ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่เจ็ด
ดวงอาทิตย์เคลื่อนสูงขึ้นทุกทีๆ จนลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะ มันสาดแสงแรงกล้าสว่างจ้า ทำให้อากาศรอบกายร้อนระอุราวกับจะแผดเผาผิวกายให้ไหม้เกรียม ไม่ว่าทอดสายมองไปทางใดล้วนเห็นเปลวแดดเต้นระริก
ฟู่ถิงจวินตากแดดจนหน้าแดงก่ำ หยดเหงื่อเม็ดโตไหลย้อยลงมาตามหน้าผากและจอนข้างหู ทำให้สายตานางพร่ามัวไป แต่นางยังมองไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่างดึงดัน
หวาอินอยู่ทางนั้น นางกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะมองดูมันเป็นครั้งสุดท้าย
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าสายตามีเพียงความแห้งแล้งอดอยากทุกหนแห่ง นอกจากผืนนาแตกระแหงและต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาตายแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
หากรู้เช่นนี้แต่แรก ตอนออกจากเมืองก็สมควรมองดูหวาอินให้เต็มตาอีกสักครั้ง
ตอนนี้นาง ‘ตายแล้ว’ ฉะนั้นพวกสาวใช้ในเรือนนางซึ่ง ‘ล้มป่วย’ อยู่ก็สมควรหายดีแล้วกระมัง
ไม่รู้ว่าเป็นคนใดกันที่ขโมยของส่วนตัวของนางออกไป
ยังมีลวี่เอ้อกับหานเยียนที่ประสบผ่านเรื่องในคราวนี้ไป ท่านแม่น่าจะให้พวกนางอยู่ใกล้ตัวเพื่อจะได้ดูแลควบคุมไว้ รอเมื่อเรื่องเงียบหายไปค่อยมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้อีกที ในสายตาคนอื่นคงเห็นว่าลวี่เอ้อกับหานเยียนก้าวเดียวถึงสวรรค์ ได้เป็นสาวใช้คนโปรดของท่านแม่ แต่พวกนางล้วนกระจ่างแจ้งดีแก่ใจ เกรงว่าจะหวาดวิตกจนใจคอไม่เป็นสุขมากกว่า!
ยังมีป้าเฉิน พอนางหายตัวไปไม่รู้ว่าป้าเฉินจะตอบคำถามท่านลุงใหญ่อย่างไร และพอท่านลุงใหญ่รู้ว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาช่วยนางไป กลัวแต่ว่าคงจะลอบตรึกตรองถ้อยคำของจั่วจวิ้นเจี๋ยอยู่ในใจเช่นกัน
ส่วนทางสกุลฟู่ ไม่รู้ว่าจะมีความเห็นต่อการ ‘หายตัว’ ของนางเช่นไร
แล้วตกลงว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยหนีความผิดไปอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกัน หรือว่าถูกสกุลฟู่กำจัดทิ้งเงียบๆ ไปแล้วกันแน่
คิดถึงตรงนี้ ฟู่ถิงจวินส่ายหน้าเบาๆ
จั่วจวิ้นเจี๋ยเป็นถึงจวี่เหริน ต่อให้คนของสกุลฟู่ใจกล้าสักปานใด แต่กับเรื่องการวางแผนสังหารจวี่เหรินพรรค์นี้ก็น่าจะต้องคิดหน้าคิดหลังบ้าง ยิ่งกว่านั้นพี่สาวแท้ๆ ของเขาคือพี่สะใภ้ใหญ่ อีกทั้งสกุลจั่วเหลือเขาเป็นทายาทคนเดียว…
นางยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มใจ อยากจะพบหน้ามารดาเสียตอนนี้แทบใจจะขาด จะได้ถามไถ่ให้รู้เรื่อง
ทว่าในใจนางก็แฝงความวิตกรางๆ อยู่อีก แน่ละว่าท่านแม่เป็นมารดาของนาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นลูกสะใภ้ของสกุลฟู่ด้วย ท่านแม่คงมิได้บอกข่าวเรื่องที่นางจะไปบ้านท่านน้ากับผู้อาวุโสสกุลฟู่หรอกนะ?
ไม่น่าจะบอก!
บางทีท่านแม่อาจเห็นว่าพอเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว ค่อยรายงานต่อพวกผู้อาวุโสอีกทีหนึ่งก็ไม่มีอะไรเสียหาย…
ทว่าท่านแม่ก็รู้เรื่องที่พวกผู้อาวุโสต้องการกำจัดนางทิ้งเช่นกัน ทำไมตอนนั้นท่านแม่ไม่หาทางส่งข่าวถึงนางเลยเล่า
ฟู่ถิงจวินใจหนึ่งมีความหวัง ใจหนึ่งก็กลัวผิดหวัง เป็นเหตุให้สับสนทำอะไรไปถูกไปชั่วขณะ
ท่านเก้ามองดูหญิงสาวที่ทำคอตกเสมือนดอกไม้ขาดน้ำหล่อเลี้ยงแล้วลอบกังวลใจน้อยๆ
ตลอดทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ทั้งไม่มีใบไม้กำบังแดดได้สักใบ เขาต้องหาที่สักแห่งหลบแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันจึงจะดี หาไม่แล้วถึงนางไม่เป็นไข้แดดก็ต้องอ่อนเปลี้ยและขาดน้ำ หากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องยุ่ง
ท่านเก้าเดินไปสอดส่ายสายตามองไป ในที่สุดก็แลเห็นเพิงหญ้าคาหลังหนึ่งที่ล้มพังพาบอยู่
ดูท่าทางน่าจะเป็นเพิงที่คนเฝ้าทุ่งนาสร้างขึ้นเพื่อใช้นอนชั่วคราว
เขาอดยิ้มอย่างอ่อนใจมิได้
อย่างไรก็ย่อมดีกว่าไม่มี!
ท่านเก้าปลอบใจตนเอง เขากับอาเซินช่วยกันออกแรงยกมุมหนึ่งของเพิงตั้งขึ้น จากนั้นให้อาเซินพยุงฟู่ถิงจวินเข้าไปนั่งพัก
พื้นดินร้อนระอุราวกับเตาไฟ แผงหญ้าคาเหนือหัวพอถูๆ ไถๆ บังแดดไว้ได้ แต่หญิงสาวไม่รับรู้ถึงความเย็นร่มรื่นแม้สักนิด ครั้นเห็นท่านเก้ากับอาเซินยืนกลางแดดจนเหงื่อไหลดุจสายฝนอยู่ด้านนอก นางก็ตื้นตันใจอย่างมาก
“ท่านเก้า อาเซิน ข้างในเพิงเย็นสบายกว่า พวกท่านเข้ามาหลบร้อนเถอะ!” นางพูดพลางกระเถิบตัวไปชิดมุมหนึ่งของเพิง
พวกเขาคุ้มครองนางอย่างสุดกำลัง หากนางยังถือธรรมเนียมหยุมหยิมพวกนั้นอีกก็ออกจะเป็นคนไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
“ไม่ต้อง!” ท่านเก้ารื้อหาถุงหนังกับหมั่นโถวลูกหนึ่งในรถเข็นไม้ออกมา “กินอะไรแล้วพักผ่อนครู่หนึ่ง เราจะออกเดินทางต่อตอนยามโหย่ว” เขาสั่งกำชับอาเซิน “เจ้าอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนแม่นางฟู่ ในเมื่อที่นี่มีเพิงหญ้าคาก็น่าจะมีหมู่บ้าน ข้าจะไปดูสักหน่อย!”
“ขอรับ” อาเซินขานตอบเสียงดัง ท่านเก้าเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
แม้ว่าตอนยามอิ๋นจะได้กินหมั่นโถวครึ่งลูกกับดื่มน้ำครึ่งชาม แต่อากาศที่ร้อนจัดทำให้ฟู่ถิงจวินทั้งหิวข้าวทั้งกระหายน้ำมาตั้งนานแล้ว
นางกัดหมั่นโถวสองคำแล้วกลั้วคอด้วยน้ำ
เพราะถูกเก็บมานานเกินไปจนแห้งร่วน มีเศษหมั่นโถวร่วงพรูลงมาเหมือนผงแป้งที่จับเป็นก้อนแข็งๆ
ฟู่ถิงจวินเงยหน้าขึ้น เห็นอาเซินนั่งยองๆ อยู่ข้างรถเข็นไม้ กวาดตามองท้องนาที่ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นพลางใช้กิ่งไม้วาดรูปวงกลมอย่างเบื่อหน่าย
“อาเซิน เจ้าไม่ร้อนหรือ ไฉนไม่ดื่มน้ำเลย”
อาเซินเกาหัวพร้อมส่งเสียงหัวเราะแหะๆ
ฟู่ถิงจวินชูถุงหนังขึ้น “ไปเอาชามของเจ้าออกมา ข้าจะเทแบ่งให้”
อาเซินไม่ขยับ “แม่นาง นี่เป็นน้ำที่ท่านเก้าเตรียมไว้ให้ท่าน…ข้าต้องรอถึงยามโหย่วจึงจะดื่มน้ำได้ขอรับ”
นางนิ่งขึงไป
นางย่อมรู้ว่าน้ำมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย แต่เห็นทุกครั้งท่านเก้าให้นางทีละนิดก็นึกว่าพวกเขาประหยัดมากแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่า…นางมองดูน้ำกับหมั่นโถวในมือ เอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าต้องรอถึงยามโหย่วจึงจะกินหมั่นโถวได้ใช่หรือไม่”
อาเซินหัวเราะขลุกขลักในลำคอ
ฟู่ถิงจวินบิหมั่นโถวครึ่งหนึ่งส่งให้เขา “ข้ากินคนเดียวไม่ได้มากขนาดนี้ ครึ่งลูกนี้แบ่งให้เจ้า”
อาเซินไม่รับ “ท่านเก้าบอกแล้วว่ายามโหย่วถึงจะกินหมั่นโถวได้”
ฟู่ถิงจวินมองแสงแดดแจ่มจ้าแยงตาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านเก้าไม่มีขวดทรายบอกเวลาติดตัวนี่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาใดเป็นยามโหย่ว เร็วขึ้นหรือช้าลงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก!”
ราวกับนางกล่าวถ้อยคำอะไรที่สุดแสนจะเลวร้ายก็ไม่ปาน อาเซินฟังแล้วไม่ใคร่จะพอใจ “ท่านเก้ารู้ก็แล้วกัน ท่านเก้าบอกว่าเป็นเวลาไหนก็คือเวลานั้น แต่ไรมาล้วนไม่เคยผิดพลาด!”
อาเซินได้ท่านเก้าเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ มีความผูกพันและเห็นเขาเป็นทั้งบิดาและพี่ชาย เป็นธรรมดาที่เขาไม่อาจยอมรับคำพูดใดๆ ที่แสดงถึงความคลางแคลงในตัวท่านเก้า ฟู่ถิงจวินเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้แม้นางเห็นว่าอาเซินเทิดทูนบูชาท่านเก้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาไปบ้าง แต่ก็ไม่อยากจะกล่าวคำที่บั่นทอนความสำคัญของท่านเก้าในใจเขาลงอีก
“ข้าเพียงอยากจะล่อหลอกให้เจ้ากินอะไรสักหน่อย” นางมองอาเซินด้วยรอยยิ้มละไม “ใครจะไปรู้ว่าอาเซินจะรู้ทันเร็วขนาดนี้”
ยามฟู่ถิงจวินผลิยิ้ม นัยน์ตาทั้งคู่จะพราวระยับ ดวงหน้าที่อิดโรยห่อเหี่ยวยังเปล่งประกายสดใส เห็นแล้วเจริญตาเจริญใจ
อาเซินยิ้มอย่างกระดากอายอยู่บ้าง
ฟู่ถิงจวินยื่นถุงหนังไปให้อีกครั้ง “เดิมทีนี่เป็นส่วนที่ท่านเก้าให้ข้า แต่ข้ามิได้ต้องการมากมายอย่างนี้ เจ้าดื่มกินเข้าไปก็ไม่ต่างจากข้าเป็นคนดื่มกิน ใช่ว่าจะสิ้นเปลืองมากกว่าเดิม ไม่นับว่าผิดกฎของท่านเก้านะ”
อาเซินฟังแล้วตาเป็นประกาย เขากลอกตามองถุงหนังในมือนางกับหมั่นโถวสลับไปมา ชั่วครู่ใหญ่เขากัดฟันแน่น ฟู่ถิงจวินนึกว่าเขาไม่อาจต้านทานความยั่วยวนใจของอาหารได้แล้วยอมทำตามที่ตนเองบอก แต่ขณะที่นางกำลังนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ที่ไหนได้เขากลับเอ่ยโพล่งขึ้น “ท่านเก้าบอกแล้วว่ายามโหย่วถึงจะกินอาหารได้ขอรับ”
เป็นเวลานานกว่าฟู่ถิงจวินจะดึงสติคืนมา นางอดเลื่อมใสเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้
เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน ก็รู้จักยับยั้งชั่งใจแล้ว หากเขาได้รับการชี้แนะสั่งสอนที่ดี ภายภาคหน้าไม่แน่ว่าจะเป็นลูกผู้ชายที่รักษาสัจจะผู้หนึ่ง!
นางบังเกิดความเอ็นดูสงสารเขาเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ฟู่ถิงจวินเอาหมั่นโถวกับถุงหนังวางกลับไปบนรถเข็นไม้
อาเซินไม่เข้าใจ
นางกล่าวยิ้มๆ “วันๆ ข้านั่งอยู่แต่บนรถ ส่วนท่านเก้าต้องเข็นรถให้ข้า มิสู้เก็บของกินไว้ให้เขา เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ดีสิๆ!” อาเซินฟังแล้วชอบอกชอบใจเหลือหลาย กระทั่งสายตาที่มองนางยังแฝงรอยสนิทสนมขึ้นไม่น้อย แต่แล้วพริบตาเดียวเขาก็เอ่ยขึ้นอีกอย่างกังวลใจ “แต่ท่านเก้าพูดว่าร่างกายท่านอ่อนแอ ต้องบำรุงมากๆ…”
“แค่ไม่กี่วันนี้เอง” ฟู่ถิงจวินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไหนบอกว่าอีกแค่สิบวันก็ถึงเว่ยหนานแล้วมิใช่หรือ”
อาเซินพยักหน้า
นางกวักมือเรียกเขามานั่งข้างๆ “ข้างนอกร้อนอย่างนั้น เจ้าเข้ามานั่งเถอะ ถ้าเจ้าเป็นไข้แดด ท่านเก้ามิต้องดูแลเพิ่มขึ้นอีกคนหรือไร!”
อาเซินฟังแล้วโยนกิ่งไม้ทิ้งแล้วนั่งลงข้างกายนาง
เห็นได้ว่ายกกระบี่อาญาสิทธิ์อย่างท่านเก้าขึ้นมาใช้กับอาเซิน ไม่มีคราใดไม่ประสบผล
ฟู่ถิงจวินลอบขบขัน พร้อมกับนึกสะท้อนใจในความใสซื่อบริสุทธิ์ของอาเซิน ทำให้นางยิ่งตั้งใจมั่นว่าจะรั้งตัวอาเซินอยู่กับนางให้ได้
นางคุยเล่นกับอาเซิน “พอข้าถึงเว่ยหนานแล้วจะพำนักอยู่ที่จวนท่านน้า ที่นั่นมีทั้งเรือกสวนไร่นา ร้านค้า และสำนักศึกษา เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่”
อาเซินทำสีหน้าตะลึงลาน
“เช่นนี้เจ้าไม่ต้องระหกระเหินไปทุกที่กับท่านเก้า ซ้ำยังสามารถร่ำเรียนหนังสือกับหลานๆ ของข้า หากเจ้าไม่อยากร่ำเรียนก็สามารถทำการค้าหรือทำนากับคนดูแลงานต่างๆ ในจวน วันหน้าจะเป็นเถ้าแก่ร้านหรือซื้อที่นาปลูกข้าวก็ได้” ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “ถ้าท่านเก้าคิดถึงเจ้า สามารถมาเยี่ยมเจ้าที่เว่ยหนานได้ แล้วพอวันหน้าท่านเก้าแก่เฒ่าลง เจ้าก็สามารถปรนนิบัติดูแลเขาได้มิใช่หรือ”
อาเซินฟังแล้วลังเลใจอยู่บ้าง เขาเอ่ย “พอถึงที่นั่นแล้วข้ากับท่านเก้าไปเยี่ยมท่านได้หรือไม่”
ยังคงคิดถึงแต่ท่านเก้าอยู่ดี!
แต่หากอาเซินลืมท่านเก้าเพราะเรื่องนี้ ก็คงไม่ใช่อาเซินที่นางชมชอบเอ็นดูเช่นกัน
นางคาดว่าท่านน้าคงไม่ปฏิเสธที่จะให้ค่าตอบแทนแก่ท่านเก้า และต่อให้ท่านน้าไม่ยินยอม ถึงเวลานั้นตั๋วเงินสองพันตำลึงของนางก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ กระนั้นนางคิดว่าคนที่มีความสามารถรอบตัวอย่างท่านเก้า กลับนำพาพวกพ้องกลุ่มหนึ่งตระเวนท่องไปทั่ว อาจมิใช่คนที่จะยอมปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้
“ขอเพียงท่านเก้าเต็มใจ มีอันใดไม่ได้เล่า” ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ย “พอถึงที่นั่นข้าให้คนทำแป้งย่างให้เจ้ากิน”
“ดีสิๆ!” อาเซินได้ยินแล้วมีสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส “ท่านเก้าบอกว่าทำนาหาเงินไม่ได้ อย่างมากแค่ทำให้กินอิ่มท้อง ต้องทำการค้าถึงจะหาเงินได้ พี่อวี้เฉิงเคยสอนข้าดีดลูกคิด แล้วก็สอนข้าทำบัญชีอีกด้วย ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นผู้ดูแลร้านให้ท่านเก้าเองขอรับ!”
คำก็ท่านเก้า สองคำก็ท่านเก้า
ฟู่ถิงจวินดีดหน้าผากของอาเซินอย่างขันๆ
ท่านเก้ากลับมาแล้ว
อาเซินวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้าไปหา “ท่านเก้าๆ แม่นางฟู่บอกให้พวกเราอยู่กับนางที่เว่ยหนาน พวกเราไปพบพี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าแล้ว ไปอยู่ที่เว่ยหนานได้หรือไม่”
ท่านเก้าประหลาดใจมาก เขามองพินิจหญิงสาวปราดหนึ่ง
ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ยขึ้น “แม้จะมีคำกล่าวว่าอ่านตำราพันเล่มไม่เท่าเดินทางไกลหมื่นลี้ แต่อาเซินอายุยังน้อย ท่านเก้าฝากเขาไว้กับข้าดีกว่า ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดีเอง ถ้าเกิดวันใดท่านเก้าอยากลงหลักปักฐาน ค่อยมารับอาเซินไปก็ไม่ต่างกัน”
ท่านเก้าไม่พูดจา สายตาเขาที่เพ่งมองนางดุจบ่อน้ำลึก คลับคล้ายมีรอยกระเพื่อมเบาๆ บนผิวน้ำที่นิ่งสนิท
ฟู่ถิงจวินเบิ่งตากว้างหมายมองให้กระจ่างชัด
อาเซินด้านข้างเดินวนรอบตัวท่านเก้าอย่างกระวนกระวายใจ “ไม่ได้หรือขอรับ”
ท่านเก้าก้มหน้าเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง “ไว้ค่อยว่ากันอีกที!”
พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาเขากลับเป็นเยือกเย็นเฉยเมยดังเดิม
ฟู่ถิงจวินผิดหวังน้อยๆ
เขายังคงไม่เต็มใจลงหลักปักฐาน ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมันดีปานนั้นเชียวหรือ
นางไม่เข้าใจ
“ไม่ไกลนักมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนที่นั่นล้วนหนีภัยแล้งไปหมดแล้ว” ท่านเก้าหยิบสายบังเหียนรถเข็นไม้ขึ้นมาคล้องกับตัว “พวกเราหยุดพักที่นั่นเถอะ”
ฟู่ถิงจวินอยากถามเขาเหลือเกินว่าในหมู่บ้านมีศพคนตายที่ยังไม่ฝังลงดินหรือสุนัขจรจัดกินคนหรือไม่ แต่เมื่อแลมองแผ่นหลังที่สาวเท้าก้าวปราดๆ เดินไป นางกลืนคำพูดกลับลงไปดังเดิม
ท่านเก้าหันขวับกลับมาราวกับอ่านใจนางออก “ท่านวางใจได้ ในหมู่บ้านสะอาดมาก!”
ในหมู่บ้านสะอาดมากจริงๆ
พวกเขาเสาะหาเรือนหลังหนึ่งที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางเป็นที่พักแรม
ยามเที่ยงตรงในฤดูร้อนทำให้คนง่วงเหงาหาวนอน
พวกเขาลงดาลประตู ฟู่ถิงจวินอยู่ที่ห้องพักด้านหลังเรือน ส่วนท่านเก้ากับอาเซินอยู่ในห้องโถง ทุกคนนอนกลางวัน รอเมื่อแสงแดดอ่อนลง ต่างคนต่างดื่มน้ำเล็กน้อยกับกินหมั่นโถวครึ่งลูก จากนั้นเริ่มต้นเร่งเดินทางต่อ
ตกเย็น เมื่อไม่พบหมู่บ้าน พวกเขาจึงค้างแรมอยู่ริมทางกลางป่า
รถเข็นไม้กั้นอยู่ตรงกลาง ท่านเก้ากับอาเซินนอนอยู่ทางซ้าย ฟู่ถิงจวินนอนอยู่ทางขวา
เดินทางไปเช่นนี้สองสามวัน ท่านเก้าเพิ่งพบว่าฟู่ถิงจวินดื่มแต่น้ำสองคำ ไม่แตะหมั่นโถวสักคำเดียว
นางลุกลนอธิบาย “อากาศร้อนเกินไป ข้ากินไม่ลงจริงๆ”
“กินไม่ลงก็ต้องกิน!” ท่านเก้ายัดหมั่นโถวใส่มือนาง “อยู่ต่างบ้านต่างถิ่นย่อมไม่สุขสบายเท่าเรือนตน เวลาที่พึงฝืนทนก็สมควรฝืนทน”
พูดราวกับว่านางดื้อรั้น ไม่รู้จักความยากลำบากอย่างไรอย่างนั้น
ฟู่ถิงจวินไม่อยากโต้เถียงกับเขา ถือไว้ในมือเฉยๆ แต่ไม่กิน
ท่านเก้าขมวดคิ้วอยู่ตลอด
อาเซินทำหน้างุนงง มองฟู่ถิงจวินที่นิ่งเงียบไม่พูดจา แล้วก็มองท่านเก้าที่มีสีหน้าไม่ชอบใจ เขาสองจิตสองใจครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นอยู่ดี “แม่นางฟู่บอกว่านางไม่ต้องเดินเอง เลยจะเก็บหมั่นโถวให้ท่านเก้ากิน”
เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ฟู่ถิงจวินแค่นเสียงฮึ ลุกขึ้นยืนตะโกนเรียก “อาเซิน พวกเราไปเดินรอบๆ เนินเขากัน ฤดูใบไม้ผลิทุกปีท่านย่าจะพาพวกข้าไปท่องเที่ยวที่คฤหาสน์พักผ่อนที่ตำบลหฺวาซีและสอนพวกข้าพี่น้องเก็บผักป่า ข้าเห็นว่าต้นไม้ตรงเนินเขาตะวันออกยังไม่แห้งตาย ฉะนั้นน่าจะมีตาน้ำอยู่ ไม่แน่อาจหาผักป่าได้บ้างนะ! จะได้ไม่ต้องกินหมั่นโถวแกล้มน้ำทุกวัน” กล่าวจบนางหมุนกายเดินออกนอกประตูไป
ความไม่พึงใจที่มีต่อท่านเก้าเห็นได้จะแจ้งโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
เขานิ่งงันไปเป็นคำรบที่สอง
อาเซินเบิกตาค้าง จวบจนฟู่ถิงจวินลับร่างไปทางนอกประตู เขาถึงดึงสติคืนมาได้
คนหนึ่งคือแม่นางฟู่ที่เขาชมชอบมาก คนหนึ่งคือท่านเก้าที่เขานับถือที่สุด
“ท่านเก้า! ” อาเซินมองท่านเก้าอย่างไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าควรทำประการใดดี
“ไปเถอะ” ท่านเก้ายิ้มเจื่อนๆ “อย่าทิ้งให้แม่นางฟู่อยู่คนเดียว”
แม้เขาจะเลือกเฉพาะเส้นทางชนบทที่เงียบเปลี่ยว ต่อให้พบหมู่บ้าน ถ้ามีศพคนที่หิวตายก็จะเลี่ยงไม่ผ่านไป ถึงกระนั้นก็ตามที ระวังไว้จะดีกว่า เพราะย่อมมีคนที่ออกเดินทางพร้อมเสบียงและน้ำอย่างพอเพียง แต่กลัวถูกคนปล้นชิง จึงมีความคิดเช่นเดียวกับเขาและเลือกเส้นทางแบบเดียวกัน
อาเซินเบิ่งตากว้างยิ่งขึ้น
ท่านเก้า…ยิ้มเจื่อนๆ ด้วย!
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นท่านเก้ายิ้มเจื่อนๆ เป็นเมื่อใด
ถึงฟ้าถล่มลงมา ท่านเก้าได้ยินแล้วแค่พยักหน้าอย่างเฉยเมย เอามือไพล่หลังเดินวนไปวนมาในห้อง หรือไม่ก็นั่งอยู่ข้างแม่น้ำตามลำพังก็จะคิดหาหนทางได้แล้ว…แม่นางฟู่แค่เดินออกไปคนเดียว เพียงร้องเรียกกลับมาก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องยิ้มเจื่อนๆ ด้วยเล่า
อาเซินเห็นว่าตนเองจำเป็นต้องเอ่ยเตือนท่านเก้าสักคำ
ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเก้าพูดเร่งเขาเสียแล้ว “ยังไม่รีบไปอีก!”
แต่ไรมาอาเซินไม่เคยขัดขืนคำสั่งท่านเก้า เขาไม่หยุดคิดใคร่ครวญก็ขานรับว่า “ขอรับ” ครั้นรู้ตัวว่าตอบเร็วเกินไป ท่านเก้าก็ก้มหน้าจัดของบนรถเข็นไม้แล้ว
ทว่าแม่นางฟู่ออกไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ถ้าพบกับพวกสุนัขจรจัดละก็แย่แน่! อีกประเดี๋ยวตอนอยู่ระหว่างทางค่อยแอบบอกท่านเก้าก็ไม่ต่างกัน
อาเซินไตร่ตรองแล้ววิ่งออกนอกประตูไป กลับแลเห็นฟู่ถิงจวินยืนอยู่ในเพิงที่มีกองฟางวางสุมอยู่ตรงด้านนอกเรือน
“แม่นางฟู่!” เขารู้สึกประหลาดใจมาก
นางส่งยิ้มให้เขา “อากาศร้อนเกินไป เช่นนั้นพวกเรารอสักครู่ค่อยไปดูนะ”
แม้นจะโกรธเคืองที่ท่านเก้าถือความคิดตนเป็นใหญ่ แต่ในยามที่ทุกคนเร่งเดินทางจนเหน็ดเหนื่อยปางตาย นางคงไม่หนีไปที่เนินเขาปล่อยให้ทุกคนออกตามหาอย่างดึงดันเอาแต่ใจหรอก
ตอนนี้พวกเขาหยุดพักในหมู่บ้านตรงเชิงเขาลูกหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาส่วนใหญ่แห้งตายหมดแล้ว เหลือแค่ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าซึ่งเคยแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มไม่กี่ต้นตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ยังมีชีวิตอยู่ ใต้ต้นไม้มีหญ้าขึ้นหร็อมแหร็ม แต่จะบอกว่าเป็นจำพวกผักป่าอะไรนั่นนะหรือ เป็นไปมิได้เด็ดขาด
แม่นางฟู่พูดอะไรไม่พูด จำเพาะต้องพูดว่าจะมาหาผักป่า?
ฉะนั้นพอเห็นฟู่ถิงจวินยังไม่ไปที่เนินเขาตอนนี้ อาเซินย่อมดีใจเป็นธรรมดา เผื่อว่าหาผักป่าไม่ได้ แม่นางฟู่ก็ไม่ต้องอายจนวางหน้าไม่ถูกที่คุยโม้โอ้อวดต่อหน้าท่านเก้าอีก
ทั้งสองนั่งสนทนากันอยู่ในเพิงนั่นเอง
อากาศร้อน นางกับอาเซินคุยไปๆ แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
รอจนเมื่อท่านเก้าปลุกทั้งคู่ในตื่นขึ้น เป็นเวลาที่แสงสนธยาส่องทั่วฟ้าแล้ว
เลยเวลาออกเดินทางไปแล้วหรือนี่
อาเซินลุกขึ้นอย่างฉับไว “ท่านเก้า…” สีหน้าเด็กน้อยแดงก่ำ
ฟู่ถิงจวินกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ตบฝุ่นบนตัวออก ก่อนจะเอ่ยถามท่านเก้าเสียงเรียบเรื่อย “ไปได้แล้วหรือ”
“อืม” ท่านเก้าส่งเสียงตอบคำหนึ่งแล้วหมุนกายเข้าประตูไปด้วยสีหน้าดุจเดิม
อาเซินเทิดทูนบูชาท่านเก้า และเลียนแบบทุกๆ อากัปกิริยาของเขามาโดยตลอด ทำให้รู้จักเขาเป็นอย่างดี สำหรับฟู่ถิงจวินแล้ว ชายหนุ่มอาจไม่ผิดแผกไปจากปกติ ทว่าในสายตาของเด็กน้อย กลับรู้สึกว่าดูเหมือนเขามีท่าทางจนปัญญาอยู่สักหน่อย
จนปัญญา? เพราะแม่นางฟู่หรือ!
อาเซินมองแผ่นหลังของหญิงสาวอยู่เนิ่นนานก็ขบคิดไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร!
นับแต่วันนั้น แม้ว่าตอนเที่ยงท่านเก้าจะยื่นหมั่นโถวส่งให้ฟู่ถิงจวินดังเก่า แต่ถ้านางไม่กินเขาก็ไม่ฝืนใจ ข้างฝ่ายฟู่ถิงจวินนั้นเล่า นางไม่เอ่ยปากพูดกับท่านเก้าก่อนดังเช่นที่ผ่านอีก กลับพูดคุยหัวเราะกับอาเซินเหมือนปกติไม่ต่างไปจากเดิม บางครั้งท่านเก้าพูดด้วย นางก็ถามคำตอบคำ ไม่พูดมากเกินจำเป็นแม้แต่คำเดียว บางครั้งหญิงสาวกำลังคุยกับอาเซินอย่างสนุกสนาน พอท่านเก้าเดินผ่านมานางจะหยุดพูดทันที รอเมื่อท่านเก้าเดินผ่านไปแล้วนางก็คุยกับอาเซินอย่างออกรสออกชาติต่อ
มาตรว่าอาเซินจะมีอายุน้อย ก็มองออกว่าฟู่ถิงจวินกำลังหมางเมินท่านเก้าอยู่
ท่านเก้าเป็นคนเงียบขรึมไม่ช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไร ยามมีเรื่องอะไร ทุกคนจะเป็นฝ่ายพูดกับท่านเก้าก่อนเสมอ
อาเซินเห็นว่าเรื่องนี้ฟู่ถิงจวินทำไม่ถูก
เมื่อสบช่องตอนท่านเก้าไปสำรวจเส้นทางข้างหน้า เขาเอ่ยถามนาง “ทำไมท่านไม่พูดคุยกับท่านเก้า ทั้งที่ท่านเก้าพูดคุยกับท่าน”
“เปล่านะ!” ฟู่ถิงจวินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ไม่มีเรื่องใด ย่อมพูดคุยกันน้อยเป็นธรรมดา”
อาเซินไม่เชื่อเลยสักนิด!
เขาเบ้ปากแล้วตั้งท่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากในป่าบนเนินเขา
ทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ มีกันเจ็ดแปดคน แต่ละคนผอมแห้งดั่งท่อนฟืน ใบหน้าซูบซีด ดวงตาลึกโหลขุ่นขวาง ในมือพวกเขาถือจอบบ้างท่อนไม้บ้าง พอเห็นอาเซินกับฟู่ถิงจวิน สายตาก็ลุกวาวละม้ายสุนัขบ้าที่หิวโหยมาหลายวันแล้วมองเห็นของกิน
หญิงสาวขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
อาเซินรีบดึงพลองเสมอคิ้วออกมาจากรถเข็นไม้ สาวเท้าขึ้นหน้าหลายก้าวแล้วเอ่ย “พวกเจ้าเป็นใคร” เขาเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าหญิงสาว
นางจะหลบอยู่ข้างหลังเด็กน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร
“อาเซิน…” ฟู่ถิงจวินเข้าไปดึงอาเซิน แต่คนกลุ่มนั้นกรูกันเข้ามาแล้ว
“ท่านรีบหลบออกไปเร็วเข้า!” อาเซินตะโกนขึ้น เขาสะบัดมือฟู่ถิงจวินออก จากนั้นกวัดแกว่งพลองพุ่งทะยานเข้าไปฟาดใส่ซอกคอคนที่นำอยู่ข้างหน้า
คนคนนั้นไม่ทันตั้งตัว ร่างทรุดฮวบล้มลงไปกองกับพื้น
คนที่ตามมาด้านหลังชะงักฝีเท้าหยุดอยู่กับที่ แลมองอาเซินอย่างตะลึงลาน
อาเซินไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหวี่ยงพลองหวดไปอีก ตีถูกศีรษะคนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด
คนคนนั้นกุมหัวร้องครางโอดโอย มีโลหิตไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว
คนอื่นๆ คล้ายสะดุ้งตื่นจากภวังค์ฝัน แผดเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมถลันเข้าใส่อาเซิน
อาเซินพุ่งเข้าไปปะทะอย่างไม่ครั่นคร้ามใดๆ
แม้ว่าพวกนั้นมีคนมากกว่าและเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ตัวโตสูงใหญ่กว่า กลับรู้จักแต่รุมกันเข้าไปใช้จอบบ้างท่อนไม้บ้างหวดตีใส่ร่างอาเซิน ไม่เพียงสะเปะสะปะไร้ระเบียบ ยังเคลื่อนไหวได้เชื่องช้ามาก ราวกับหิวจนหมดเรี่ยวหมดแรง ในทางกลับกันอาเซินซึ่งมีพลองเสมอคิ้วในมือ จะหวดฟาดกวาดแทงล้วนเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา กระบวนท่าโจมตีพลิกแพลงพิสดาร อีกทั้งอาศัยความเป็นคนร่างเล็กวิ่งมุดลอดไปมา ล่อหลอกจนคนกลุ่มนั้นหัวหมุน ไม่อาจเข้าประชิดตัวเด็กน้อยได้เลย
อาเซินฉลาดจริงๆ
ฟู่ถิงจวินระบายลมหายใจโล่งอก
ถึงกระนั้นก็ตาม สองมือยากจะต่อกรสี่มือ เหนืออื่นใดอาเซินเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
นางวิ่งไปหาท่านเก้าสุดฝีเท้าพร้อมกับร้องตะโกน “ช่วยด้วย!”
คนสองคนที่เดินวนเวียนอยู่รอบนอกวงต่อสู้โดยตลอดส่งสายตาให้กัน ก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปหาฟู่ถิงจวิน
นางมองหาของที่สามารถป้องกันตัวได้สักอย่างในรถเข็นไม้อย่างลนลาน แต่นอกจากเสื่อฟางเสื่อกก ตะเกียบกับชามแล้วก็คือหมั่นโถวกับถุงหนัง
นางร้อนใจจนหลั่งเหงื่อท่วมศีรษะ
สองคนนั้นวิ่งมาถึงตรงหน้านางแล้ว
“พวกเจ้าจะทำอะไร!” นางร้องตวาดแล้วหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่งของรถเข็นไม้ “นายท่านของพวกข้ากำลังจะกลับมาแล้ว ระวังชีวิตของพวกเจ้าไว้ให้ดี!”
พวกเขาทำสีหน้าเหี้ยมเกรียม หนึ่งในนั้นมีเรือนกายสูงปานกลาง สวมเสื้อคลุมนักพรตทำจากผ้าไหมสีเขียวหัวเป็ด ทว่าชายแขนเสื้อมีคราบเลือดแห้งกรังปื้นหนึ่ง ยามเขามองเห็นฟู่ถิงจวิน ดวงตามีแววตะลึงในความงามวาบผ่านไป จากนั้นใบหน้าเผยรอยยินดีปรากฏขึ้น “พี่ใหญ่ หญิงนางนี้โฉมงามเหลือหลาย อย่างน้อยก็ต้องขายได้สักห้าสิบตำลึงเงิน…”
ฟู่ถิงจวินตกใจจนหน้าซีดเผือด ตะลีตะลานคว้าของชิ้นหนึ่งมาได้ก็ถือกุมไว้กับอก
อีกคนหนึ่งตัวเตี้ยม่อต้อ หน้ายาวเหมือนม้า ตอนที่มองเห็นฟู่ถิงจวิน นัยน์ตารูปสามเหลี่ยมของเขาทอประกายละโมบออกมา แต่แล้วสายตาคู่นั้นเลื่อนไปหยุดอยู่ที่รถเข็นไม้อย่างว่องไว เขากล่าวขึ้น “ตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมัวคิดแต่เรื่องเพ้อเจ้อไม่เป็นสาระพวกนี้ ต่อให้หญิงนางนี้ขายได้ห้าสิบตำลึงเงิน พวกเราก็ต้องมีโชคมากพอจะพานางไปถึงหอชุนสี่ได้ มีชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่า! ช่วยข้าเข็นรถเข็นคันนี้ไปเร็วเข้า!” เขากล่าวพลางวิ่งไปฉวยด้ามจับรถเข็นไม้ไว้ รำพึงขึ้น “พอเห็นผู้หญิงก็รู้ว่าบนรถเข็นคันนี้ต้องมีของกิน ถ้าโชคดีไม่แน่ว่ายังมีของมีค่าอีกด้วย…”
ฟู่ถิงจวินคิดตามทันในที่สุด
เมื่อเทียบกับอาหารที่ประทังชีพได้แล้ว ตัวนางซึ่งขายได้ห้าสิบตำลึงเงินก็ไม่สำคัญปานนั้นอีก
ถ้าปล่อยให้พวกเขาแย่งชิงรถเข็นไม้ไป เห็นทีว่าพวกนางก็ไม่รอดชีวิตเช่นกัน
นางร้องโวยวายขึ้น “พวกเจ้าแย่งชิงอาหารของพวกข้าไปไม่ได้นะ พวกเจ้าเอาไปแล้ว พวกข้าจะกินอะไร”
พอพวกที่กำลังกลุ้มรุมอาเซินอยู่ได้ยิน ก็เลิกสนใจอาเซินแล้ววิ่งมาทางนี้ทันใด
ฟู่ถิงจวินรีบวิ่งไปหาท่านเก้า นางวิ่งไปตะโกนเรียกไป “ท่านเก้า ช่วยด้วย”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ
เงาร่างของท่านเก้าปรากฏขึ้นบนคันนาแตกระแหง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกลำคอตีบตัน สายตาพร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา
นางเห็นเพียงท่านเก้าเคลื่อนกายฉับไวดุจสายฟ้าแลบ กระโจนตัวไม่กี่ทีมาถึงตรงหน้านาง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปรี่เข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่ นางได้ยินเสียงกร๊อบคล้ายเสียงกระดูกหัก พอหันหน้าไปก็มองเห็นคนที่หน้ายาวเหมือนม้านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
นางรีบถอยออกไปด้านข้าง
ท่านเก้าจับตัวเจ้าคนในเสื้อคลุมนักพรตสีเขียวทุ่มใส่คนที่มาปล้นชิงกลุ่มนั้น
เสียงโครมดังขึ้นพร้อมคนห้าหกคนล้มลงกับพื้นในเวลาเดียวกัน
“ท่านเก้า!” อาเซินมีกำลังใจขึ้นมาทันควัน ผละจากคนที่รุมโจมตีเขา วิ่งเข้าไปตวัดพลองตีหัวพวกที่นอนอยู่บนพื้นคนละหนึ่งที
ท่านเก้าชกพวกที่ไล่ตามอาเซินมาคนละหมัดจนล้มไปกองกับพื้น
“ท่านเก้า!” อาเซินเรียกเสียงเครือและวิ่งเข้าไปหา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านเก้าเหลือบดูคนบนพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะมองฟู่ถิงจวินพลางกล่าว
นางรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดรอบหนึ่ง
“ที่แห่งนี้รั้งอยู่นานมิได้!” ท่านเก้าเอ่ยทันที “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
ฟู่ถิงจวินกับอาเซินได้ยินแล้วพากันตื่นตระหนก รีบเร่งเก็บข้าวของที่ถูกคนกลุ่มนั้นรื้อกระจุยกระจายมาวางบนรถเข็นไม้จนมือเป็นระวิง จากนั้นสาวเท้าเร็วรี่ออกจากที่นั่นไปกับท่านเก้า
เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้แทรกขึ้นกลางคัน ท่านเก้าจึงไม่กล้าทิ้งอาเซินให้อยู่เฝ้าฟู่ถิงจวินตามลำพังอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่อาจไปสำรวจเส้นทางคนเดียว ครั้นจะพาทั้งสองคนไปด้วยก็ไม่สะดวกนัก จึงจำต้องเปลี่ยนเส้นทาง พยายามเลียบเลาะไปตามถนนหลวงเท่าที่จะทำได้
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ฟู่ถิงจวินได้รับรู้แล้วว่าอันใดคือดินแดนรกร้างพันลี้ เช่นนั้น ณ ขณะนี้นางก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าอันใดคือซากศพเกลื่อนกลาด
“อย่าดู!” ท่านเก้าเอาตัวบังอยู่ข้างหน้านาง “ท่านมีผ้าเช็ดหน้าติดตัวมิใช่หรือ เอาผูกปิดหน้าไว้ กลิ่นศพฟุ้งตลบ ต้องระวังโรคระบาด”
“อื้ม” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบเบาๆ คำหนึ่ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วผูกผ้าปิดหน้า
อากาศร้อนระอุ เป็นเหตุให้มีเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ไม่มีที่ให้ชำระกาย ผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อเหม็นอับ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับว่าอาจติดโรคระบาดได้ ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
นางเบนสายตาไปที่ข้างทางอีกคราหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่
ใต้แสงตะวันแรงกล้ายามเที่ยงตรง ต้นไม้ใหญ่ที่ปราศจากเปลือกหุ้มพากันเฉาตายไปนานแล้ว กิ่งก้านสีน้ำตาลแห้งโกร๋นเหยียดขึ้นสู่ฟ้าประหนึ่งวิงวอนขอความช่วยเหลือ ใต้ต้นไม้มีศพคนตายแห้งกรังเจ็ดแปดศพนอนระเกะระกะอยู่ ศพที่สูงวัยดูแล้วมีอายุราวสี่สิบห้าสี่สิบหก ดวงตาลึกโบ๋เบิกโพลง สีหน้าแฝงรอยไม่เต็มใจยอมรับ ส่วนศพที่อ่อนวัยยังถูกมารดาอุ้มไว้กับอก ร่างกายเปลือยเปล่า เห็นซี่โครงเรียงกันเป็นแถว แขนขาเล็กลีบเหมือนแท่งไม้ ศีรษะที่โตเกินตัวห้อยพับลงจากวงแขนมารดาซึ่งไม่รู้ถูกผู้ใดเปลื้องอาภรณ์ออกไป เผยให้เห็นร่างที่สวมแค่เสื้อเอี๊ยมตัวหนึ่ง…หมดสิ้นแล้วซึ่งเกียรติใดๆ
ฟู่ถิงจวินหนาวเยือกจับใจระลอกหนึ่ง นางก้มหน้าก้มตาควานหาเสื่อฟางได้ผืนหนึ่งยื่นส่งให้อาเซินโดยไม่นำพาว่าเป็นของใคร “ช่วยคลุมตัวให้ท่านน้าผู้นั้นเถอะ”
อาเซินรับมาไว้ในมือแต่ไม่ขยับ “แม่นางฟู่ พวกเราคลุมตัวให้นางแล้ว พอคล้อยหลังไปไม่ทันไรก็มีคนมาขโมยไปอีก…”
“บอกให้เจ้าไป เจ้าก็ไปสิ” ผู้เอ่ยปากคือท่านเก้า “พูดมากทำไม!”
อาเซินวิ่งไปทันที
ท่านเก้าถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “ไปเถอะ!”
ฟู่ถิงจวินพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา นางนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก
ตกดึก นางนอนไม่หลับ
พอหลับตาลง ภาพสตรีผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมอง
ผ่านไปแค่สองสามวัน หญิงสาวซูบผอมลงไปมาก
ท่านเก้าชำเลืองมองนางแวบหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “อย่างมากอีกสามวันก็จะถึงเว่ยหนานแล้ว”
ฟู่ถิงจวินฟังแล้วนึกยินดีในใจ นางคิดไปถึงเรือนของท่านน้าซึ่งมีห้องใหญ่กว้างขวางที่อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน น้ำสะอาดชำระกายหยดเครื่องหอมกลิ่นกุหลาบ และเสื้อผ้าอาภรณ์อบร่ำด้วยดอกไป๋เหอ* แล้ว พาให้จิตใจกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
หลังจากเดินทางไปเช่นนี้อีกสามวัน ฟู่ถิงจวินไม่เห็นแม้แต่เงาของกำแพงเมืองเว่ยหนาน ถึงได้แจ่มแจ้งในบัดดล “ที่แท้ก็มองบ๊วยดับกระหาย** นั่นเอง!”
ท่านเก้าแย้มยิ้ม
รอยยิ้มทำให้วงหน้าเขาอ่อนละมุนลง แลดูเป็นมิตรเพิ่มขึ้นบ้าง
“เช่นนั้นยังต้องเดินทางอีกกี่วันกันแน่จึงจะถึงเว่ยหนาน” ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วชักใจกล้าขึ้น อดกล่าววาจาแบบโผงผางบ้างมิได้
“อีกสามวัน” ท่านเก้าพูด
“วันพรุ่งนี้ยังมีพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ!” ฟู่ถิงจวินยังมีอารมณ์ขันในยามลำบาก นางแสร้งถอนใจอย่างจนปัญญา พูดสัพยอกเขา
ท่านเก้าหัวร่อสุดเสียง ดวงตาทอประกายวาววับจับตาดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า บันดาลให้สีหน้าเขาแช่มชื่นผ่องใสขึ้น
ฟู่ถิงจวินอึ้งไป
ปกติท่านเก้ามักทำหน้าเคร่งขรึมถมึงทึง คิดไม่ถึงว่ายามเขายิ้มจะชวนมองอย่างนี้
“คราวนี้อีกสามวันก็ถึงแล้วจริงๆ!” ท่านเก้าพูด แววยิ้มในดวงตายังหลงเหลืออยู่รางๆ ละม้ายพรายน้ำระยิบระยับใต้แสงสนธยา ดูละลานตาน่าหลงใหลอยู่หลายส่วน จิตใจที่ตึงเครียดมาหลายวันนี้ของนางผ่อนคลายลงฉับพลัน
เพียงแต่พวกเขายิ่งมุ่งหน้าไป ยิ่งพบเจอผู้ประสบภัยมากขึ้น
ภาพชายหนุ่มยังเข็นรถเข็นไม้ไหว พร้อมกับเด็กชายยังเดินเหินไปมาได้ และหญิงสาวยังนั่งหลังตรงได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีน้ำดื่มมีข้าวกินอิ่ม ด้วยเหตุฉะนี้ทำให้ท่านเก้า อาเซิน และฟู่ถิงจวินเด่นสะดุดตาท่ามกลางกลุ่มผู้ประสบภัยหน้าเหลืองซูบซีด มีคนมองพวกเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ริษยา ถึงขั้นละโมบเป็นระยะ ประหนึ่งว่าพวกเขาซุกซ่อนสมบัติมีค่าควรเมืองสักอย่างที่ใครๆ จับจ้องตาเป็นมัน ฟู่ถิงจวินกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขคล้ายนั่งอยู่บนกองไฟ รู้สึกอยู่ไม่วายว่าจะมีเรื่องอันตรายอะไรบังเกิดขึ้น
ตอนเที่ยงวันหนึ่ง ขณะพวกเขาหยุดพักข้างทางก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ
เริ่มแรกมีชายฉกรรจ์สี่ห้าคนพุ่งเข้ามาที่รถเข็นไม้จากรอบทิศพร้อมๆ กัน จากนั้นมีชายฉกรรจ์อีกเจ็ดแปดคนตามมาด้านหลังติดๆ ท่านเก้าออกกระบวนท่าพลองเสมอคิ้วอย่างแข็งแกร่งทรงพลัง คนพวกนั้นกลับดาหน้ากันเข้ามาไม่หยุดราวกับไม่รักชีวิต พอคนหน้าถูกหวดล้มลงไปก็มีคนถลันเข้ามาอีก จนกระทั่งตีวงล้อมพวกเขาไว้
มีบุรุษมากมายจ้องมองพวกนางด้วยสายตาดุร้ายละม้ายหมาป่าหิวโหยที่มองเห็นอาหาร ส่งผลให้ฟู่ถิงจวินขาสั่นไม่หยุด
ท่านเก้าแค่นเยาะเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยสั่งอาเซิน “เจ้าคอยคุ้มครองแม่นางไว้ พวกเราจะตรงไปทางทิศเหนือกัน”
ทิศเหนือเป็นทิศทางไปยังเว่ยหนาน
อาเซินขานรับ ถือพลองเสมอคิ้วไว้ตรงระดับอก
ฟู่ถิงจวินรีบเข็นรถเข็นไม้ไป
ทั้งสามมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ อาเซินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านเก้าอยู่รั้งท้าย
คนพวกนั้นรู้ถึงความร้ายกาจของท่านเก้า จึงมุ่งจู่โจมแต่อาเซินกับฟู่ถิงจวิน
ท่านเก้าคล้ายมีดวงตาอยู่ข้างหลัง คนใดเข้ามาใกล้ก็ฟาดพลองใส่ คนผู้นั้นก็ล้มทรุดลงกับพื้นแน่นิ่งไปทันใด
หลายรอบผ่านไป คนพวกนั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เต็มใจเลิกรา เพียงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลางและเดินคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ไปทางทิศเหนืออยู่นานเกินครึ่งชั่วยาม จนมีคนเริ่มหมดความอดทน ถลันเข้ามาด้วยท่าทางดุดันก้าวร้าวอีกครั้ง
สีหน้าท่านเก้าพลันทอแววอำมหิตขึ้น นิ้วมือเขาคีบมีดโค้งบางๆ ขนาดเท่าใบหลิวสองเล่มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดรู้ มันลอยพุ่งออกไปแล้วก็เหินลอยกลับมาดุจลมกรดดั่งฟ้าแลบ
หนึ่งในคนที่พุ่งเข้ามาล้มลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก โลหิตสีแดงฉานไหลออกมาจากลำคอค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดิน ทิ้งคราบสีแดงเข้มเป็นวง
คนพวกนั้นชะงักค้างไปตามๆ กัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จึงมีคนตั้งสติได้ ร้องตะโกนขึ้นระลอกหนึ่ง “ฆ่าคนตายแล้ว! เขาฆ่าคนตายแล้ว” พร้อมกับถอยหลังกรูด แต่มีคนยังไม่ละความพยายาม ยืนอยู่ที่เดิมมองหน้ากันไปมา
ความกระสับกระส่ายงุ่นง่านเริ่มแผ่กระจายไปในบรรยากาศรอบด้าน
แววตาของท่านเก้าเย็นเยียบยิ่งขึ้น มีดใบหลิวซัดพุ่งออกจากมือเขาเป็นคำรบที่สอง มีคนล้มลงไปอีกสองคน
คนพวกนั้นถึงเริ่มหวาดกลัว พากันแตกฮือไปคนละทิศละทางดุจฝูงนกกาตื่นตกใจ
หลังจากนั้นท่านเก้าซึ่งเข็นรถให้ฟู่ถิงจวินนั่งกับอาเซินพากันออกเดินทางต่อไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
ระหว่างทางเผชิญกับการปล้นชิงอีกสองครั้ง
ครั้งแรกมีเจ็ดแปดคน ท่านเก้าจัดการด้วยมีดใบหลิวโดยไม่รอช้า
ครั้งที่สองมีคนเดียว เขาวิ่งโซๆ เซๆ ตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเขา ทว่าพลองเสมอคิ้วของอาเซินยังไม่ทันเงื้อขึ้น เขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
ฟู่ถิงจวินปิดตาไว้
พวกเขาเลือกเดินทางไปตามทางสายเล็กด้วยความรีบร้อนตลอดคืน พอย่ำรุ่งถึงหยุดพักข้างทาง
ฟู่ถิงจวินดื่มน้ำอย่างเซื่องซึม ท่ามกลางแสงอรุณรุ่ง จู่ๆ นางพบว่าต้นไม้ข้างทางต่างจากเดิมไปเล็กน้อย
“ท่านเก้าๆ ดูนี่สิ!” ฟู่ถิงจวินชี้ไปที่ต้นไม้ริมทางอย่างตื่นเต้นยินดี “มีใบไม้สีเขียว!”
ท่านเก้ากับอาเซินต่างเงยหน้าขึ้น
บนต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินมีใบไม้สีเขียวสองใบผลิออกมาบนกิ่ง
อาเซินวิ่งเข้าไปจับใบไม้ “ท่านเก้า ดูสิขอรับ!”
ท่านเก้าทำหน้าเครียด ลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วเหลียวมองไปรอบๆ
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วใจกระตุกวูบหนึ่ง “ท่านเก้า ไม่ดีหรือ?”
“แสดงว่าสถานการณ์ของภัยแล้งที่นี่บรรเทาลงบ้างแล้ว” สีหน้าของเขานิ่งขรึม “ไม่แน่ว่าในเมืองเว่ยหนานยังมีน้ำดื่มได้เป็นปกติ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ดูทีว่าในเมืองนั่นมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก พวกเราจะเข้าเมืองย่อมลำบากมากขึ้นด้วย”
“เหตุอันใดพวกเราต้องเข้าเมืองด้วยเล่า” ฟู่ถิงจวินกล่าวยิ้มๆ “พวกเราจะไปอำเภอเฟิงหยวน มิใช่ต้องการไปเมืองเว่ยหนานสักหน่อย พวกเราตรงไปที่นั่นผ่านทางหุบเขาสกุลหลี่ได้เลย!”
ท่านเก้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงบอกให้นางพูดให้กระจ่างขึ้น
“เมื่อก่อนตอนข้ามาเยี่ยมท่านน้า บางคราวท่านแม่เห็นว่าของขวัญที่เตรียมไว้ด้อยค่าเกินไปไม่อยากให้พวกท่านป้าท่านอาสะใภ้ซุบซิบนินทา ถึงได้เดินทางจากหวาอินตรงไปที่เว่ยหนาน รอเมื่อตระเตรียมของขวัญที่จะมอบให้ท่านน้าครบถ้วนแล้วค่อยไปที่เฟิงหยวนอีกที แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญล้ำค่าอะไรก็จะบ่ายหน้าลงใต้ไปตามถนนหลวง จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางเข้าสู่หุบเขาสกุลหลี่ตรงไปที่เฟิงหยวนเลย เช่นนี้ประหยัดเวลาไปได้หนึ่งวัน”
ท่านเก้าฟังแล้วตาเป็นประกายขึ้นน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าชอบใจกับข่าวนี้มาก
ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “แต่ข้าจำทางไม่ได้ รู้เพียงว่าสามารถไปแบบเช่นนี้ได้”
ท่านเก้ามองนางด้วยสีหน้าชอบกลๆ ดูเหมือนอยากหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวนึกอายจนวางหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง “ข้ามิใช่สารถีนี่นา ไหนเลยจะจดจำเรื่องพวกนี้ได้…” สีหน้านางไม่พึงใจ
“หาคนถามไถ่ดูก็หมดเรื่อง!” ท่านเก้าเอ่ยอย่างว่องไว จากนั้นสั่งกำชับอาเซินให้คุ้มครองฟู่ถิงจวินอย่างระมัดระวัง ส่วนตัวเขาเข้าไปที่ถนนหลวงเอง
ไม่ถึงชั่วครู่ ท่านเก้ากลับมาแล้ว
“ปากทางเข้าหุบเขาสกุลหลี่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากนี่” เขาเอ่ยเร่งให้ฟู่ถิงจวินกับอาเซินรีบๆ กินอาหารให้เสร็จ
“ไม่พักสักครู่หรือ” นางมองท่านเก้าอย่างตกใจ
เขาเข็นรถให้นางนั่งมาทั้งคืน
“เร่งรุดไปให้ถึงเฟิงหยวนโดยเร็วจะดีกว่า” ท่านเก้ากล่าว “ถนนสายนี้อันตรายเกินไป”
ฟู่ถิงจวินคิดถึงเรื่องที่ถูกล้อมปล้นแล้วปลายนิ้วมือเย็นเยียบ นางรีบกินหมั่นโถวกับดื่มน้ำนิดหน่อยแล้วออกเดินทางไปพร้อมท่านเก้า
หุบเขาสกุลหลี่เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในหุบลึกกลางเนินเขา ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นชาวสกุลหลี่จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านนี้
ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาพบเจอผู้คนไม่กี่คน ครั้นมาถึงหุบเขาสกุลหลี่ เห็นตรงปากทางเข้าหมู่บ้านสร้างแผงรั้วกั้นจากไม้ท่อนกลมสูงขนาดคนสองคนยืนต่อตัวกัน มีชาวบ้านร่างสูงใหญ่ล่ำสันหลายคนถือดาบใหญ่อยู่ในมือยืนเฝ้ายามอยู่หน้ารั้ว ท่าทางแข็งกร้าวเหี้ยมหาญอย่างมาก เหนือราวรั้วยังแขวนศีรษะคนไว้สิบกว่าหัว โลหิตที่ไหลย้อยลงมาแห้งกรังกลายเป็นสีแดงคล้ำติดอยู่บนนั้น
ที่นี่คล้ายหมู่บ้านเสียที่ไหน เป็นอาณาจักรอิสระกลางหุบเขาชัดๆ
ฟู่ถิงจวินหันไปมองท่านเก้าอย่างตื่นตะลึง
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ สีหน้าขรึมลง “ดูท่าทางหุบเขาสกุลหลี่มีน้ำมีธัญพืช”
หาไม่แล้วคงไม่ปิดทางเข้าออกหมู่บ้านเพื่อป้องกันตนเอง
ดีที่พวกเขาแค่จะเดินทางผ่านด้านหน้าหมู่บ้านไปเท่านั้น
ฟู่ถิงจวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
พอคนที่อยู่แถวๆ รั้วไม้แลเห็นพวกเขา ต่างกรูกันมาตรงข้างหน้ารั้วพร้อมดาบใหญ่ในมือ จับจ้องพวกเขาตาเขม็ง
ใบหน้าท่านเก้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ขณะเข็นรถพาฟู่ถิงจวินเดินไปไกลมากแล้ว แต่นางยังรับรู้ได้ถึงสายตาดุจคมดาบซึ่งเพ่งมองตามหลังมาของคนพวกนั้น
เบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มสองคนเดินสวนผ่านมา
พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมแบบเรียบง่าย คนหนึ่งเป็นสีฟ้าหม่น คนหนึ่งเป็นสีม่วงดอกบัว สองมือว่างเปล่า สีหน้าซีดขาว ท่าทางลุกลี้ลุกลน ไม่เหมือนคนที่หนีภัยมา
ท่านเก้าอดหันไปพินิจดูมิได้
เห็นเด็กหนุ่มสองคนนั้นสาวเท้าฉับๆ ตรงไปที่รั้วไม้ด้านหน้าหมู่บ้านหุบเขาสกุลหลี่ กล่าวเสียงดัง “พวกเราเป็นคนของเรือนท่านย่าสิบเอ็ดที่เฟิงหยวน ตอนนี้ที่นั่นถูกคนเร่ร่อนบุกเข้าปล้นสะดมเข่นฆ่า เหลือเพียงพวกข้าสิบกว่าคนที่หนีรอดมาได้ ได้โปรดช่วยเรียนท่านประมุขสกุลหลี่ด้วยว่าท่านย่าของพวกข้าแก่ชรามากแล้ว ท่านแม่กับพวกสตรีในเรือนกำลังพยุงท่านตามมาด้านหลัง ขอให้ท่านประมุขส่งคนไปรับด้วย…”
ในหัวของฟู่ถิงจวินอึงอลว่างเปล่า
เฟิงหยวนถูกคนเร่ร่อนบุกเข้าปล้นสะดมเข่นฆ่า!
นางกระโดดลงจากรถเข็น วิ่งลิ่วๆ ไปหาเด็กหนุ่มสองคนนั้น กลับมีคนชิงไปถึงตรงหน้าพวกเขาก่อนหน้านาง
“คุณชายทั้งสอง!” ท่านเก้าทำหน้าเสียเล็กน้อย “ข้าเป็นญาติของสกุลเซี่ยในเฟิงหยวน บ้านเกิดข้ามีภัยแล้ง ตั้งใจจะไปพึ่งพาอาศัย…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ เด็กหนุ่มในเสื้อคลุมยาวสีฟ้าหม่นอุทานขึ้น “อะไรนะ! ท่านเป็นญาติกับท่านซิ่วไฉสกุลเซี่ยเองรึ…สกุลเซี่ยถูกคนเร่ร่อนฆ่าล้างเรือนจนไม่หลงเหลือแล้ว”
ปีนี้เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ อำเภอโดยรอบเมืองซีอานทั้งหลินถง เว่ยหนาน หลันเถียน ฮู่เซี่ยน เสียนหยาง จิงหยาง และเกาหลิงล้วนประสบทุพภิกขภัยรุนแรงมากน้อยไม่เท่ากันอย่างถ้วนหน้า แต่เมื่อเทียบกับอำเภอที่ขึ้นอยู่กับเมืองชิ่งอันกับก่งชางแล้ว ยังนับว่าสถานการณ์ดีกว่าบ้าง อีกทั้งหลินถงมีบ่อเกลือ ส่วนเว่ยหนานเป็นทางผ่านสู่เมืองหลวงเพียงสายเดียวจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ฉะนั้นสองอำเภอนี้มีการทำการค้าสืบทอดต่อๆ กันมา มาตรว่าปีนี้จะมีภัยพิบัติ แต่สำหรับตระกูลใหญ่ๆ ในสองอำเภอนี้ ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายดุจเดิม
ยามนั้นตระกูลที่ซื่อสัตย์สุจริตจะยึดถือคติที่ว่า ’ทำไร่ไถนา เล่าเรียนศึกษา เป็นมรดกตกทอดชั่วลูกชั่วหลาน‘ ไม่เว้นแม้แต่ท่านน้าของฟู่ถิงจวิน เมื่อเขาค้าขายมีกำไรก็คิดหาหนทางซื้อที่นาปลูกเรือน ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนาน ยังเป็นเจ้าของที่นามากที่สุดของเฟิงหยวนอีกด้วย
เห็นชาวบ้านหนีภัยมาไม่ขาดสาย ท่านน้าของฟู่ถิงจวินกับตระกูลเศรษฐีหลายๆ เรือนจุนเจืออาหารและเงินทองให้ทางที่ว่าการ ยังตั้งเพิงข้าวต้ม จัดที่พักพิงให้แก่ผู้ประสบภัยในเฟิงหยวนซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน
แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะกตัญญูรู้คุณ
โดยเฉพาะคนที่หิวโหยมาเนิ่นนานจนสองตามองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากอาหารที่ทำให้รอดชีวิตต่อไปได้
การให้ความเมตตาเช่นนี้กลับกลายเป็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่จ่อลำคอทุกคนในสกุลเซี่ย คนเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งฉวยจังหวะในยามวิกาลบุกเข้าไปในเรือนสกุลเซี่ย เห็นคนก็สังหาร เห็นของก็แย่งชิง สุดท้ายยังวางเพลิงเผาเรือน…เปลวไฟโหมแรงสาดแสงสีแดงอาบย้อมไปครึ่งแผ่นฟ้า!
ดวงตาของฟู่ถิงจวินแดงเรื่อ ฝ่ามือเนียนนุ่มกำแน่นเป็นหมัดทั้งสองข้าง นางถลึงตามองเด็กหนุ่มคนนั้นพลางถามซักไซ้ “เช่นนั้นท่านน้าข้า…”
นางยังพูดไม่จบก็ถูกท่านเก้าดึงตัวไปอยู่ด้านหลังเขา “คุณชายท่านนี้ แล้วนายท่านเซี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
พระเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเมื่อสองราตรีก่อนคลับคล้ายยังประทับอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างชัดเจน คนหนึ่งมีน้ำตารื้นขึ้นขณะนิ่งฟังอยู่ด้านข้าง อีกคนหนึ่งเล่าต้นสายปลายเหตุด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทว่าพวกเขาต่างมิได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของฟู่ถิงจวิน
“คฤหาสน์สกุลเซี่ยถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน” เด็กหนุ่มมีน้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขายกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าราวกับทนคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นอีกไม่ไหว “สกุลเซี่ยอาศัยอยู่ในเฟิงหยวนมาหลายชั่วอายุคน นับแต่รุ่นนายท่านผู้เฒ่าเป็นต้นมาก็สร้างสะพานซ่อมถนน ทำคุณประโยชน์ต่อบ้านเกิด ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องพบกับจุดจบเยี่ยงนี้…”
ทั้งด้านในด้านนอกของรั้วไม้ตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงร่ำไห้ของฟู่ถิงจวินดังขึ้นเรื่อยๆ
อาเซินทำตาแดงๆ วิ่งเข้าไปดึงแขนเสื้อนาง “แม่นางๆ อย่าร้องไห้เลย…” เขาอยากจะปลอบใจนางสักสองสามคำ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองไปทางท่านเก้าตาปริบๆ
สีหน้าของท่านเก้าบูดบึ้งยิ่งขึ้นทุกที เขายืนยกมือเท้าเอวอยู่ที่เดิม ท่าทางคล้ายมีไฟโทสะสุมแน่นอก แต่ข่มใจไว้ไม่แสดงออกมา
อาเซินยิ่งไม่รู้ว่าควรทำประการใดดี
ด้านในของรั้วไม้มีเสียงดังขึ้นระลอกหนึ่ง บุรุษร่างสันทัดวัยราวสามสิบปลายผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมสีน้ำเงินสดแบบเรียบง่าย สาวเท้าเดินมาโดยมีชายหนุ่มเจ็ดแปดคนล้อมหน้าล้อมหลัง
“เกิดเรื่องใดขึ้น!” เขาตวาดขึ้น สุ้มเสียงเข้มงวดหนักแน่นทรงพลังระคนความน่ายำเกรง
คนที่เฝ้ายามอยู่หน้ารั้วไม้พากันค้อมกายคำนับ ส่งเสียงเรียกอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านเจ็ด” จากนั้นถอยไปด้านข้างเปิดทางให้
เด็กหนุ่มสองคนตะโกนเรียกจากอีกฟากหนึ่งของรั้วไม้ “ท่านตาเจ็ด”
บุรุษผู้ถูกเรียกขานว่า “ท่านเจ็ด” เดินมาตรงหน้ารั้วแล้วเพ่งสายตามองไป สีหน้าเผยรอยยินดีออกมาทันใด “อาเป่า อาชื่อ พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน” ต่อจากนั้นเขาฉุกคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าขรึมลง “พี่สิบเอ็ดเล่า? ในเรือนยังมีใครหนีออกมาได้บ้าง” สายตาเขาเลื่อนไปที่ฟู่ถิงจวินซึ่งร้องไห้อยู่ด้านข้าง บุ้ยใบ้บอกให้คนเฝ้ายามพวกนั้นเปิดรั้วไม้ออก
เด็กหนุ่มทั้งสองค้อมกายคำนับท่านเจ็ดอยู่นอกรั้ว หนึ่งในนั้นพูดเล่าเหตุการณ์ในเรือน “…คนเร่ร่อนพวกนี้ดุร้ายโหดเหี้ยม กระทั่งสกุลเซี่ยยังพลอยประสบเคราะห์ภัยไปด้วยอย่างคาดไม่ถึง ท่านย่ากลัวว่าคนเร่ร่อนพวกนั้นจะบุกเข้ามาในเรือน นำพาพวกข้ามาพึ่งพาอาศัยท่านตาเจ็ดในราตรีนั้นเลย…”
ขณะที่สนทนากันอยู่ ชายฉกรรจ์สองคนช่วยกันออกแรงผลักรั้วไม้เปิดออกแล้ว
ท่านเจ็ดย่างเท้าออกมา พลางพูดสั่งตาเฒ่าไว้เคราแพะยาวคนหนึ่งด้านข้างให้จัดเตรียมรถม้าไปรับคน
เขาตบบ่าเด็กหนุ่มทั้งสองเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ “ไม่พบหน้ากันหลายปี อาเป่ากับอาชื่อล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แบ่งเบาภาระให้ตระกูลได้แล้ว”
เด็กหนุ่มทั้งสองค้อมกายคำนับอย่างเก้อเขิน คนที่สวมชุดสีฟ้าหม่นกล่าวขึ้น “ข้าจะไปพร้อมกับผู้ดูแลเฉิงนะขอรับ จะได้ช่วยนำทาง”
ท่านเจ็ดพยักหน้ายิ้มๆ ดวงตาฉายแววพึงพอใจชัดเจนยิ่งขึ้น
คนที่สวมชุดสีม่วงดอกบัวเห็นเช่นนั้นแล้วพูดตาม “ข้าจะไปด้วยขอรับ”
“ก็ดี!” ท่านเจ็ดหยักยิ้ม สายตาหยุดอยู่ที่พวกฟู่ถิงจวินอีกครา เขาเอ่ยอย่างลังเล “พวกท่านคือ…”
คนที่สวมชุดสีฟ้าหม่นรีบบอก “เพิ่งพบกันเมื่อครู่นี้ขอรับ บอกว่าเป็นญาติของนายท่านเซี่ย ที่บ้านเกิดของพวกเขามีภัยแล้ง จึงตั้งใจจะมาพึ่งพาอาศัย”
ท่านเจ็ดมองสำรวจคนทั้งสามด้วยสีหน้านิ่งสนิท กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมหนักแน่น “ข้ากับนายท่านเซี่ยเป็นคนถิ่นเดียวกัน ทั้งทำการค้าด้วยกันบ้าง ไม่ทราบว่าพวกท่านมาจากที่ใด”
สกุลฟู่แห่งหวาอินพอจะมีชื่อเสียงบ้างในแถบใกล้ๆ นี้ไปจนถึงส่านซี มิไยว่าถ้อยคำของท่านเจ็ดเป็นจริงหรือเท็จ ก็จะบอกว่ามาจากหวาอินไม่ได้แน่นอน หาไม่แล้วเขาแค่สืบถามดูเล็กน้อยก็จะความแตก แต่สกุลเซี่ยมีญาติพี่น้องเป็นใครบ้าง ท่านเก้าจะล่วงรู้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มมองฟู่ถิงจวินแวบหนึ่ง
นางกำลังขบสันกรามแน่นด้วยความชิงชังและเจ็บปวดใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางยืนพิงกับรถเข็นไม้ น้ำตาไหลพรากลงมาดุจสายฝน กระนั้นจะเศร้าเสียใจสักปานใด ความว่างเปล่าในมุมหนึ่งของจิตใจก็ไม่อาจถมให้เต็มได้
ท่านน้าจากโลกนี้ไปแล้ว ซ้ำยังถูกพวกคนเร่ร่อนซึ่งได้รับความเมตตาจากท่านเผาตาย ไม่เหลือแม้แต่ศพ…
ยังมีท่านน้าสะใภ้ ทุกคราที่นางมาที่เฟิงหยวน ท่านจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างปีติยินดี ร้องสั่งคนครัวให้ทำโน่นทำนี่ไม่หยุด ราวกับว่านางไม่ได้กินอะไรมาตลอดทาง
พี่สะใภ้ใหญ่ผู้อ่อนโยนเป็นศรีภรรยา อบรมเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองได้ดีมาก สามขวบเริ่มเล่าเรียน พอห้าขวบก็ท่อง ’ตำราดรุณ*’ ได้คล่องปากแล้ว ทุกคราที่ท่านน้าเอ่ยถึงล้วนมีสีหน้าภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม บอกว่าสกุลเซี่ยฝากความหวังไว้ที่หลานชายสองคนนี้ ให้สอบขุนนางผ่านเป็นซิวไฉ่และก้าวไปถึงจิ้นซื่อ สร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล
พี่สะใภ้รองร่าเริงสดใส ถูกชะตากับนางมากที่สุด ไม่ว่าจะเก็บข้าวสาลีมาเคี่ยวเป็นน้ำตาลแท่งหรือว่าเก็บลูกท้อมาอบแห้ง แต่ไรมาไม่เคยลืมส่งมาให้นางลองลิ้มชิมรส น่าเสียดายว่าแต่งเข้าสกุลเซี่ยสามปีแล้วไม่มีลูกมาโดยตลอด ท่านน้าสะใภ้ยังตั้งใจไปไหว้พระถึงที่เขาหฺวาซาน จนเพิ่งได้รับข่าวดีเมื่อพักก่อน…
ทว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพลิงไหม้คราเดียวทุกอย่างล้วนสูญสิ้นไปหมด
เพื่อธัญพืช เพื่อให้ตนเองอยู่รอดต่อไป ก็ไปพร่าผลาญชีวิตผู้อื่น…เหตุอันใดคนเหล่านี้เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ไม่รู้จักละอายแก่ใจถึงเพียงนี้
ฟู่ถิงจวินยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจนแขนเสื้อร่นลง เผยให้เห็นหลังมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกงาม
ท่านเก้าลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะค้อมกายคารวะท่านเจ็ด “พวกเรามาจากผิงเหลียง นี่คือคุณหนูของข้า พอบ้านเกิดประสบภัยแล้ง พวกเราคิดจะมาพึ่งพาอาศัยนายท่านเซี่ย ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางพบกับโจรปล้นชิง มีแต่ข้าคุ้มครองคุณหนูหนีมาได้ ส่วนนายท่านเซี่ยกับนายท่านของพวกข้าเป็นญาติกันทางสายใดนั้น ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ก่อนเคยได้ยินนายหญิงของข้าบอกว่าเมื่อครั้งที่นายท่านเซี่ยทำการค้า นายท่านของข้าเคยให้หยิบยืมเงินทองก้อนหนึ่งไปหมุนเวียน แม้ภายหลังจะชดใช้คืนแล้ว แต่ถ้าไม่มีเงินก้อนนั้น การค้าของนายท่านเซี่ยคงไม่ใหญ่โตเช่นทุกวันนี้ได้!”
เรื่องแบบนี้พบได้เสมอสำหรับผู้ทำการค้า ยิ่งกว่านั้นเมื่อแรกที่นายท่านเซี่ยเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว พี่เขยของเขายังไม่ได้เป็นจิ้นซื่อ แม้สกุลฟู่จะมีชื่อเสียง แต่ตระกูลใหญ่พรรค์นั้นยึดถือธรรมเนียมเป็นที่สุด คงไม่เอาเงินกองกลางมาช่วยเหลือญาติพี่น้องของลูกสะใภ้คนหนึ่งเป็นอันขาด ท่านเจ็ดลอบครุ่นคิดในใจอยู่เช่นนี้จึงเชื่อถือคำพูดของท่านเก้าอยู่หลายส่วน ครั้นมองดูฟู่ถิงจวินอีกที เห็นนางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ ในวันที่อากาศร้อนอย่างนี้ ยังนับว่าแต่งกายได้มิดชิดเรียบร้อยดี หลังมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมานวลเนียนผุดผ่อง มิใช่มือของผู้ที่ทำงานหนัก ก็ยิ่งเชื่อถือมากขึ้นอีก
เขากล่าวปลอบใจฟู่ถิงจวิน “แม่นางหักห้ามใจบ้าง!”
นางฝืนสะกดความทุกข์ใจไว้ ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม
ยามยืดตัวตรง นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นใบหน้าขาวกระจ่างและดวงตาที่ร้องไห้จนบวมช้ำ ดูงามสง่าแฝงความอ่อนหวานบอบบางชวนให้สงสารเอ็นดูละม้ายดอกเหมยที่ร่วงหล่นบนผืนหิมะ
ท่านเจ็ดใจกระตุกวูบหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ถึงกับโฉมงามขนาดนี้ น่าเสียดายที่เผชิญกับช่วงเวลาที่บ้านเมืองวุ่นวาย ต้องเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง หากไปจากที่นี่ เกรงว่าคงยากจะหนีพ้นชะตากรรมของหญิงสาวอาภัพที่ต้องร่อนเร่ตกต่ำเกลือกกลั้วโคลนตม!
พอคิดถึงตรงนี้ ท่านเจ็ดพลันบังเกิดความเสียดายดังคำกล่าวว่าวัวเคี้ยวโบตั๋น* ด้วยข้างนอกนั่นมีแต่คนชั้นต่ำที่หิวโหยจนคลุ้มคลั่ง ไหนเลยจะรู้ค่าของคุณหนูตระกูลใหญ่ชั้นนี้!
พอความเศร้าใจพลุ่งขึ้นกลางอกเขาอย่างปราศจากเหตุผล ถ้อยคำนี้ก็หลุดออกจากปาก “หากแม่นางไม่รังเกียจ มิสู้อยู่พำนักในหุบเขาสกุลหลี่เถอะ”
ทุกคนพากันนิ่งขึงไปรวมถึงตัวท่านเจ็ดเอง
ไฉนถึงเอ่ยวาจาอย่างขาดความยั้งคิดเช่นนี้
เขาลอบนึกเสียใจทีหลัง
เขาได้รับมอบหมายจากผู้อาวุโสในตระกูลให้ดูแลสะสางเรื่องต่างๆ ที่นี่ หากเป็นยามปกติ รับคนสองสามคนไว้ไม่นับว่ามีอะไร ตอนนี้เกิดภัยแล้งรุนแรง เห็นชัดว่าปีนี้คงเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวปีหน้าจะเป็นอย่างไร ทุกเหย้าทุกเรือนในหุบเขาสกุลหลี่เอาธัญพืชที่สะสมไว้ทั้งหมดออกมารวมกัน จากนั้นให้เขาเป็นคนแบ่งปันแจกจ่ายตามจำนวนคนมากน้อยในครอบครัว พี่สิบเอ็ดเป็นสตรีในตระกูลเขา เอาเสบียงกองกลางส่วนหนึ่งออกมาเจือจานยังอาจสร้างความไม่พึงพอใจขึ้นมาได้ แม้กระนั้นเมื่อมีความผูกพันทางสายเลือดกันแล้วอย่างไรก็ชอบด้วยเหตุผล แต่สามคนนี้กับหุบเขาสกุลหลี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ถึงเวลานั้นเขาจะตอบคำถามของคนในตระกูลเช่นไรดีเล่า ทว่าเขาเอ่ยปากออกไปแล้ว หากทำไม่ได้ เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร
หรือจะเอาเสบียงอาหารในเรือนตนเองออกมาเจือจานพวกเขา?
เขากลอกสายตามองไปที่ตัวท่านเก้ากับอาเซิน
สำหรับสองคนนี้ยังพอหารือกันได้
คนหนึ่งรูปร่างผ่ายผอม แต่เรือนกายสูงใหญ่ ขอเพียงกินดื่มเต็มอิ่มจะต้องแข็งแรงมีพละกำลังดีเหมาะจะเป็นแรงงาน ส่วนอีกคนหนึ่งเยาว์วัย แต่แววตาฉลาดเฉลียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าคล่องแคล่วหัวไวพอดู มีหน่วยก้านเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวได้ เหนืออื่นใดในสถานการณ์ที่ประมุขของตระกูลล่วงลับไปแล้ว สองคนนี้ยังคุ้มครองคุณหนูมาจากผิงเหลียงซึ่งห่างจากที่นี่ไปหกเจ็ดร้อยลี้มาจนถึงเว่ยหนานได้อย่างปลอดภัย เห็นได้ว่าไม่เพียงมีความสามารถพอตัว ยังเป็นคนซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขอแค่ช่วยให้สองคนนี้ผ่านพ้นอุปสรรคตรงหน้าไป ภายภาคหน้าจะต้องเป็นบ่าวไพร่ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญได้แน่นอน
สตรีนางนี้สิที่เป็นปัญหา
ถ้ารูปโฉมสามัญกว่านี้จะเป็นเรื่องง่าย แต่หญิงงามสะคราญชั้นนี้ ถึงเขาเป็นคนใจคอกว้างขวาง นึกสงสารอยากยื่นมือช่วยเหลือ ก็ไม่อาจยับยั้งการคาดเดาส่งเดชของพวกคนสอดรู้สอดเห็นได้ น่าเสียดายที่หลานชายซึ่งอยู่ในวัยเหมาะสมล้วนหมั้นหมายไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้น หาคู่ครองสักคนให้นางออกเรือนนับเป็นการช่วยเหลือนางได้ทางหนึ่ง!
ท่านเจ็ดรู้สึกปวดเศียรปวดเกล้าเป็นกำลัง
ด้านฟู่ถิงจวินกลับมองท่านเก้าอย่างสับสน
อยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่?
นางมิได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในหุบเขาสกุลหลี่ อาศัยอะไรพำนักอยู่ที่นี่
ถึงกระนั้นนางไม่มีญาติพี่น้องให้พึ่งพาอาศัยแล้ว จะกลับหวาอินก็ไม่ได้อีก…เป็นคนไร้ชื่อไร้แซ่ ทั้งยังมีชนักปักหลัง แม้แผ่นดินกว้างใหญ่ แต่ที่แห่งใดเล่าถึงจะเป็นที่ที่นางพักพิงกายได้
เพราะมีท่านเก้าคุ้มครองมาตลอดทาง นางถึงได้ไม่อดตาย ถึงได้มาถึงเว่ยหนานโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่ปลายผม ทำให้เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือและพึ่งพิงได้มากที่สุดในใจนางไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
ในเวลานี้ นางหวังว่าเขาจะช่วยนางตัดสินใจได้!
เรียวปากบางของท่านเก้าเม้มเข้าหากันแน่น ใบหน้าเผยรอยเย็นชามึนตึงจางๆ
มารดามันเถอะ…
เขาลอบสบถในใจ
แค่ใจอ่อนชั่ววูบถึงพาสตรีผู้นี้มาพึ่งพาอาศัยญาติพี่น้อง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นแบบนี้!
ถือโอกาสทิ้งนางไว้ที่หุบเขาสกุลหลี่ไปเสียเลย?
ชั่วพริบตาหนึ่งเขามองเห็นแววขัดเคืองผุดวูบขึ้นในดวงตาท่านเจ็ดผู้นั้น
ในเมื่อหุบเขาสกุลหลี่แห่งนี้สามารถรวบรวมลูกหลานในตระกูลต้านทานคนเร่ร่อนได้ ย่อมประจักษ์ชัดว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทายาทชายมากมาย แม้ท่านเจ็ดนับเป็นคนรุ่นอาวุโส อีกทั้งเป็นที่เคารพนับถือของคนพวกนี้ แต่ดูจากอายุอานามของเขา ประกอบกับพอเขาได้ยินความเคลื่อนไหวก็ออกมาตรวจดู…คงมิใช่ประมุขตระกูลเป็นแน่
ยามนี้ธัญพืชคือชีวิต คนกินข้าวมากขึ้นหนึ่งคนก็มีภาระเพิ่มขึ้นหนึ่งคน และมีความเสี่ยงที่จะอดตายเพราะขาดเสบียงยิ่งขึ้นหนึ่งส่วน อย่าว่าแต่เขาไม่ใช่ประมุขตระกูล ต่อให้เป็นจริงๆ ก็จะผลีผลามรับคนแปลกหน้ามาปันส่วนอาหารกับคนในตระกูลไม่ได้
เห็นทีว่าการที่ท่านเจ็ดผู้นี้อยากให้ฟู่ถิงจวินอยู่ที่หุบเขาสกุลหลี่เป็นเพียงความเวทนาวูบหนึ่งที่เกิดจากอารมณ์ชั่วแล่น!
หากเป็นเช่นนั้นนางจะทำฉันใด…ออกเรือนไปกับลูกหลานสกุลหลี่คนหนึ่งคนใดไปก็ได้อย่างนั้นหรือ!
นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องที่หวาอินนั่นอีก
ถึงเวลานั้นสกุลฟู่ตั้งใจจะทำอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ถ้าเรื่องนั้นเปิดเผยออกมา คนของสกุลหลี่จะปฏิบัติต่อนางเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก
เขาหงุดหงิดเต็มที
ขณะที่หญิงสาวทำหน้าสลดลงทีละน้อยๆ
เขา…เขาไม่เต็มใจเอ่ยตอบสักนิด
พอตระหนักได้ถึงข้อนี้ น้ำตาของนางเอ่อท้นจากขอบตาไหลลงมาอย่างสุดจะห้ามอีกคราครั้งหนึ่ง
นางเป็นอะไรกับเขา
แค่คนที่ผ่านมาพบกันโดยบังเอิญ ส่วนเขาได้รับไหว้วานจากท่านแม่ให้พานางมาหาญาติที่เว่ยหนานเท่านั้น!
ตอนนี้นางไม่มีญาติให้พึ่งพาอาศัยแล้ว แต่นางจะตามติดเขาไปเรื่อยๆ เพราะว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่มีสัจจะและคอยดูแลนางเป็นอย่างดีมาตลอดทางไม่ได้กระมัง
ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องรุดไปที่เมืองซีอานก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด
ในเวลานี้ นางสมควรมอบเงินเป็นค่าตอบแทนให้เขาอย่างใจกว้าง และกล่าวอำลาเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มถึงจะถูก
แต่พอคิดถึงว่านับจากนี้นางจะเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยว คิดถึงสายตาตะลึงในความงามแกมละโมบของเจ้าคนพาลที่สวมเสื้อคลุมนักพรตสีเขียวผู้นั้น คิดถึงใบหน้าโหดเหี้ยมของคนเร่ร่อนพวกนั้นตอนปล้นชิงพวกนาง คิดถึงหญิงวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อเอี๊ยมตัวเดียวนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่คนนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัว…เงินตอบแทนก็ดี ถ้อยคำอำลาก็ดี จะอย่างไรนางทั้งหยิบออกมาไม่ได้ ทั้งเอ่ยปากไม่ออก
ฟู่ถิงจวินรับรู้ได้ว่าใบหน้ามีรอยน้ำเปียกๆ ก็นึกละอายใจอย่างสุดระงับ
นางไม่เอาไหนจริงๆ!
มันเรื่องอะไรกันถึงร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเขาตอนนี้! เขาต้องนึกว่านางแสร้งทำตัวอ่อนแอให้เขาสงสาร…
นางเบือนหน้าหนี เช็ดน้ำตาบนหน้าออกเป็นพัลวัน ทว่าน้ำตาเอาแต่ไหลออกมาไม่หยุดราวกับมีความคิดเป็นของมันเอง
บุรุษที่มีไฝตรงหว่างคิ้วผู้หนึ่งที่ยืนด้านข้างท่านเจ็ดมองฟู่ถิงจวินที่มีน้ำตานองหน้าประหนึ่งบุปผาต้องฝนแวบหนึ่ง แล้วมองท่านเจ็ดที่ทำสายตาสะทกสะท้อนใจแวบหนึ่ง สีหน้าเขาปึ่งชาเล็กน้อยขณะเอ่ยขึ้น “ท่านตาเจ็ด ในหมู่บ้านเสบียงอาหารฝืดเคือง เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องบอกกล่าวผู้อาวุโสในตระกูลสักคำก่อนจึงจะดี!” สุ้มเสียงเขาไม่หนักไม่เบาพอจะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน
คนของหุบเขาสกุลหลี่ไม่เปล่งเสียงพูด แต่ล้วนแสดงสีหน้าเป็นเชิงคล้อยตามว่าสมควรเป็นเช่นนี้
ท่านเจ็ดรู้ว่าหากขณะนี้เขาไม่อาจหาเหตุผลที่ฟังขึ้นสักข้อมาตอบคนในตระกูลได้ เห็นทีว่าจะต้องถูกตราหน้าว่าคิดหมายปองหญิงงาม เขาตรึกตรองแล้วพูดที่ข้างหูคนผู้นั้น “หลายวันก่อนผู้ประสบภัยจากอันฮว่ามาล้อมหมู่บ้านไว้ คนของหลานใหญ่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ตอนนี้ในหมู่บ้านขาดกำลังคนพอดี ในเมื่อผู้ประสบภัยกลุ่มนั้นเผาคฤหาสน์นายท่านเซี่ยที่เฟิงหยวนแล้ว ไม่แน่อาจมาที่หุบเขาสกุลหลี่ของพวกเรา สองคนนี้สามารถคุ้มครองคุณหนูของพวกเขาจากผิงเหลียงมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย คงต้องมีฝีไม้ลายมือติดตัวบ้าง หรือว่าพอพวกเขาอยู่ที่นี่กับเราแล้วจะเอาแต่กินโดยไม่ลงแรงทำงาน!”
สุ้มเสียงเขาไม่หนักไม่เบาพอจะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินเฉกเดียวกัน
คนผู้นั้นขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าแม้เขารู้สึกว่าท่านเจ็ดยกเหตุผลแบบกำปั้นทุบดิน แต่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ยามนี้ผู้คนศีลธรรมเสื่อมทราม ผู้ใดฆ่าฟันกับคนเร่ร่อนได้ ผู้นั้นคือวีรบุรุษ
คนอื่นๆ เห็นคนที่ไฝตรงหว่างคิ้วไม่พูดอะไร ก็พากันปิดปากเงียบตามไป
ฟู่ถิงจวินยิ่งเสียใจมากขึ้น
หรือว่าต้องรั้งท่านเก้าไว้ที่นี่ทำงานรับใช้คนในหุบเขาสกุลหลี่เพื่อแลกอาหารให้ตนเอง?
“ท่านเก้า!” นางฝืนเหยียดมุมปากโค้งขึ้น “ท่านส่งข้าไปที่เว่ยหนานเถอะ หาโรงเตี๊ยมสักแห่งให้ข้าพำนักแล้วค่อยหาคนส่งสารไปที่บ้านข้าอีกที ส่วนท่านมีธุระใดก็ไปสะสางก่อน สำหรับเรื่องของข้ามิใช่ว่าจะแก้ไขได้ในวันสองวัน”
ครั้นคิดถึงว่านับจากนี้นางต้องอยู่คนเดียวแล้ว นางทั้งหวาดกลัวอับจน ทั้งสับสนเสียใจ
เพราะเกี่ยวพันถึงความลับส่วนตัว หญิงสาวจึงกล่าวด้วยเสียงรัวเร็วและแผ่วเบา ท่านเจ็ดอยู่ห่างจากพวกเขา เพียงเห็นนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ท่านเก้าแล้วส่งเสียงกระซิบงึมงำ หาได้รู้ไม่ว่านางพูดอะไรบ้าง แต่ท่านเก้าซึ่งอยู่ข้างตัวนางนั้นได้ยินชัดถนัดหู
ใบหน้านิ่งขรึมของเขาแฝงรอยฝืดเฝื่อนจางๆ
ถ้านางดึงดันจะให้เขาส่งนางกลับไปยังหวาอิน หรือร้องไห้สะอึกสะอื้นขอให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะทำใจแข็งได้ ไม่แน่อาจพานางไปที่หลินถง หาสหายสักคนส่งนางกลับไปหามารดาที่หวาอินเป็นอันจบเรื่อง ส่วนว่ามารดาของนางจะให้นางอยู่ที่ใด หรือวันหน้านางจะเป็นเช่นไรนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกสืบไป
แต่นางกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งๆ ที่ดวงตาบวมช้ำฉายแววพรั่นพรึง ปากกลับฝืนกล่าววาจาไม่ตรงกับใจอย่างเห็นแก่ผู้อื่น ในความอ่อนแอแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น แล้วในความดื้อรั้นยังแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ชวนให้คนใจอ่อนยวบ
ช่างเถิด! ช่างเถิด!
ในเมื่อเขาเป็นคนพานางมา จะอย่างไรก็ไม่อาจทิ้งนางไว้ที่นี่โดยไม่ดูดำดูดีอย่างนี้
อีกทั้งเดิมทีนี่มิใช่วิสัยของลูกผู้ชาย ไม่ว่าจะฝากฝังนางกับสหาย หรือให้อยู่กับเขา ล้วนต้องหาคนส่งสารถึงมารดาของนางก่อน จากนั้นรอคนจากทางนั้นมารับนางดุจเดียวกัน
ฉะนั้น แทนที่จะรบกวนผู้อื่น มิสู้พานางติดสอยห้อยตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องติดค้างบุญคุณมิตรสหาย
สีหน้าท่านเก้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
“ท่านเจ็ด ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่าน!” เขาค้อมกายคำนับท่านเจ็ด “ในเมื่อครอบครัวนายท่านเซี่ยประสบเคราะห์ภัยไปแล้ว เช่นนั้นพวกข้าไปที่เมืองซีอานจะดีกว่า นายหญิงของพวกข้ามีญาติผู้พี่ออกเรือนไปที่นั่น เพียงแต่หลายปีนี้มิได้ไปมาหาสู่กัน แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ คงได้แต่บากหน้าไปรบกวนแล้ว!”
ฟู่ถิงจวินแลมองท่านเก้าอย่างตะลึงพรึงเพริด
เขาบอกว่าจะไปหาญาติที่เมืองซีอาน แต่นางมีญาติมิตรในเมืองซีอานที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเขาจะไปสมทบกับพรรคพวกที่นั่น และจะพานางติดตามไปด้วย
ชั่วพริบตาเดียวความปีติยินดีอาบอิ่มไปทั่วร่างหญิงสาว ตรงกลางอกคล้ายมีอะไรบางอย่างไหลระรินเข้ามา ทำให้นางมีน้ำตาเอ่อคลอวาววับ
ท่านเจ็ดประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงที่เมื่อครู่นี้ฟู่ถิงจวินกระซิบบอกบางอย่างกับท่านเก้า นึกว่านางเป็นผู้ออกความคิดนี้ก็มิได้สงสัยอันใด การที่พวกเขาขอยอมมาพึ่งพาอาศัยนายท่านเซี่ยดีกว่าญาติผู้พี่ของมารดาที่มิได้พบหน้าค่าตานานหลายปีผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลหาได้สนิทชิดเชื้อไม่ แต่ในเมื่อฟู่ถิงจวินตัดสินใจแน่แล้ว เขาก็ไม่ฝืนใจเหนี่ยวรั้งไว้
เขาตั้งท่าจะกล่าวถ้อยคำตามมารยาทสักสองสามคำ ท่านเก้ากลับเอ่ยขึ้น “ความมีน้ำใจของท่านเจ็ด คุณหนูของพวกข้าจะจดจำไว้ในใจไม่ลืมเลือน แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยากขอให้ท่านเจ็ดเห็นแก่นายท่านเซี่ยที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทั้งยังเคยทำการค้าด้วยกันมาก่อน โปรดให้ความช่วยเหลือด้วย”
ในใจท่านเจ็ดถือท่านเก้าเป็นผู้กล้าที่ซื่อสัตย์ทรงคุณธรรมไปแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจาได้เหมาะสมเข้าที ก็บังเกิดความนับถือขึ้นมาหลายส่วน
เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่ามาได้เลย!”
ท่านเก้ากล่าว “ก่อนหน้านี้พวกข้านึกว่าขอเพียงมาถึงเว่ยหนานก็จะมีที่พึ่งพาอาศัย จึงตระเตรียมน้ำและเสบียงอาหารมาแค่สิบกว่าวัน ตอนนี้กำลังจะไปเมืองซีอาน…” เขาหยุดเว้นจังหวะก่อนเอ่ยต่อ “ขอให้ท่านเจ็ดโปรดช่วยบรรเทาความเดือดร้อนคับขันของคุณหนูด้วยขอรับ” เขากล่าวพลางล้วงปลาเหลืองเล็กสามแท่งออกมาจากแขนเสื้อ “พวกข้าต้องการหมั่นโถวห้าสิบลูก ถุงหนังใส่น้ำสิบถุง ฉะนั้นรบกวนท่านช่วยถามไถ่ดูว่าเรือนใดพอมีเสบียงอาหารกับน้ำเหลือบ้าง”
ทองแท่งมีคำเรียกติดบ้านชาวบ้านว่า ’ปลาเหลืองใหญ่‘ กับ ’ปลาเหลืองเล็ก‘ ปกติปลาเหลืองใหญ่หนึ่งแท่งเท่ากับสิบตำลึงทอง ส่วนปลาเหลืองเล็กหนึ่งแท่งเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง ดังนั้นปลาเหลืองสามแท่งก็คือสามตำลึงทอง ขณะที่หนึ่งตำลึงทองแลกได้สิบตำลึงเงิน และหนึ่งตำลึงเงินแลกได้หนึ่งพันอีแปะ ในยามบ้านเมืองสงบรุ่งเรือง สองอีแปะก็แลกหมั่นโถวได้หนึ่งลูกแล้ว…ทว่าตอนนี้ในเมืองเว่ยหนาน ต้องห้าร้อยอีแปะถึงจะซื้อหมั่นโถวได้หนึ่งลูก
ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง
นี่มิใช่เงินของนาง…แล้วเขามีสิ่งนี้ติดตัวได้อย่างไร
คนที่อยู่ข้างกายท่านเจ็ดเห็นแล้วตาเป็นประกายกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย
ท่านเจ็ดลอบชมท่านเก้าที่ไหวพริบดีมีชั้นเชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถตอบคำถามคนในตระกูลได้
เขากล่าวอย่างใจกว้าง “ข้าขอไปถามไถ่คนในหมู่บ้านว่าพอมีเสบียงอาหารเหลือบ้างหรือไม่” แต่มิได้รับปลาเหลืองเล็กนั่นไว้
ท่านเก้าเพียงแสดงท่าทีให้ชัดเจนเท่านั้น เพื่อว่าคนในหุบเขาสกุลหลี่จะได้ไม่เห็นพวกเขาเป็นผู้ประสบภัยที่สิ้นไร้ไม้ตอก เพราะถ้ารวบรวมเสบียงอาหารไม่ได้ พวกเขาคงต้องอดตายระหว่างทางไปเมืองซีอาน
เขากล่าวขอบคุณท่านเจ็ดอย่างขึงขังจริงจังอีกคำรบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากขอพักแรมที่นี่สองวันแล้วจะออกเดินทางต่อ
ท่านเจ็ดให้คนพาพวกเขาไปยังห้องพักที่อยู่ไกลออกไปตรงด้านข้างศาลบรรพชนในหมู่บ้าน ส่วนตนเองเข้าไปในเรือนเล็กคั่นสามซึ่งอยู่ห่างไประยะหนึ่งลูกธนู* พร้อมกับท่านย่าสิบเอ็ดของสกุลหลี่ผู้นั้นที่ตามมาถึงในทีหลัง
ฟู่ถิงจวินกับอาเซินมองเห็นห้องที่แม้จะเก่าทรุดโทรมไปบ้างแต่ปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน มีของใช้จำเป็นพร้อมสรรพแล้ว รู้สึกราวกับก้าวเดียวถึงสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน ต่างเผยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบานออกมา
ท่านเก้าหยักยิ้ม บอกให้อาเซินจัดของบนรถเข็นไม้ และกำชับให้ฟู่ถิงจวินพักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะออกนอกประตูไปโดยไม่บอกกล่าวอะไร
ภายในห้องเงียบเชียบ มีแต่เสียงอาเซินจัดของบนรถเข็นไม้
ฟู่ถิงจวินคิดถึงน้าชายกับน้าสะใภ้ที่ตายไป รอยยิ้มจางหายไปทีละน้อย และแล้วนางก็ปิดปากสะอื้นไห้เบาๆ
มีเสียงสตรีตะโกนถามมาจากนอกห้อง “ญาติของนายท่านเซี่ยอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว!” ฟู่ถิงจวินรีบเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มแล้วเดินออกไป นางเห็นหญิงซึ่งออกเรือนแล้วท่าทางซื่อๆ สองคนยืนหาบถังน้ำอยู่หน้าประตู
ท่านเก้าซื้อน้ำมาแล้ว!
หญิงสาวรีบเปิดประตูให้พวกนางเข้ามา “ลำบากอาซ้อทั้งสองแล้ว!”
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก!” พวกนางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง พร้อมกับหาบถังน้ำตรงเข้าไปห้อง “สามีนางเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูล ส่วนสามีข้าเป็นคนที่หก หากแม่นางยังต้องการน้ำอีก ให้คนไปบอกพวกเราให้หาบมาอีกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” สตรีทั้งสองพูดพลางลอบพิศดูฟู่ถิงจวิน ดูท่าทางคล้ายสนอกสนใจนางมาก
อาเซินได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามา พอเห็นน้ำสี่ถังเต็มๆ เขาถลาเข้าไปกอดถังน้ำด้วยความดีใจ “น้ำเยอะแยะขนาดนี้ พวกเราจะดื่มหมดได้อย่างไร” สีหน้าเด็กน้อยเปี่ยมสุขเหลือหลาย
สะใภ้หลี่ทั้งสองแสดงสีหน้าแปลกใจก่อน ต่อจากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมา “พี่ชายน้อยท่านนี้ นี่มิใช่ให้พวกท่านดื่ม แต่เป็นน้ำที่ผู้ติดตามของพวกท่านซื้อมาให้คุณหนูใช้อาบน้ำ”
ฟู่ถิงจวินกับอาเซินตะลึงค้างไปชั่วขณะ อาเซินเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “นะ…นะ…นี่เป็นเงินเท่าไหร่”
สะใภ้หลี่หน้าแดงเรื่อๆ ขณะกล่าว “ปลาเหลืองน้อยแท่งหนึ่งสำหรับหนึ่งถัง!”
ฟู่ถิงจวินเข่าอ่อนล้มลงนั่งบนเตียงเตา