอย่างไม่กลัวเกรงใดๆ
นางร้องอุทานขึ้น
“กลับมา!” เสียงเย็นเยียบขึงขังของท่านเก้าดังขึ้น
อาเซินชะงักกึกทันควันแล้วเบี่ยงกายหลบ ส่งผลให้เจ้าสุนัขจู่โจมพลาดเป้าไป
ท่านเก้าดึงพลองเสมอคิ้ว อันหนึ่งออกมาจากในกองสัมภาระโยนไปให้อาเซิน “ตีตายให้หมด ไม่ต้องสนใจสุนัขพวกนี้”
อาเซินชูมือรับพลองที่สูงกว่าตัวเขามาแล้วเหวี่ยงฟาดออกไปโดยไม่ลังเลรีรอแม้แต่น้อย สุนัขตัวนั้นเพิ่งกระโดดขึ้นมาได้ก็ร่วงตกพื้นไปอีก มันส่งเสียงครางหงิงๆ แผ่วเบาสั้นๆ ก่อนจะหมอบไปกับพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง
ฟู่ถิงจวินมองอาเซินอย่างตกตะลึง
เขาเพิ่งมีอายุเจ็ดแปดขวบ ถึงกับมีฝีไม้ลายมือดีแบบนี้…การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วหมดจด ไม่งุ่มง่ามเงอะงะสักนิด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเลือดเย็นไร้ความปรานีอยู่หลายส่วน…นี่คล้ายเด็กน้อยที่ยังมัดผมจุกที่ไหนกัน
นางพลันรู้สึกว่าเด็กน้อยหน้าตาหมดจด ไม่ว่าเวลาใดล้วนร่าเริงสดใสผู้นี้ช่างดูน่าแปลกหน้าปานนั้น
ฟู่ถิงจวินมองไปทางท่านเก้า
กลางความมืด เขานิ่งสงบดุจภูผา
พวกสุนัขครางหงิงๆ พร้อมกับกระโดดเผ่นหนีไปทุกทิศทาง
อาเซินไล่ตามไปพลางเงื้อพลองฟาดใส่ สุนัขร้องเอ๋งๆ อย่างน่าเวทนา
นางเลี้ยงสุนัขพันธุ์จิงปา สีขาวไว้ตัวหนึ่ง ลูกตาของมันกลมโตดำขลับแวววาวดุจหยก ยามนางปักผ้าคัดลายมือ มันจะหมอบอยู่ข้างเท้า ขอแค่นางเงยหน้าขึ้น มันจะเห่าอย่างประจบประแจงและเข้ามาเลียรองเท้าของนาง แสนจะน่ารักเป็นนักหนา…
ฟู่ถิงจวินรู้สึกแปลบปลาบในใจ นางหลับตาลงอย่างทนดูไม่ได้
หลังจากเสียงพลองกระทบเนื้อดังผัวะๆ ประสานกับเสียงครางหงิงๆ หลายเสียง รอบด้านก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกคราหนึ่ง
“ไปเถอะ” ท่านเก้าเอ่ยเสียงเรียบๆ แล้วเข็นรถเข็นไม้เข้าไปในเรือน
ฟู่ถิงจวินไม่หันไปมองด้านข้าง ก้มหน้างุดๆ เดินตามเข้าไป
อาเซินตามมาถึงเมื่อไหร่ก็สุดรู้ เขาล้วงแท่งคบไฟออกมาจากอกเสื้อ แสงสีส้มสว่างวาบขึ้นในเรือน
นางมองสำรวจไปรอบๆ
หิ้งตั้งป้ายวิญญาณบรรพบุรุษในโถงกลางว่างเปล่าโหรงเหรง นอกจากโต๊ะบูชาตัวใหญ่แล้วก็ไม่มีเครื่องเรือนอย่างอื่นอีก มองออกได้ว่าเจ้าของเรือนไม่ได้จากไปอย่างรีบร้อน
ท่านเก้าเดินตรงไปยังด้านหลังโดยไม่หยุดฝีเท้า
ด้านหลังเป็นลานแจ้งกลางเรือน ตรงข้างกำแพงปลูกต้นไม้อะไรก็ไม่รู้แต่ทว่าแห้งตายไปแล้ว และมีบ่อน้ำอยู่ใต้ต้น
อาเซินวิ่งไปดึงเชือกชักรอกเหนือบ่อ
“ไม่มีน้ำ!” เขาผิดหวังมาก
ราวกับเห็นว่าเด็กน้อยโง่เขลามาก ท่านเก้าไม่มองหน้าเขาสักแวบเดียว เข็นรถเข็นไม้ไปวางไว้ด้านข้าง จากนั้นผลักประตูห้องปีกด้านหนึ่งเปิดออก
อาเซินชูแท่งคบไฟวิ่งเข้าไปอย่างกุลีกุจอ
“คืนนี้ท่านนอนที่นี่ก็แล้วกัน!” เขาส่งเสียงพูดมาจากในห้อง
ฟู่ถิงจวินสาวเท้าเข้าไป
ในห้องมีเพียงเตียงเตา ที่มีฝุ่นเกาะหนาเป็นชั้น
อาเซินโก้งโค้งมองหาอะไรบางอย่างไปทั่วห้อง
ท่านเก้าขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร”
“ข้าดูว่าจะหาตะเกียงน้ำมันสักดวงได้หรือไม่ขอรับ” เขามองฟู่ถิงจวินด้วยรอยยิ้มกว้าง “แม่นางจะได้มองเห็นชัดๆ”
ท่านเก้าไม่เอ่ยอะไรสักคำ แย่งแท่งคบไฟในมืออาเซินมาปักลงในช่องหน้าต่าง
อาเซินลูบหัวตัวเองยิ้มๆ
ใต้แสงไฟ รอยยิ้มนั้นขัดเขินกระดากอาย
ทว่าฟู่ถิงจวินกลับหนาวยะเยือกในอก ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความแช่มชื่นเบิกบานร่วมกันอย่างนั้นได้อีกแล้ว
อาเซินหักกิ่งไม้มาปัดฝุ่นในห้อง
ท่านเก้าเรียกนางไปที่ลานแจ้ง “ท่านดึงผ้าโพกหัวออกรับลมเถอะ”
ฟู่ถิงจวินขานตอบเสียงแผ่วๆ แล้วปลดผ้าโพกหัวออกเงียบๆ
แม้จะมีลมโชยมาอ่อนๆ แต่นางไม่ได้รู้สึกเย็นสบายเป็นพิเศษ
ท้องฟ้าสีเทาหม่นมีดวงดาวกะพริบแสงอยู่แค่สองสามดวง ท่านเก้ามองพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง
“ข้าจะไปดูรอบๆ” เขาเอ่ยบอกแล้วเดินวนในเรือนรอบหนึ่ง
อาเซินเก็บกวาดห้องเสร็จแล้วดันรถเข็นไม้เข้าไปข้างใน จากนั้นรื้อเอาหม้อไหจานชามออกมา “ท่านเก้า ข้าไปต้มยาให้แม่นางนะ!”
“อืม” ท่านเก้าขานรับในลำคอ นั่งลงที่หัวเตียงเตา “มุ่งหน้าต่อไปก็จะถึงเมืองหวาอิน ทางที่ว่าการส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้าหน้าประตูเมืองไว้ ดูทีว่าชาวบ้านหนีภัยล้วนชุมนุมอยู่ภายนอกเมือง ฉะนั้นพวกเราจะอ้อมไปอีกทาง ถ้าหาหมู่บ้านอย่างนี้ได้ก็ยังสามารถต้มยาให้ท่าน แต่ถ้าหาไม่ได้ คงได้แต่หยุดดื่มยาแล้ว” เขาพูดพลางล้วงไข่ต้มฟองหนึ่งออกมาจากรถเข็นไม้ “กินรองท้องก่อน”
ฟู่ถิงจวินมองดูไข่ต้มในฝ่ามือเขาด้วยจิตใจที่สับสน
เขาใส่ใจดูแลนางทุกอย่างได้เช่นนี้ แต่ก็สามารถตีสุนัขหลายตัวนั่นตายอย่างไร้ความเมตตาสักนิด แล้วหวนประหวัดเมื่อตอนครั้งแรกทั้งคู่พบกัน เขาบีบคอนางเกือบตายได้ แต่ก็สามารถเสี่ยงอันตรายช่วยนาง คุ้มครองนางไปตามหาญาติพี่น้อง…ตกลงเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
นางมองเขาอย่างฉงนสนเท่ห์
เขาเพียงกระตุกมุมปาก “รีบกินเถอะ! อีกสองสามวันถึงอยากกินก็ไม่มีแล้ว”
“ข้าไม่อยากกิน” เห็นท่าทางสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของเขาแล้ว ไม่รู้เพราะอะไร ในใจฟู่ถิงจวินมีไฟโทสะลุกโชนขึ้นระลอกหนึ่ง นางนั่งลงตรงปลายเตียงเตา “ข้ายังไม่หิว”
ท่านเก้าเลิกคิ้วสูง วางไข่ต้มบนเตียงเตา
หญิงสาวนั่งตัวตรงคอแข็ง ไม่มองไข่ต้มใบนั้นสักแวบ
แท่งคบไฟเกิดสะเก็ดไฟปะทุเปรี๊ยะๆ อาเซินประคองชามยาเข้ามาอย่างระมัดระวัง “แม่นาง ท่านรีบดื่มเถอะขอรับ!” เขาพูดบ่นต่อ “ยังดีที่ต้นไม้พวกนั้นแห้งตายหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแม้แต่ฟืน” พอเห็นไข่ต้มบนเตียงเตา เด็กชายก็ตาเป็นประกาย กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “แม่นาง ทำไมท่านไม่กินเล่า”
ฟู่ถิงจวินรับชามยามา “ข้าไม่หิว เจ้ากินสิ”
“เอ๊ะ!” อาเซินเบิกตากว้างมองนาง
“เจ้ากินเถอะ” นางดื่มยา
อาเซินมองไปทางท่านเก้า
เขาชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงปลายเตียงเตาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“จริงนะขอรับ” อาเซินลิงโลดใจ
ท่านเก้าเห็นแล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน พร้อมกับพยักหน้าอีกครั้ง
อาเซินฉีกยิ้มจนดวงตาคู่โตโค้งเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว เขาถือไข่ต้มไว้ในมือมองแล้วมองอีก ถึงกับปอกเปลือกไข่อย่างเบาไม้เบามือ
“สวยจริงๆ!” เขาพิศดูเนื้อไข่ต้มสีขาวเนียนนุ่มใต้แสงไฟอยู่นานสองนาน กว่าจะบรรจงกัดคำหนึ่ง “อร่อยมากๆ!” เขาหลับตาพริ้ม เผยสีหน้ามีความสุขออกมา
ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน
แค่ไข่ต้มใบเดียว อาเซินกลับทำท่าราวกับกำลังกินพระกระยาหารของฮ่องเต้อย่างตับมังกร ไขกระดูกหงส์ก็ไม่ปาน
มันยากนักที่นางจะเชื่อว่าอาเซินตรงหน้ากับอาเซินคนที่ถือพลองหวดสุนัขอย่างไม่ยั้งมือนั่นจะเป็นคนคนเดียวกัน
ใต้แสงไฟ ใบหน้าของเขายังคงแฝงความไร้เดียงสาไว้
ฟู่ถิงจวินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อาเซินเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เขาจะเข้าใจอะไรได้ นี่มิใช่เป็นเพราะผู้อื่นสอนเขาอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้นหรือ! ถ้าจะพูดว่ามีอะไรผิด เช่นนั้นท่านเก้าซึ่งเลี้ยงดูอบรมเขาก็คือคนผิด
พอคิดคำนึงไปอย่างนี้ นางยิ่งไม่อยากสนใจท่านเก้ามากขึ้น
รอเมื่อถึงเว่ยหนาน ขอให้ท่านน้าให้เงินเขาสักก้อนแล้วไล่เขาไปเสีย!
แต่ถ้าเกลี้ยกล่อมอาเซินให้อยู่กับนางได้จะเป็นการดีที่สุด อาเซินจะได้ไม่กลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำตามอย่างเขา…
ทั้งสามคนอยู่ในห้อง ท่านเก้านั่งอยู่ตรงหัวเตียง ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนอาเซินนั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง แต่ละคนดื่มน้ำครึ่งชามกับกินหมั่นโถวหนึ่งลูก นับว่าเป็นอาหารมื้อเย็นแล้ว
“ท่านรีบเข้านอนเถอะ!” ท่านเก้ากินเสร็จแล้วลุกขึ้นยืน “วันพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางตอนยามอิ๋น* ตรง”
ยามอิ๋นตรง ฟ้ายังไม่ทันสางเลยนะ!
ฟู่ถิงจวินยังกินไม่เสร็จ ได้ยินแล้วอดพูดขึ้นไม่ได้ “เช้าขนาดนั้น?”
“ยามเที่ยงวันแดดแรงเกินไป ท่านทนไม่ไหวหรอก” ท่านเก้ากล่าว “พวกเราจำต้องเร่งเดินทางแต่ตอนเช้ากับตอนบ่าย”
เป็นเพราะนางอีกแล้ว…
“อื้อ” หญิงสาวขานรับในลำคอด้วยความว้าวุ่นใจ
อาเซินหอบเสื่อสานเก่าๆ ขาดๆ ผืนหนึ่งมาจากรถเข็นไม้ “แม่นาง ข้าจะนอนอยู่ตรงลานด้านนอก หากท่านมีเรื่องอะไร ส่งเสียงเรียกข้าคำเดียวก็พอ”
ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม พูดตอบเขา “ได้”
อาเซินเดินตามหลังท่านเก้าไปอย่างดีอกดีใจ
หมั่นโถวแข็งฝืดคอ หลังจากท่านเก้ากับอาเซินออกไป นางบังคับตัวเองให้กินได้สองสามคำก็กลืนไม่ลงแล้ว เพียงดื่มน้ำไปจนหมด
นางวางหมั่นโถวลงในชามเปล่า ขึ้นไปบนเสื่อสานที่อาเซินปูไว้ให้ ดึงแท่งคบไฟที่เสียบอยู่ในช่องหน้าต่างออกแล้วเป่าให้ดับ จากนั้นเอนตัวลงนอนโดยไม่ผลัดอาภรณ์
หมอนกระเบื้องแผ่ความเย็นน้อยๆ ทำให้นางอดเอาแก้มเข้าไปแนบไม่ได้
ยามราตรีเงียบเชียบ สรรพเสียงต่างๆ จะดังชัดเจนขึ้นเป็นพิเศษ
นางได้ยินเสียงอาเซินปูเสื่อแล้วเดินไปเดินมา
“เจ้าจะออกไปทำอะไร” ท่านเก้าถามเขา
“ท่านเก้า!” สุ้มเสียงของเขามีร่องรอยประจบเอาใจจางๆ “ข้าจะไปถลกหนังสุนัขพวกนั้นแล้วทำเป็นเนื้อแห้ง เอาไว้ต้มน้ำแกงให้แม่นางดื่มวันหลัง หมอคนนั้นบอกว่าแม่นางเลือดลมพร่องมิใช่หรือขอรับ พี่หยวนเป่าบอกว่าเนื้อสุนัขบำรุงดีนัก พอแม่นางได้ดื่มน้ำแกง ไม่แน่ว่าจะหายดีโดยไว”
“เหลวไหล!” ท่านเก้าดุอาเซินคำหนึ่งเบาๆ ก่อนเสียงของเขาจะค่อยๆ เงียบหายไป
เจ้าคนผู้นั้นจะบงการอาเซินไปทำอะไรอีกเล่า
เด็กดีๆ คนหนึ่ง ถูกเขาเสี้ยมสอนไปในทางผิดหมดแล้ว!
ภายในใจฟู่ถิงจวินมีไฟโทสะปะทุขึ้น นางแอบลุกขึ้นไปเอาหูแนบกับหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย
“…ทำไมจู่ๆ ถึงมีสุนัขจรจัดได้ เห็นทีว่าพวกมันคงมีชีวิตอยู่รอดด้วยการกินเนื้อศพของคนที่หิวตายพวกนั้น หาไม่แล้วคงไม่กระโจนเข้าใส่ทันทีที่เห็นพวกเรา…ระวังเนื้อของมันจะเป็นพิษ…อย่าว่าแต่กินแล้ว แม้แต่จะแตะก็แตะไม่ได้…”
สุนัขกินคน!
ศพของคนที่หิวตาย!
นางอยู่ที่ที่เดียวกับสองสิ่งนี้!
เพียงคิดยังชวนให้พะอืดพะอม ท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนคลื่นทะเล มีเสียงแหวะดังขึ้น หญิงสาวอาเจียนของที่กินเข้าไปเมื่อครู่นี้ออกมาจนหมด!
“เป็นอะไรไป” ท่านเก้าเคาะหน้าต่าง น้ำเสียงร้อนรนอยู่บ้าง “ข้าจะให้อาเซินเข้าไปนะ?”
ฟู่ถิงจวินเกาะขอบเตียงเตา เปล่งเสียงพูดไม่ออก
“แม่นาง!” อาเซินชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตู พอเห็นนางสวมอาภรณ์เรียบร้อย ถึงผลักประตูเปิดแล้ววิ่งเข้าไป “นี่ท่านเป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ทำไมถึงอาเจียนออกมา”
ท่านเก้าได้ยินก็รีบเรียกอาเซิน “เจ้าแตะหน้าผากของแม่นางว่าร้อนหรือเปล่า”
อาเซินเอามืออังหน้าผากฟู่ถิงจวิน “ร้อน!”
“ร้อนแค่ไหน” ท่านเก้าเอ่ยเสียงลุกลน
“ร้อนกว่ามือข้า” อาเซินกล่าว “แต่ไม่ร้อนเท่าหน้าผากข้า”
นี่มันคำตอบอะไรกัน
ท่านเก้าเอ่ยอย่างจนปัญญา “คุณหนูฟู่ เช่นนั้นข้าจะเข้าไปแล้วนะ”
“ไม่ต้อง!” ฟู่ถิงจวินผ่อนลมหายใจได้เป็นปกติแล้ว “ข้ารู้สึกแน่นหน้าอกนิดหน่อย” ก่อนหน้านี้นางหมดสติไปนานสิบกว่าวัน พอฟื้นขึ้นมาก็รีบรุดเดินทาง พออาเจียนออกมาเมื่อครู่นี้ทำให้เสียงของนางอ่อนระโหยไปบ้าง
ท่านเก้าไม่พูดอะไร เขาเว้นจังหวะไปนานครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบา “ในเวลานี้ติดโรคระบาดได้ง่ายที่สุด ท่านระวังตัวไว้สักหน่อยเป็นดี!”
ตอนนี้อาเซินประคองหญิงสาวขึ้นไปบนเตียงเตาแล้ว พอได้ยินก็รีบพูดเสริมขึ้น “ใช่แล้ว แม่นาง ในกระท่อมตรงปากทางหมู่บ้านมีคนตายตั้งหลายคนนอนเรียงกันอยู่ ล้วนมีหนอนชอนไช…”
มิน่าเล่าพอเข้าหมู่บ้านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าระลอกหนึ่ง ที่แท้เป็นกลิ่นศพ
ครั้นนึกถึงว่าตนเองเคยดมกลิ่นศพ ตรงกลางอกของฟู่ถิงจวินก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกระลอก นางเกาะหัวเตียงเริ่มอาเจียนออกมา
ท่านเก้าดูคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าหญิงสาวเป็นอะไร จึงมิได้ไถ่ถามอีกว่านางตัวร้อนหรือไม่ เพียงสั่งกำชับอาเซิน “รินน้ำให้แม่นางแล้วเก็บกวาดห้องให้สะอาด จากนั้นค่อยหยิบไข่ต้มออกมาอีกฟองหนึ่ง”
อาเซินรินน้ำ เก็บกวาดห้อง และหยิบไข่ต้มออกมาฟองหนึ่งอย่างคล่องแคล่วว่องไวตามคำบอกของท่านเก้า
ฟู่ถิงจวินดื่มน้ำแล้วถือไข่ต้มไว้อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
“แม่นาง ท่านรีบกินสิขอรับ” อาเซินพูดเตือนนางอยู่ด้านข้าง “มิใช่ง่ายๆ กว่าท่านเก้าจะหาไข่ไก่มาได้ห้าฟอง มันช่วยบำรุงร่างกายได้นะ” เขาจ้องนางตาเป๋ง ซ้ำยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากคลับคล้ายกำลังหวนรำลึกถึงรสชาติของไข่ต้มฟองเมื่อครู่นี้
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วในใจกระสับกระส่าย รู้สึกคล้ายมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ พาให้อึดอัดตรงกลางอกไปหมด
“เอาล่ะ” ท่านเก้าส่งเสียงพูดจากด้านนอก “ให้แม่นางฟู่รีบพักผ่อนเถอะ! ดึกมากแล้ว”
“ท่านรีบๆ กินนะขอรับ!” อาเซินยิ้มร่า พลางพูดเร่งฟู่ถิงจวิน ก่อนจะหมุนกายวิ่งออกไป
หญิงสาวเป่าไฟดับแล้วเอนตัวลงนอนในความมืด
พัดใบลานหนาหนัก ถือโบกสองทีก็ปวดข้อมือแล้ว ส่วนเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะจากเหงื่อที่ไหลมาตลอดทางยังไม่ได้เช็ดล้างชำระ ทั้งเหม็นทั้งสกปรก…ในหัวหญิงสาวสับสนยุ่งเหยิง ประเดี๋ยวคิดถึงที่ท่านเก้ามีเหงื่อท่วมหัวตอนเร่งเดินทาง คิดถึงสีหน้าเฉยเมยตอนเขายื่นถุงหนังให้ตนเอง อีกประเดี๋ยวก็คิดถึงเสียงเย็นเยียบของเขาที่บอกให้อาเซินตีสุนัข คิดถึงไข่ต้มที่วางอยู่กลางฝ่ามือกว้างใหญ่ของเขา…ภาพที่ไหลประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายประหนึ่งรสชาติหลายหลากที่ผสมปนเปกันจนนางบอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสอะไร
หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมาอย่างไม่เป็นสุข ปลายจมูกได้กลิ่นหอมสดชื่นของเสื่อสานลอยอวลอ้อยอิ่งอยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนเพิ่งได้หลับตาลงก็มีเสียงของอาเซินดังลอยมา “แม่นางฟู่ แม่นางฟู่ ท่านตื่นหรือยังขอรับ พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว”
ฟู่ถิงจวินขานรับอย่างงัวเงีย
เสียงของท่านเก้าดังมาจากลานแจ้ง “แม่นางก็แม่นาง เรียกแม่นางฟู่อะไรกัน วันหลังห้ามเรียกอย่างนี้”
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” เสียงตอบของอาเซินระคนความเจ้าเล่ห์ “พี่อวี้เฉิงเคยบอกว่าห้ามพูดเรื่องแม่นางกับคนอื่น ข้าจำได้น่า!”
ฟู่ถิงจวินนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่ จากนั้นเก็บห่อสัมภาระอย่างเชื่องช้าแล้วออกมาจากห้อง
ฟ้ายังไม่สาง แสงจากแท่งคบไฟส่องกระทบใบหน้าท่านเก้ากับอาเซินราวกับถูกฉาบด้วยแสงสนธยาชั้นหนึ่ง
“แม่นาง!” อาเซินเดินมาทักทายอย่างร่าเริง และเข้าไปเก็บข้าวของในห้อง
ท่านเก้าผงกศีรษะให้เล็กน้อย
แต่ละคนได้ดื่มน้ำครึ่งชามและกินหมั่นโถวลูกหนึ่งเช่นเดิม พอกินเสร็จก็ออกเดินทางต่อในขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่
ยามที่ผ่านหมู่บ้าน ฟู่ถิงจวินก็ปิดจมูกเดินอ้อมไปอยู่ทางขวามือของท่านเก้า
เขามองนางแวบหนึ่ง ไม่เปล่งเสียงพูดอะไรทว่าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เมื่อคืนหลับไม่สนิทแล้วยังต้องเร่งเดินทางแต่เช้าตรู่ ทำให้หญิงสาวมีท่าทางกะปลกกะเปลี้ย ขณะที่อาเซินกลับกระฉับกระเฉงมาก เขาถือกิ่งไม้ซึ่งเก็บมาจากที่ไหนก็สุดรู้ เดินพลางกระโดดพลางอยู่เบื้องหน้า ประเดี๋ยวเขี่ยก้อนหินเล็กๆ บนพื้น ประเดี๋ยวเอาไปจิ้มต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวข้างทางด้วยความสดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง
ฟู่ถิงจวินมองด้วยความวิตกห่วงใย
ครั้นถึงตอนหยุดพักระหว่างทาง ท่านเก้าไปที่ใดอีกก็สุดรู้ได้ นางจึงสนทนากับอาเซิน “ตอนท่านเก้าเก็บเจ้ามา เจ้ากี่ขวบแล้ว”
“ไม่รู้ขอรับ!” อาเซินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านเก้าบอกว่าดูท่าทางข้าน่าจะสักสี่ห้าขวบเลยนับว่าข้าห้าขวบ แล้วก็ถือวันที่เก็บข้าได้เป็นวันเกิดของข้า” เด็กน้อยไม่ได้เศร้าใจสักน้อยนิด
ฟู่ถิงจวินยิ่งสะทกสะท้อนใจ “เจ้ายังจำคนในครอบครัวได้ไหม”
“จำไม่ได้แล้วขอรับ!” อาเซินส่งถุงหนังให้นาง “ท่านเก้าบอกว่าคนทั้งหมู่บ้านล้วนตายหมดเกลี้ยง มีแต่ข้าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ส่วนพี่หยวนเป่าบอกว่าข้าดวงแข็ง วันหน้าจะต้องพบแต่ความโชคดีเป็นแน่” เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างกระหยิ่มใจอยู่บ้าง
ฟู่ถิงจวินกลับตกใจ “คนทั้งหมู่บ้านล้วนตายหมดเกลี้ยงแล้ว?”
“อื้อ” เขาพยักหน้า “ท่านเก้าเก็บข้าได้ที่เหลียงโจว ที่นั่นมีพวกต๋าจื่อ* เพ่นพ่านอยู่ พี่อวี้เฉิงบอกว่าน่าจะถูกพวกมันฆ่าล้างเมือง” พอพูดถึงตรงนี้ เขาทำหน้าม่อยลงบ้าง
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วสงสาร รีบพูดขึ้น “เจ้ารอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว!”
อาเซินยิ้มกริ่ม ผงกศีรษะหงึกหงัก “ใช่! ฉะนั้นข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป วันหน้ายังต้องอยู่อย่างสุขสบายด้วยขอรับ!”
ฟู่ถิงจวินยิ้มตามไปด้วย นางลูบหัวเขา
เขาเอียงคอหนี ฟู่ถิงจวินจึงยกมือค้างเก้อๆ “ท่านเก้าเคยบอกไว้ว่าศีรษะบุรุษ บั้นเอวสตรี ดูได้ห้ามจับ”
นางหัวร่อเต็มเสียง ละม้ายเสียงกระดิ่งเงินก้องกังวานไปในอากาศ
“แม่นาง เสียงของท่านไพเราะจริงๆ” อาเซินอุทานชมจากใจจริง
หญิงสาวไม่เคยได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน นางเอ่ยเสียงเบาๆ อย่างขัดเขิน “ขอบใจนะ”
ท่านเก้ากลับมาแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าระลอกหนึ่งมาแต่ไกล สายตาของเขามองคนทั้งสองสลับไปมา
อาเซินรีบวิ่งเข้าไปหา “ท่านเก้า พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางไหนขอรับ” สีหน้าเด็กน้อยประจบประแจงเต็มที่ เฉกสุนัขตัวน้อยกระดิกหางให้เจ้าของก็ไม่ปาน
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วนึกขัน เลยเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
ท่านเก้าไม่ใคร่กระจ่างแจ้ง เขาเดินออกไปแค่ครู่เดียว ไฉนฟู่ถิงจวินที่ทำท่าเซื่องซึมอยู่ตลอดเวลาถึงได้หัวร่อต่อกระซิกกับอาเซินอย่างสนิทสนมขนาดนี้ แต่พอเห็นเขาก็หยุดสนทนากันเหมือนเขาเป็นคนนอก!
ดวงตาเขาฉายรอยงุนงงผุดขึ้นวูบหนึ่ง
“พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก” ท่านเก้าเอ่ยเสียงเรียบๆ “อ้อมผ่านหวาอินไป”
นี่ใกล้จะถึงหวาอินแล้วหรือ
ฟู่ถิงจวินหุบยิ้มลงทีละน้อย
นางเขย่งส้นเท้าขึ้นมองไปทางที่ท่านเก้าเดินมา
มีแต่ผืนดินสีเหลืองเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตากับต้นไม้แห้งโกร๋นที่ยืนต้นหร็อมแหร็มอยู่กลางทุ่งนา
ความเศร้าหมองไหล่บ่าเข้ากลางใจอย่างปราศจากสาเหตุ
จะไปเว่ยหนานจริงๆ หรือ ต่อแต่นี้ไป…
ลืมเลือนดรุณีน้อยคนที่ไล่จับผีเสื้อในฤดูใบไม้ผลิ
ลืมเลือนอ้อมกอดอันอบอุ่นของท่านแม่ เรือนผมสีดอกเลาของท่านย่า ใบหน้ายิ้มแย้มสุขใจของพี่น้องทั้งหลาย
ลืมเลือนดอกโบตั๋นข้างศาลารับลม ต้นแปะก๊วยหลังเรือน ดอกปิ่นหยกตรงลานแจ้งกลางเรือน…
ท่ามกลางผู้คนมากมาย นางจะเป็นใคร หรือนางจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นใคร
นับจากนี้หวาอินจะกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่ได้แต่ทอดสายตามองอยู่ไกลๆ!
ทางเลือกนี้ ถูกหรือผิดเล่า