ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่แปด
ปลาเหลืองน้อยแท่งหนึ่งสำหรับน้ำชำระกายหนึ่งถัง
ถ้ามิได้ประสบผ่านเรื่องต่างๆ มาตลอดทางครานี้ บางทีฟู่ถิงจวินอาจรู้สึกว่ามันเป็นความสุนทรีย์ของชีวิตอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง นางจะต้องแช่น้ำอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ ผลัดใส่อาภรณ์สะอาดๆ สบายตัวแล้วค่อยนอนหลับให้เต็มตาสักตื่น…แต่บัดนี้เมื่อนางรู้แล้วว่าน้ำช่วยชีวิตคนได้ ก็สุดปัญญาจะเพิกเฉยไม่สนใจ ใช้มันอาบน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกสืบไป
อาเซินประสบผ่านเรื่องต่างๆ มามากกว่าฟู่ถิงจวินนัก
เขานั่งอยู่ข้างถังไม้ แลมองนางอย่างงงงันพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงละล้าละลัง “จะใช้มันอาบน้ำจริงๆ หรือขอรับ”
แน่นอนว่าใช้มันอาบน้ำไม่ได้!
ฟู่ถิงจวินนิ่งคิดแล้วกล่าว “หรือไม่พวกเรากรอกน้ำเก็บใส่ถุงหนังเอาไว้ใช้ดื่มระหว่างทาง?”
“ดีสิ!” อาเซินได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดตัวลอยด้วยความชอบใจ “แต่จะกรอกน้ำดิบใส่ถุงหนังเลยไม่ได้ ต้องต้มให้สุกก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราเดินทางนานหลายวันขนาดนั้น น้ำนิ่งไม่ไหลเวียนจะเน่าเสีย ดื่มแล้วทำให้ไม่สบาย”
ฟู่ถิงจวินรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกัน แต่มิได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น
นางหน้าแดงเรื่อๆ
มิน่าท่านย่ามักพูดเสมอว่า ’การเข้าใจชีวิตเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง การรู้ซึ้งถึงใจคนนั้นแลคือปัญญา‘ เห็นได้ว่าเรื่องที่นางต้องใฝ่ใจเรียนรู้ยังมีอีกมากนัก!
ทั้งคู่เดินวนไปทั่วเรือนพำนักรอบหนึ่ง พบห้องครัวอยู่ติดกับด้านหลังของห้องพัก มีฟางกับเศษท่อนไม้อยู่ข้างเตาไฟนิดหน่อย
อาเซินสอนวิธีใช้ฟางมัดท่อนไม้ทำเป็นฟืน จากนั้นใช้ที่คีบคีบเรียงกันแล้วก่อไฟให้ฟู่ถิงจวิน
นางยิ้มไม่หยุด “เจ้าคงมิได้นึกว่าข้าทำไม่เป็นแม้แต่หุงหาอาหารกระมัง”
เขาทำหน้าดูถูก “เช่นนั้นท่านมัดฟืนสักท่อนให้ข้าดูสิขอรับ”
ฟู่ถิงจวินไม่เคยทำเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ เสียด้วย
ตอนนางหัดทำครัวย่อมต้องมีบ่าวไพร่กับหญิงรับใช้จุดเตาล้างผัก นางเพียงรับหน้าที่ปรุงอาหารเท่านั้น
อาเซินสอนนางอย่างดูแคลนเอาการ “ฟางใช้เป็นเชื้อไฟให้ท่อนไม้ มัดเยอะไปก็สิ้นเปลือง มัดน้อยไปไฟก็ไม่ติดท่อนไม้…มีใครที่ไหนกันทำอาหารทีต้องมีคนหนึ่งเติมฟืนใต้เตา อีกคนหนึ่งผัดกับข้าวบนเตา ใครๆ ก็โยนฟืนใส่เตาแล้วตั้งกระทะ พอกะเวลาว่าไฟในเตาใกล้มอด ก็วางมือจากกระทะแล้วค่อยเติมฟืน…”
“…แรกๆ ที่ไฟในเตาเริ่มติดจะอ่อนเบา จากนั้นจะแรงมากในช่วงกลางๆ แล้วเบาลงตอนท้าย…ตอนฟืนท่อนแรก กระทะยังเย็นอยู่ พอไฟแรงขึ้น ฟืนท่อนที่สองก็เริ่มติดไฟ รอเมื่อกระทะร้อนแล้ว ถึงฟืนท่อนที่สองยังเป็นไฟเบาอยู่แต่กระทะจะร้อนมากกว่าตอนไฟแรงของฟืนท่อนแรก ที่นี้พอไฟแรงไปอาหารจะไหม้ ไฟอ่อนไปอาหารไม่สุก…ถ้าเป็นผัดผักยังพอทำเนา จะอย่างไรยังพอฝืนทนกินได้ แต่ถ้าเป็นหุงข้าว ข้าวก้นหม้อไหม้แล้วแต่ข้าวด้านบนยังไม่สุก ข้าวดิบๆ สุกๆ กินแล้วจะท้องเสียเอาได้”
ฟู่ถิงจวินฟังแล้วเวียนหัวไปหมด “ข้าแค่จะต้มน้ำ ไฟแรงไฟเบาไม่สำคัญกระมัง”
อาเซินถลึงตาใส่นาง “ท่านรู้หรือไม่ว่าฟางกับท่อนไม้ในเรือนนี้ทำเป็นฟืนได้กี่ท่อน แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าต้มน้ำหม้อหนึ่งต้องใช้ฟืนกี่ท่อน ขืนโยนเข้าไปในเตาตามชอบใจ พวกเรายังต้มน้ำไม่เสร็จ ฟืนก็หมดเสียแล้ว…ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไร”
นางเห็นว่าอาเซินพูดสาธยายเสียเกินจริงเพื่ออวดว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องจุดเตามาก จึงเอ่ยยิ้มๆ “ต้มน้ำหนึ่งหม้อก็มากพอจะให้พวกเรากรอกน้ำใส่ถุงหนังจนเต็มแล้วกระมัง”
อาเซินแค่นเสียงพูด “ถึงอย่างไรก็สิ้นเปลืองมิได้ขอรับ”
ฟู่ถิงจวินเม้มปากยิ้ม “ได้ ข้าเชื่อฟังอาเซิน!”
อาเซินกระตุกยิ้มตรงมุมปากอย่างภาคภูมิใจไม่น้อย
ฟู่ถิงจวินต้องกลั้นหัวเราะไว้แทบแย่
ทั้งคู่นั่งมัดฟืนอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่สานตรงหน้าเตา
ฟู่ถิงจวินเอ่ยถามเขา “ทำไมท่านเก้าถึงมีปลาเหลืองน้อยเยอะแยะอย่างนั้น”
อาเซินไม่ชอบใจเลยที่นางคลางแคลงใจในตัวท่านเก้า “สะสมเอาน่ะสิขอรับ!”
สะสม? ถ้าใครๆ ล้วนสะสมปลาเหลืองน้อยหลายแท่งได้อย่างง่ายดาย ผู้ใดยังจะเช่าที่นาคนอื่นปลูกข้าวอีกเล่า
“สะสมอย่างไร” ฟู่ถิงจวินถามเขายิ้มๆ “บอกให้ข้ารู้ที ข้าจะสะสมบ้าง!”
อาเซินมองนางแวบหนึ่ง “เหรียญอีแปะแลกเป็นตำลึงเงิน ตำลึงเงินแลกเป็นตำลึงทอง เก็บหอมรอมริบไปเรื่อยๆ!” เขากล่าวต่ออย่างหงุดหงิด “พวกเรารีบมัดฟืนเร็วเข้าเถอะ อีกประเดี๋ยวยังต้องหุงข้าวนะขอรับ”
เด็กคนนี้ปิดปากได้สนิทดีแท้!
ฟู่ถิงจวินทั้งผิดหวังทั้งอิ่มเอมใจ
มีคนเดินเข้ามา “นี่ทำอะไรกันอยู่”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น มองเห็นท่านเก้ายืนหิ้วถุงผ้าใบหนึ่งอยู่หน้าประตูห้องครัว
อาเซินวิ่งเข้าไปหา พูดเหมือนทวงความชอบ “น้ำที่ท่านเก้าใช้ปลาเหลืองน้อยซื้อมา พวกเราหักใจใช้ไม่ได้ เลยคิดจะต้มให้สุกแล้วกรอกใส่ถุงหนังเอาไว้ดื่มระหว่างทาง” เขากล่าวพลางรับถุงผ้ามาจากมือท่านเก้า “ท่านเก้า นี่คืออะไรขอรับ”
ท่านเก้ามิได้สนใจอาเซิน หากแต่จ้องมองฟู่ถิงจวินซึ่งยืนอยู่หน้าเตา ในห้องครัวที่มีเพียงแสงสลัวๆ สายตาของเขาฉายแววลึกล้ำยากหยั่งถึงอยู่บ้าง
ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ฟู่ถิงจวินหวนประหวัดถึงตอนทั้งคู่อยู่ในเรือนครัวของอารามปี้อวิ๋น…รอบด้านไร้ผู้คน แสงไฟสลัวราง…แววตาของเขาลึกล้ำนิ่งสนิทเช่นเดียวกับเวลานี้
นางรู้สึกกระวนกระวายใจ
เขาคือท่านเก้า…ไม่ใช่บ่าวในตระกูลของนางจริงๆ
ตอนที่พูดว่าจะพานางไปหาญาติที่ซีอานต่อหน้าคนของหุบเขาสกุลหลี่ เขามีสีหน้าบูดบึ้งอย่างนั้น
เมื่อครู่นางมัวแต่ดีใจ จึงมิได้ขบคิดอย่างละเอียด ยามนี้พอนึกย้อนกลับไป เขาต้องไม่มีทางเลือกเป็นแน่
ขณะนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนใจไหม จะบันดาลโทสะไหม จะนึกว่านางตามติดเขาจนสลัดไม่หลุดเหมือนขนมตังเมหรือไม่
ท่ามกลางความเงียบงัน ฟู่ถิงจวินหลุบเปลือกตาลง
นางได้ยินเสียงตะโกนของอาเซินดังขึ้น “แป้งหมี่ ไข่ไก่ เต้าหู้ ฟัก…ท่านเก้า ท่านไปเอาของพวกนี้มาจากไหน” มีเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ดังจนนางได้ยิน
ฟู่ถิงจวินรีบเงยหน้ามองไป
จริงๆ ด้วย!
ถุงผ้าเปิดอ้าออก อาเซินเอาไข่ไก่หลายใบวางไว้บนเตาอย่างระมัดระวัง
น้ำสี่ถังก็ใช้ปลาเหลืองเล็กไปสี่แท่ง…
นางหลุดปากเอ่ยขึ้น “นี่ต้องใช้เงินไปเท่าไหร่กัน”
ผิวแก้มนางร้อนซู่ทันที
ในกาลก่อนยามเอ่ยถึงเงินทองล้วนต้องเลี่ยงไปใช้คำว่า ’ของนอกกาย‘ แทน ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เห็นอะไรก็อ้าปากถามว่าราคาเท่าไหร่…เห็นได้ว่านางเปลี่ยนไปมาก กระนั้นลึกๆ ในใจนางมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นอีก หากมิใช่เพราะนาง ท่านเก้าคงไม่ต้องซื้อน้ำซื้ออาหาร ตอนพบเขาครั้งแรก เขาไม่สวมแม้แต่รองเท้า ทั้งที่มิใช่ว่าไม่มีเงิน แสดงว่าเขาเป็นคนมัธยัสถ์มาก เห็นเขาใช้เงินแบบนี้ นางรู้สึกเสียดายมากจริงๆ
ท่านเก้าเม้มปาก แววตามีรอยยิ้มๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามสะกดกลั้นไม่ส่งเสียงหัวร่อออกมา “เงินทองมิใช่เอาไว้ใช้สอยหรอกรึ!”
ฟู่ถิงจวินไม่ชมชอบความคิดอ่านแบบนี้เอาเสียเลย
ท่านปู่สิบหกของนางก็เป็นเยี่ยงนี้ มีหนึ่งอีแปะใช้หนึ่งอีแปะ ยามหนุ่มสาวหาเงินทองได้ก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระสำเริงสำราญเต็มที่ พอถึงบั้นปลายชีวิตไม่มีเงินทองสะสมไว้ จากที่เคยสุรุ่ยสุร่ายต้องมากระเหม็ดกระแหม่ก็เป็นเรื่องยากลำบาก ตอนตายยังต้องให้ครอบครัวซื้อโลงศพให้
นางอดบ่นอุบอิบมิได้ “แล้วถ้าคนยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีเงินแล้วควรทำฉันใดเล่า”
ท่านเก้าตะลึงงันไปอย่างสุดระงับ ต่อจากนั้นหัวร่อออกมาดังลั่นทันที
สีหน้าเขาผ่อนคลาย นัยน์ตาเปล่งประกายระยับ ดูแจ่มใสเบิกบานอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง
“ข้าย่อมตระเตรียมน้ำดื่มระหว่างทางไว้แล้ว” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ตอนพลบค่ำเราจะออกจากหุบเขาสกุลหลี่ ท่านรีบไปเก็บข้าวของ อาเซิน เจ้าทำอาหาร!”
“ขอรับ” อาเซินขานรับอย่างดีอกดีใจ ถือของที่ท่านเก้าเอากลับมาออกไปข้างนอกทั้งหมด
ท่านเก้าบอกกับฟู่ถิงจวิน “ท่านคันตัวอยู่มิใช่หรือ รีบไปสางผมชำระกายเถอะ” เขายังพูดปลอบนางอีก “พอถึงเมืองซีอานก็จะสบายขึ้นแล้ว!”
เขารู้ได้อย่างไรว่านางคันตัว
ฟู่ถิงจวินแต่งกายมิดชิดมาตลอดทางจนมีผดผื่นขึ้นไปทั้งตัว แต่นางไม่อยากให้เขานึกว่าตนเองเป็นคุณหนูผิวบาง จึงแอบเกาในเวลาที่ปลอดคน คิดไม่ถึงว่าเขายังสังเกตเห็นจนได้ ในใจหญิงสาวเต็มตื้นขึ้นมาอย่างประหลาด
ท่านเก้าหมุนกายออกนอกประตูไป “ข้าจะไปพบประมุขของหุบเขาสกุลหลี่กับท่านเจ็ด ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา!”
เมื่อมีถ้อยคำนี้ของท่านเก้าแล้ว สุดท้ายฟู่ถิงจวินก็ต้านทานความเย้ายวนใจของการได้อาบน้ำไม่อยู่ นางชำระล้างร่างกายโดยไม่ลังเลอิดเอื้อน รู้สึกเบาสบายขึ้นไม่น้อยราวกับได้ปลดของหนักพันชั่งออกจากตัว นางหาผ้าสีขาวผืนหนึ่งฉีกเป็นผืนยาวๆ ผูกผมไว้ ถือเป็นการไว้ทุกข์ให้น้าชายกับน้าสะใภ้
ตอนนางออกมา อาเซินกำลังทอดเต้าหู้อยู่
เห็นเขาเอาหินก้อนหนึ่งมาต่อขาถึงจะถือกระทะไว้เหนือเตาได้ ฟู่ถิงจวินรีบเข้าไปช่วย
อาเซินไล่นางไป “ท่านเก้าบอกให้ข้าทำอาหาร”
“เจ้าไปช่วยเติมฟืนให้ข้า” นางแย่งกระทะในมือเขามาแล้วกลับเต้าหู้ด้วยท่าทางคล่องแคล่วงดงาม แม้จะไม่ชำนิชำนาญเท่าไหร่นัก
อาเซินไม่อาจไม่ยอมรับว่านางทำได้ดีกว่าตน เขานั่งช่วยเติมฟืนอยู่ตรงปากเตาแต่โดยดี
ไม่นานนักฟู่ถิงจวินก็ทำกับข้าวเสร็จสองอย่าง นางถามอาเซิน “ท่านเก้าชอบกินเส้นหมี่หรือว่าแป้งย่างมากกว่า?”
“พี่หยวนเป่าทำอะไรท่านเก้าก็กินอย่างนั้น!” อาเซินนิ่งคิด “แต่ตอนทำแป้งย่างจะกินมากกว่าบ้าง”
ดูท่าทางท่านเก้ามิใช่คนเลือกกิน
ฟู่ถิงจวินเริ่มผสมแป้งพลางเอ่ยกับอาเซิน “เจ้าก็ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดเถอะ! ได้ยินว่าจากที่นี่ไปถึงเมืองซีอานต้องเดินทางอีกเจ็ดแปดวันเชียวนะ!”
ด้วยคิดถึงว่าน้ำหนึ่งถังแลกมาด้วยปลาเหลืองเล็กหนึ่งแท่ง เป็นเหตุให้นางรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงใช้น้ำไปสองถังแล้วเหลือไว้อีกสองถัง
อาเซินพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน “เก็บไว้ให้ท่านเก้าเถอะ!”
“พวกเราเก็บไว้ให้ท่านเก้าหนึ่งถังก็แล้วกัน” ฟู่ถิงจวินคะยั้นคะยอเขาสุดกำลัง
เช่นนี้ไม่นับว่านางใช้น้ำตามสบายคนเดียวแล้ว
ทุกคนล้วนมีส่วนใช้ ในใจนางก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
อาเซินตัวเหม็นตุๆ อยู่แล้ว ทั้งทนการรบเร้าของฟู่ถิงจวินไม่ได้ เขาอิดออดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ร่วมแรงกับหญิงสาวแบกถังน้ำไปที่ห้องแล้วอาบน้ำที่นั่น
ตอนเขาออกมาอีกครั้ง ฟู่ถิงจวินทำแป้งย่างเสร็จแล้ว และกำลังต้มน้ำแกงฟักใส่ไข่
“ท่านเก้ายังไม่กลับมาอีกหรือ” เขาเอ่ยถามทั้งที่ผมยังเปียกแฉะ
“ยังเลย!” ฟู่ถิงจวินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ยังเช้าอยู่ พวกเรารออีกครู่หนึ่ง ถ้าเขายังไม่กลับมาอีก เจ้าค่อยไปดู!”
อาเซินย่อมไม่คัดค้านแน่ เขาถามนาง “เสื้อผ้าที่แม่นางผลัดออกมาอยู่ไหน ข้าจะเอาไปซักให้ก่อน!”
ฟู่ถิงจวินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
เสื้อผ้าที่นางผลัดออกมายังมีชิ้นที่สวมแนบติดกายด้วยนะ…
“ไม่ต้องๆ! ข้าซักเองได้” นางคิดขึ้นได้ว่าใช้น้ำไปสามถังแล้วรีบพูดขึ้น “อีกอย่างก็ไม่มีน้ำแล้ว!”
อาเซินบอกด้วยรอยยิ้มระรื่น “ข้าเหลือน้ำไว้ครึ่งถัง”
“ยังคงเป็นอาเซินที่เก่งเสมอ!” ฟู่ถิงจวินกล่าวชมเขา จากนั้นให้เขาช่วยยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปวางบนโต๊ะในโถงกลาง
ท่านเก้ากลับมาแล้ว
ฟู่ถิงจวินรีบเดินเข้าไปหา “ประมุขของหุบเขาสกุลหลี่มิได้ว่าอะไรกระมัง”
ถึงอย่างไรเรื่องท่านเจ็ดให้ที่พำนักแก่พวกนาง ก็ไม่ได้ถามความเห็นชอบของประมุขตระกูลก่อน
“ไม่ได้ว่าอะไร” ท่านเก้าตอบง่ายๆ “เพียงไต่ถามว่าพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง”
ฟู่ถิงจวินโล่งอก นางให้อาเซินตักน้ำให้ท่านเก้าล้างมือเพื่อกินข้าว
ท่านเก้าจุ่มมือลงไปในน้ำ แต่กลับคิดคำนึงถึงถ้อยคำของประมุขหุบเขาสกุลหลี่เมื่อครู่นี้ ‘…พาคุณหนูของพวกเจ้าไปส่งที่เมืองซีอานก็ถือว่าเจ้าทำเรื่องที่เจ้านายเก่าฝากฝังไว้ลุล่วงแล้ว นางเป็นสตรีคนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องออกเรือนวันยังค่ำ เจ้าลองไตร่ตรองเรื่องมาตั้งรกรากในหุบเขาสกุลหลี่ดูก็ไม่เสียหาย…’
จู่ๆ มีคนแปลกหน้าหลายคนมาที่หมู่บ้าน ประมุขตระกูลต้องการพบหน้าก็สมเหตุสมผลดี แม้นนางได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย ทว่าเป็นอิสตรี จึงเป็นธรรมดาที่จะเรียกท่านเก้าซึ่งเป็น ’ผู้ติดตาม‘ ไปถามความ อีกทั้งตลอดทางที่ผ่านมา ความสามารถของท่านเก้ายังเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ฟู่ถิงจวินถึงได้วางใจมาก เมื่อได้ยินท่านเก้าบอกแบบนี้นางก็มิได้ถามอะไรมาก เพียงสั่งให้อาเซินตักน้ำให้ท่านเก้าล้างมือ ส่วนตนเองไปจัดชามกับตะเกียบ
อาเซินยิ้มย่อง หยิบแป้งย่างแผ่นหนึ่งไปนั่งกินอยู่ตรงธรณีประตูอย่างตะกรุมตะกราม
นายบ่าวไม่ร่วมโต๊ะอาหารกัน
ฟู่ถิงจวินถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ มีหรือจะไม่รู้ธรรมเนียมนี้ แต่อาเซินกับนางเป็นสหายในยามยาก ด้วยเหตุนี้ในใจของนาง เขาค่อนข้างต่างจากคนอื่น
นางหันไปมองท่านเก้า
เขาก้มหน้าดื่มน้ำแกง
ฟู่ถิงจวินลอบมองค้อนเขาวงหนึ่ง ก่อนจะคีบกับข้าวครึ่งชาม แล้วหยิบแป้งย่างเพิ่มอีกสองสามแผ่นส่งให้อาเซิน “กินหมดแล้วข้าค่อยตักเพิ่มให้เจ้า”
อาเซินรับชามไป แววตาเต้นระริกด้วยความยินดีปรีดา “ขอบคุณแม่นางมากขอรับ!”
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
รอเมื่อกลับมาถึงโต๊ะ นางฉุกคิดขึ้นได้ว่าชายหญิงก็ร่วมโต๊ะกันไม่ได้…
นางแลมองท่านเก้าที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวพลางรำพึงอยู่ในใจ
เขานั่งครองโต๊ะอยู่เช่นนั้นแล้วนางจะนั่งที่ใดเล่า
หญิงสาวคิดถึงศักดิ์ฐานะของท่านเก้า แล้วนึกไปถึงอาเซินซึ่งเขาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ยังต้องนั่งยองๆ ตรงหน้าประตู นับประสาอะไรกับนาง
หรือว่านางต้องทำแบบเดียวกับหญิงชาวบ้านเหล่านั้น ถือชามไปนั่งกินข้าวอยู่หน้าเตาในห้องครัว?
ฟู่ถิงจวินรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
เมื่อก่อนนางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนของสกุลฟู่ ไม่ว่ายามกินข้าวหรือชมการแสดง ถึงพวกพี่สะใภ้ไม่มีที่นั่งก็ยังต้องมีที่นั่งของนาง และต่อให้ออกเรือนไป ตระกูลของว่าที่สามีนางมีชื่อเสียงเลื่องลือในเจียงหนาน เขายังเป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบสี่ และได้เป็นจวี่เหรินเมื่ออายุสิบแปด…ฉะนั้นนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งนางไม่มีที่นั่งกินข้าว!
แต่นางถูกถอนหมั้นไปแล้ว…
สองไหล่ของหญิงสาวคู้ลง
เห็นฟู่ถิงจวินยืนร่ำไรอยู่ข้างโต๊ะเป็นนานไม่ขยับตัวสักที ท่านเก้าชะงักตะเกียบแล้วถามขึ้น “ไยไม่นั่งลงกินข้าว”
“เอ๊ะ!” ดวงตาเรียวยาวของฟู่ถิงจวินเบิกกว้าง
“เป็นอะไรไป” ท่านเก้าถามอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรๆ!” นางรู้สึกอยู่ไม่วายว่ากินข้าวหน้าเตาเป็นเรื่องของบ่าวไพร่ นางไม่อยากตกอับถึงกับเป็นเช่นคนรับใช้ของท่านเก้า ครั้นตอนนี้ไม่ต้องไปกินข้าวหน้าเตาแล้ว ในใจพลันล้นปรี่ไปด้วยความยินดี
นางรีบนั่งลงแล้วยกตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่ง ดูท่าทางลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ท่านเก้านึกกังขาใจ เขาตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ท่านอยากจะแยกโต๊ะกินข้าวกับข้าหรือ” ครั้นถ้อยคำนี้ออกจากปาก เขารู้สึกได้ทันใดว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด จึงเอ่ยขึ้น “ภาวะคับขันต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง ยามนี้พวกเรากำลังหนีภัย ทั้งขออาศัยอยู่ในหุบเขาสกุลหลี่ อาหารการกินมีแค่กับข้าวง่ายๆ สองจานกับแป้งย่างไม่กี่แผ่นเท่านั้น ดังนั้นธรรมเนียมบางเรื่องก็ละวางลงชั่วคราวเถอะ รอเมื่อพวกเราปักหลักได้แล้วค่อยว่ากันอีกที” ถึงกระนั้นเขายังด่าตนเองในใจที่สะเพร่า เพราะอยู่กับหยวนเป่ากับอวี้เฉิงมานานทำให้ลืมเลือนธรรมเนียมบางอย่างไปนานแล้ว
“ไม่ใช่ๆ!” พอเห็นว่าท่านเก้าใช้น้ำเสียงอ่อนลงอย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก ทั้งคล้ายกำลังอธิบาย ทั้งคล้ายปลอบใจ ฟู่ถิงจวินกลับไม่สบายใจขึ้นมา นางอยากอธิบายบ้าง แต่ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดีไปชั่วขณะ เลยได้แต่เปลี่ยนเรื่องพูด “ข้าได้ยินอาเซินพูดว่าท่านเก้าชอบกินแป้งย่าง ไม่รู้ว่าท่านยังชอบกินอะไรอีก”
ท่านเก้ามองนางอย่างประหลาดใจ
ทำไมมองนางอย่างนี้…หรือนางพูดอะไรผิดไป…
พอความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัว ฟู่ถิงจวินก็หน้าแดงน้อยๆ
เขามิใช่บิดาหรือพี่ชายของนางสักหน่อย นางเอ่ยถามอย่างสนิทสนมแบบนี้ออกมาได้อย่างไร มิน่าเขาถึงมองนางด้วยสายตาอย่างนั้น!
“ข้าคิดอยู่ว่าตลอดทางพวกเรากินแต่หมั่นโถวกับน้ำเปล่า…เอ่อ…” หญิงสาวพลันบังเกิดไหวพริบวูบหนึ่ง นึกข้ออ้างอย่างหนึ่งขึ้นได้ “ก็เลยว่าจะฉวยโอกาสที่พรุ่งนี้ยังมีเวลาพักอีกครึ่งวัน อยากทำกับข้าวสองสามอย่างให้ท่านเก้ากับอาเซินได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ”
ท่านเก้าไม่รับไม่ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าหงึกหงัก “ท่านอยากกินอะไร พรุ่งนี้ข้าจะไปดูในหมู่บ้านให้”
พูดผิดอีกแล้ว!
ฟู่ถิงจวินทำคอตกอย่างหดหู่
ตอนนี้เป็นช่วงทุพภิกขภัย อีกทั้งยังขออาศัยอยู่ในหุบเขาสกุลหลี่แล้วจะมีของดีๆ อะไรได้ ท่านเก้าไม่บอกว่าตัวเองชอบกินอะไร กลับถามแต่ว่านางชอบกินอะไร เห็นชัดว่าเข้าใจผิดคิดว่านางตะกละ!
“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ล้วนเป็นของโปรดข้าทั้งนั้น” ราวกับต้องการยืนยันว่าไม่ได้พูดตามมารยาท นางยังคีบฟักเขียวทอดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ชายหนุ่มแลมองฟู่ถิงจวินที่เมื่อครู่นี้ยังตื่นเต้นคึกคัก แต่พอเขาพูดคำเดียวก็ทำหน้าตาห่อเหี่ยวเหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะเอาลมออก เขามองไปที่กับข้าวบนโต๊ะแล้วกล่าวขึ้น “ท่านเป็นคนทำกับข้าวพวกนี้หรือ”
ฟู่ถิงจวินผงกศีรษะเบาๆ “ตอนอยู่บ้านข้าเคยหัดทำมาก่อน เลยขันอาสาทำอาหารเอง”
ที่แท้เป็นเช่นนี้
“อ้อ” เขาส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ทำได้ไม่เลว อร่อยกว่าที่อาเซินทำมากแล้ว”
อร่อยกว่าที่อาเซินทำมากแล้ว…
อาเซินอายุเท่าไหร่ แล้วนางอายุเท่าไหร่
อาเซินเป็นใคร แล้วนางเป็นใคร
อาหารตำรับสกุลฟู่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชามาก ทุกคราที่มีขุนนางมารั้งตำแหน่งในหวาอินล้วนต้องมาลิ้มรสที่จวนสกุลฟู่ นางนั้นตั้งใจร่ำเรียนวิชากับคนทำครัวเชียวนะ
ทว่าดีชั่วนี่นับเป็นคำชมกระมัง…นับตั้งแต่รู้จักกันมา ดูเหมือนนี่เป็นคราครั้งแรกที่เขากล่าวชมนาง เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ อย่าถือสาหาความคนอย่างเขาเลย!
ความขุ่นเคืองในใจนางสลายหายไปในพริบตาอีกครา
“ขอบคุณท่านเก้าที่ชม” ฟู่ถิงจวินกล่าวขึ้นคำหนึ่งแล้วก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ มิได้รู้ตัวเลยว่ามุมปากยกโค้งขึ้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
ท่านเก้าซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโคลงศีรษะไปมา
ประเดี๋ยวโมโห ประเดี๋ยวดีใจ…นิสัยยังเป็นเด็กน้อยอยู่นั่นเอง!
มุมปากเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ
ตลอดทางที่ต้องประหวั่นพรั่นพรึง นอนหนุนอาวุธยันฟ้าสาง ทำให้จิตใจของทุกคนตึงเครียด บัดนี้เมื่อมาถึงสถานที่ปลอดภัย ได้กินอาหารเย็นและจัดเก็บข้าวของครู่หนึ่ง ทั้งสามคนหัวถึงหมอนก็หลับไป กว่าจะลืมตาตื่นขึ้น พระอาทิตย์ลอยพ้นเหนือยอดไม้แล้ว ท่านเก้าตรวจตรารถเข็นไม้ ขณะที่ฟู่ถิงจวินกับอาเซินต้มน้ำ ทำแป้งย่างและหมั่นโถว
ท่านย่าสิบเอ็ดของสกุลหลี่ซึ่งพักอยู่เรือนด้านข้างได้ยินเรื่องของฟู่ถิงจวินแล้ว พอรู้ว่านางจะจากไปวันนี้จึงให้คนนำไข่ต้มมาให้สิบฟองเป็นพิเศษ “เก็บไว้กินระหว่างทางนะ!”
นางซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด ตั้งอกตั้งใจทำแป้งย่างต้นหอมสิบแผ่นนำไปมอบให้
หญิงสูงวัยลูบมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกเนื้อดีของฟู่ถิงจวินพลางลอบถอนใจไม่หยุด แม้กระนั้นก็ตามทีนางไม่อาจเอ่ยถ้อยคำให้ความช่วยเหลือออกจากปากได้ ด้วยถึงอย่างไรยามนี้ตัวนางเองยังพาคนทั้งครอบครัวมาพำนักอาศัยอยู่กับสกุลเดิม จึงพร่ำกำชับให้หญิงสาวเดินทางด้วยความระมัดระวัง
เมื่อกลับถึงห้อง ท่านเจ็ดกับนายหญิงเจ็ดก็มาถึง
นายหญิงเจ็ดมอบยาหอมใบพิมเสนให้ขวดหนึ่ง “คนดีๆ อย่างเซี่ยไท่ไท่*…” นางพูดด้วยขอบตาที่แดงเรื่อพร้อมน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย เป็นเหตุให้ฟู่ถิงจวินร้องไห้อยู่พักหนึ่ง
ท่านเจ็ดซึ่งมีท่านเก้าสนทนาเป็นเพื่อนอยู่ในห้องโถงได้ยินเสียงก็กล่าวคำปลอบใจ จากนั้นสองสามีภรรยาถึงอำลากลับ “ตอนพวกท่านไป พวกเราคงไม่ไปส่งแล้ว”
ท่านเก้าเอ่ยขอบคุณติดๆ กันหลายคำ และเดินออกไปส่งพวกเขาจนถึงใต้ต้นหลิวนอกประตู
ฟู่ถิงจวินทำตนให้กระฉับกระเฉง นางเอาน้ำต้มที่เย็นแล้วกรอกใส่ถุงหนังกับอาเซิน
ท่านเก้าเดินเข้ามาบอกเสียงเบา “ที่นี่เป็นหุบเขาสกุลหลี่ ไม่เหมาะจะตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ รอถึงเมืองซีอานแล้ว พวกเราค่อยเชิญพระอาวุโสจากวัดต้าซิ่งซ่านมาทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้ครอบครัวนายท่านเซี่ย”
“ขอบคุณท่านเก้า” ฟู่ถิงจวินเก็บงำสีหน้าเศร้าหมอง ผลิยิ้มเจิดจ้าส่งให้เขา “ถึงเวลานั้นยังต้องรบกวนท่านเก้าพาข้าไปด้วย” ในดวงตานางมีประกายน้ำวาววับดุจหยาดน้ำค้าง
ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด นิ่งมองนางด้วยแววตาลึกล้ำยากจะบรรยาย
บรรยากาศภายในห้องเงียบงันลงตามสายตาของเขา
ฟู่ถิงจวินเก้อกระดากอยู่บ้าง
อาเซินซึ่งเอาถุงน้ำไปวางบนรถเข็นไม้แล้ววิ่งมาหา “แม่นาง พวกเราจะใส่เกลือลงในน้ำสักหน่อยไหมขอรับ ข้าเห็นอาซ้อซั่งใช้เกลือหมักเนื้อ สามารถเก็บไว้กินได้จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีถัดไป เนื้อก็ยังไม่เสียเลยนะ!”
เสียงของเขาทำลายความเงียบในห้อง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นอีกครา
“ดีสิ!” ฟู่ถิงจวินรีบหันหน้าไป “หน้าร้อนดื่มน้ำเกลืออ่อนๆ บ้างช่วยคลายพิษร้อนได้” นางเอ่ยต่อ “สายมากแล้ว พวกเราทำอาหารกลางวันเถอะ! กินแล้วพักผ่อนครู่หนึ่งก็สมควรออกเดินทางกันสักที”
“อื้อ!” อาเซินขานตอบ จากนั้นเดินเคียงคู่กับฟู่ถิงจวินข้าไปในห้องครัว
ท่านเก้ายืนอยู่ที่เดิมเนิ่นนานกว่าจะหมุนกายเข้าห้องไป
ดวงอาทิตย์คล้อยตัวลงทางทิศประจิมทีละน้อย แสงตะวันสีเหลืองทองส่องกระทบรั้วไม้สูงลิบของหุบเขาสกุลหลี่ รอบด้านเงียบเชียบและสุขสงบ
ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ออกจากที่นั่นอย่างเงียบๆ เริ่มต้นการเดินทางในตอนเช้ากับตอนเย็น และพักผ่อนตอนเที่ยงอีกคราครั้งหนึ่ง
กลางทางยังเผชิญกับการปล้นชิงหลายครั้งหลายคราดังเก่า แต่ล้วนถูกท่านเก้าขัดขวางไว้ได้ทุกคราวไป มีหนหนึ่งถึงกับเกิดขึ้นกลางดึก ฟู่ถิงจวินนั้นนับเป็นคนนอนไว จนเมื่อนางลืมตาขึ้น พลองเสมอคิ้วของท่านเก้าก็หวดลงบนขาของอีกฝ่ายแล้ว
หลังจากเดินทางไปเช่นนี้สี่ห้าวัน ทิวทัศน์ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลอกเปลือกออกไปบางต้นมีต้นหญ้าสีเขียวขจีงอกขึ้นมาหลายต้น
พวกเขาเข้าสู่เขตอำเภอหลินถงแล้ว
“ถัดไปเป็นเมืองซีอานแล้ว!” อาเซินตะโกนเสียงดัง วิ่งเข้าไปเด็ดต้นหญ้าต้นหนึ่งมาให้ฟู่ถิงจวิน
ความปีติยินดีเปี่ยมล้นโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
ฟู่ถิงจวินกระปรี้กระเปร่าขึ้นฉับพลัน “ยังต้องอีกกี่วันจึงจะถึงเมืองซีอาน” นางยกต้นหญ้าจรดที่ปลายจมูกบรรจงสูดดมกลิ่นของมัน
“มากที่สุดห้าวัน” ใบหน้านิ่งขรึมของท่านเก้าเผยรอยยิ้มออกมาบ้างเช่นกัน “เย็นนี้พวกเราจะหยุดพักที่หมู่บ้านตงอัน”
“ท่านเก้าคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยหรือ” ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างประหลาดใจ
“เมื่อก่อนเคยมาหลายครั้ง” ท่านเก้าเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ข้าจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากถนนหลวง”
ส่วนอาเซินตั้งท่าจะพูดแล้วก็ชะงักไป
ความลับอีกแล้ว!
ฟู่ถิงจวินเบ้ปาก
ท่านเก้าผลักรถเข็นไม้ออกจากถนนหลวงเข้าสู่ทางดินลูกรังสายหนึ่งด้านข้าง
มีคนเข็นรถเข็นไม้ตามหลังมา
ท่านเก้าไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น คนผู้นั้นก็เร่งฝีเท้าตาม
ท่านเก้าชะลอ คนผู้นั้นก็ชะลอตาม
ฟู่ถิงจวินหันไปชำเลืองมองแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คนเข็นรถเป็นชายหนุ่มหน้าตาซื่อๆ อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด มีหญิงซึ่งออกเรือนแล้วมีผ้าคลุมศีรษะนั่งอยู่บนรถเข็น ในอ้อมแขนนางยังมีเด็กน้อยวัยสองสามขวบอีกคนหนึ่ง
มองปราดเดียวก็รู้ว่าหนีภัยมาไม่ต่างจากพวกนาง
“ท่านนั่งให้ดีๆ นะ!” จู่ๆ ท่านเก้าก็พูดกำชับฟู่ถิงจวินเสียงเบา จากนั้นหันขวับกลับไป ยืนอยู่กับที่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปึ่งชา
ชายหนุ่มผู้นั้นมีท่าทางคิดไม่ถึง เขาทำหน้าตะลึงงัน ชะงักฝีเท้ากึก
อาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ สตรีที่นั่งบนรถเข็นเงยหน้าขึ้น
ฟู่ถิงจวินมองเห็นดวงหน้าหมดจดสะสวยของนาง
พอสตรีผู้นั้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รีบก้มหน้าลง
ท่านเก้าเข็นรถเข็นถอยหลังหลบให้สองสามก้าวเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายนำหน้าไปก่อน
ใบหน้าที่มีสีผิวดำแดงของชายหนุ่มผู้นั้นเผยรอยกระอักกระอ่วนวูบหนึ่ง ก่อนจะเข็นรถเข็นไม้ผ่านข้างกายพวกเขาไป
ท่านเก้าหยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จวบจนอีกฝ่ายเข็นรถเข็นไม้เลี้ยวไปทางคันนาด้านข้าง เข้าสู่หมู่บ้านทางทิศตะวันออกแล้ว เขาถึงเข็นรถพาฟู่ถิงจวินออกเดินทางอีกครั้ง
“คนผู้นั้นต้องการทำอะไร” นางฉงนใจอยู่บ้าง
“ไม่รู้สิ!” ท่านเก้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดไม่ตอแยข้า ข้าไม่ตอแยผู้นั้น หากผู้ใดตอแยข้า…” เขามิได้กล่าวถ้อยคำหลังจนจบ
สุดทางดินลูกรังเป็นหมู่บ้านตงอัน
ตอนที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไป ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด
“ดูท่าทางคงหนีภัยแล้งกันไปหมดแล้วเหมือนกัน” ฟู่ถิงจวินเอ่ยเสียงเบา
“ถึงอย่างไรหมู่บ้านอย่างหุบเขาสกุลหลี่ก็มีอยู่น้อยนิด” ท่านเก้ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนใหญ่ล้วนมิได้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีแบบเดียวกับพวกเขา”
นางพยักหน้า
อาเซินหาเรือนซึ่งสามารถใช้พักแรมได้แล้ว “ท่านเก้า ท่านว่าพวกเราพักแรมที่นี่ได้หรือไม่ขอรับ”
ทั้งสองเดินไปที่นั่น
ประตูใหญ่สีดำมีมือจับเป็นห่วงทองแดง กำแพงสูงก่อด้วยก้อนหิน พอเข้าไปด้านในเป็นลานกว้างมีเรือนโถงหน้ากว้างสามช่วงเสาก่อด้วยอิฐ เมื่อทะลุผ่านไปเป็นลานขนาดย่อมลงเล็กน้อยมีห้องเล็กสามห้อง ด้านหลังสุดเป็นลานแจ้งและห้องครัว ดูโอ่โถงภูมิฐานอย่างมาก
“พวกเราอยู่ในห้องเล็กด้านหลังก็แล้วกัน” ท่านเก้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีคนบุกเข้ามา ยังมีลานเรือนสองชั้นกับเรือนโถงคั่นขวางอยู่ พวกเขาก็จะมีเวลาตั้งตัวรับมือได้ทัน
อาเซินขานตอบเสียงดัง จากนั้นจัดเก็บห้องปีกตะวันออกให้ฟู่ถิงจวินพำนัก
หญิงสาวเห็นโต๊ะกับม้านั่งหินอยู่ใต้ระแนงเถาองุ่นแห้งเฉาตรงมุมหนึ่งของลานกว้างหน้าห้องแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านเก้า พวกเรากินข้าวเย็นกันด้านนอกเถอะ” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เขามิได้พิถีพิถันมากนัก นางเพียงบอกกล่าวให้รับรู้ พอพูดจบก็เริ่มหยิบอาหารออกมาตั้งโต๊ะ
สีหน้าของท่านเก้าตึงเครียดขึ้นกะทันหัน เขาหมุนตัวขวับสาวเท้าเดินออกไป แค่สองสามก้าวก็ถึงประตูหลังของเรือนโถง
ฟู่ถิงจวินตกใจยกใหญ่เมื่อร่างของชายหนุ่มหายลับเข้าไปในเรือนโถงด้านหน้า ต่อจากนั้นมีเสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น
อาเซินชะโงกศีรษะออกมาทางหน้าต่างห้อง
นางวางชามกับตะเกียบในมือลงแล้วเดินออกจากลานกว้าง
บุรุษผิวหน้าสีดำแดงที่พวกนางพบกลางทางตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดรู้ ขณะนี้เขาล้มคว่ำอยู่บนพื้น ถูกท่านเก้าจับแขนไพล่หลัง ส่วนสตรีหน้าตาหมดจดผู้นั้นจูงมือเด็กน้อยคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าสงสารอยู่ด้านข้าง “แค่เห็นว่าเรือนหลังนี้มีกำแพงรั้วแข็งแรงที่สุด จึงคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดถึงได้เข้ามา พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย ไปเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านผู้กล้าได้โปรดเมตตาละเว้นด้วย!” นางพูดไปพลางกดหัวเด็กน้อยลงโขกศีรษะให้ท่านเก้าไปพลาง
ฟู่ถิงจวินเห็นแล้วไม่สบายใจมาก
ไฉนต้องใช้เด็กเป็นเครื่องมือ!
สามีภรรยาคู่นี้มิใช่คนดิบดีอะไรอย่างเห็นได้ชัด
นางถอยหลังออกไปเงียบๆ สวนเข้ากับอาเซินพอดี
“มีอะไรหรือ” อาเซินถามนาง
“ไม่มีอะไร” ฟู่ถิงจวินกล่าว “มีคนถูกตาต้องใจเรือนหลังนี้เช่นกัน ท่านเก้ากำลังเจรจาต่อรองกับพวกเขาอยู่”
อาเซินไม่ติดใจสงสัย
นางกล่าว “ห้องปีกตะวันออกเก็บกวาดเสร็จแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวกินข้าวกัน”
“เสร็จตั้งนานแล้วขอรับ” อาเซินพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มร่า ท่านเก้าก้าวปราดๆ เข้ามา “อาเซิน ไปหาเรือนอีกหลังหนึ่ง พวกเราจะเปลี่ยนที่พักแรม!”
“ขอรับ” อาเซินไม่ไต่ถามแม้แต่คำเดียว ขานรับแล้วตั้งท่าจะออกไปทันที
ท่านเก้ากลับเอ่ยขึ้น “ออกทางประตูหลัง!”
ดวงตาอาเซินมีรอยงุนงงจุดวาบขึ้น แต่ยังคงหมุนกายออกทางประตูหลังไปอย่างว่องไว
ฟู่ถิงจวินรีบเร่งเก็บอาหาร “ท่านเก้า พวกเราจะสละที่นี่ให้คนผู้นั้นพำนักหรือ”
“ไม่ใช่!” ท่านเก้ากล่าว “ระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า”
หญิงสาวย่อมเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาอย่างเต็มที่แน่นอน นางเก็บของเรียบร้อยในเวลาอันสั้น
อาเซินกลับมาแล้วเช่นกัน “ถัดไปหลังที่สามก็ไม่เลวเลย เสียแต่เล็กไปหน่อยเท่านั้นขอรับ”
ท่านเก้าไม่กล่าวคำใด ส่งสายตาให้ฟู่ถิงจวินแวบหนึ่งแล้วเข็นรถเข็นไม้ไป นางตามหลังเขาไปยังเรือนหลังที่อาเซินบอก
หลังจากวุ่นวายกับการย้ายที่พักแรม พอกินอาหารเย็นเสร็จ ดวงดาวก็ทอแสงทั่วท้องนภาแล้ว
อาเซินอุทานขึ้น “พรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใสอีกวันหนึ่งแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้ารู้โหราศาสตร์ด้วย” ฟู่ถิงจวินชอบพูดหยอกอาเซินมาก
“เป็นท่านเก้าบอกข้าต่างหาก” อาเซินมองท่านเก้าที่นั่งกินหมั่นโถวโดยไม่พูดไม่จาแวบหนึ่ง “ท่านเก้ายังรู้ว่าดาวสาวทอผ้าอยู่ที่ไหน ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอยู่ที่ไหน พี่อวี้เฉิงยังเล่าตำนานเรื่องสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว* ได้ด้วย”
“แล้วเจ้าเคยฟังตำนานเรื่องเทพธิดาฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์** หรือไม่” นางถามเขายิ้มๆ “อยากให้ข้าเล่าให้ฟังไหม”
“ข้าย่อมเคยฟังมาแล้ว” อาเซินโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “พี่อวี้เฉิงยังเล่าเรื่องงานเลี้ยงทวนเดี่ยว*** ได้ด้วย ท่านรู้จักเรื่องนี้ไหมขอรับ เป็นเรื่องเล่าของท่านกวนอู สนุกมาก หรือไม่จะให้ข้าเล่าให้ท่านฟังไหม” ฟู่ถิงจวินหัวเราะอย่างขบขัน
‘แย่แล้ว’ นางอุทานในใจทันที
ท่านเก้าเก็บเรื่องของตนเองเป็นความลับมิดชิด นางพูดถึงพรรคพวกเขากับอาเซินแบบนี้ เขาจะมีน้ำโหหรือไม่นะ!
ดวงตานางชำเลืองมองไปทางเขา
ท่านเก้านั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองนางกับอาเซินด้วยรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเขาแจ่มกระจ่าง ทอประกายระยิบระยับอย่างเงียบงัน ดุจดวงดาวดารดาษกลางผืนราตรีมืดมิดด้านหลัง ยามเมื่อได้ทอดสายตามองไป พาให้จิตใจสุขสงบตามไปด้วย
ฟู่ถิงจวินนิ่งค้างไปชั่วขณะ
กลางดึก ฟู่ถิงจวินถูกอาเซินเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้น “แม่นาง ตื่นๆ!”
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เพื่อความสะดวก หลายวันมานี้นางล้วนเข้านอนโดยไม่ผลัดอาภรณ์
“ท่านเก้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า” ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “กลัวจะเป็นโจรป่ามาปล้นหมู่บ้าน!”
“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าพวกเขาไม่ต้องส่งคนมาดูลาดเลาก่อนสักคน คนในหมู่บ้านนี้หนีหายไปไม่เหลือร่องรอยตั้งนานแล้วนะ!” ปากนางบ่นพึมพำไป มือเท้ากลับไม่เชื่องช้าสักนิด หญิงสาวสวมรองเท้าอย่างฉับไวแล้ววิ่งออกจากห้องตามอาเซินไป
ท่านเก้ายืนขมวดคิ้วอยู่ในลานกว้าง พอเห็นฟู่ถิงจวินกับอาเซิน ก็ชี้ไปที่ตุ่มน้ำใบใหญ่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลาน “ท่านไปซ่อนตัวก่อน!”
“ซ่อนอย่างไร” ตุ่มน้ำใบนั้นไม่มีน้ำ อีกทั้งแตกเป็นรูใหญ่แต่แรกแล้ว
ยามราตรีมืดมิดเงียบสงัดเช่นเคย นางเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินสุ้มเสียงใด
ท่านเก้ายกตุ่มน้ำวางคว่ำกับพื้นอย่างสบายมือ “ท่านเข้าไปซ่อนในตุ่มน้ำ” จากนั้นเอ่ยสั่งอาเซิน “เอาห่อสัมภาระ ถุงหนังกับหมั่นโถวของแม่นางออกมาแล้วซ่อนไว้ในตุ่มน้ำให้หมด”
ฟู่ถิงจวินอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
อาเซินออกไปตามคำสั่ง หยิบของที่ท่านเก้าบอกไว้มาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“ท่านใช้ห่อสัมภาระเป็นที่รองนั่ง” ท่านเก้ากล่าวพลางแง้มขอบตุ่มน้ำขึ้น บุ้ยใบ้ให้นางรีบมุดเข้าไป “หากข้ายังไม่มา ท่านก็อย่าออกมา ฟังเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” ถ้อยคำหลัง เขาถามด้วยเสียงขึงขัง
ฟู่ถิงจวินพยักหน้าถี่รัว ก่อนจะคลานเข้าไปอย่างงุ่มง่าม อาเซินเอาถุงหนัง หมั่นโถว และแป้งย่างยัดตามเข้ามา
ท่านเก้ากับอาเซินขึ้นไปอยู่บนขื่อห้องครัว
ในที่มืดคับแคบและรอบตัวเงียบสนิท เวลากลับแปรเปลี่ยนเป็นเดินช้าลงไปด้วย
ฟู่ถิงจวินหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวท่านเก้า ทำให้นางขดตัวซ่อนอยู่ในตุ่มน้ำโดยไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ ทันใดนั้นมีแสงไฟส่องลอดรูแตกของตุ่มน้ำเข้ามา
“จ้าวจิ่ว* ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่” เสียงตะโกนกระโชกโฮกฮากดังขึ้น “มีวาสนาแม้นไกลพันลี้ยังได้พบหน้า ไร้วาสนาแม้นใกล้แค่เอื้อมก็ไม่รู้จัก ในเมื่อข้าเจ้ามีวาสนาได้พบกันแล้ว สมควรสะสางบัญชีที่ติดค้างกันอยู่สักหน่อยหรือไม่ ข้านั้นคิดถึงเจ้ากระทั่งในยามฝันเชียวนะ!” ยามเขาเอ่ยถึงคำสุดท้าย น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมชวนให้ขนลุกเกรียว
บอกว่าหลบโจรป่ามิใช่หรือ ไฉนกลายเป็นคู่อริของท่านเก้าที่โผล่มา
ฟู่ถิงจวินเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องทันใด นางซ่อนตัวอยู่ในตุ่มน้ำมองอะไรไม่เห็น ทำให้ร้อนใจจนไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี!
“เฝิงเหล่าซื่อ ข้าเองก็อยากหาโอกาสคิดบัญชีระหว่างเจ้าข้ามาโดยตลอดเช่นกัน” ยามดึกสงัดเงียบกริบ เสียงเนิบนาบของท่านเก้าค่อยๆ ดังลอยมาใกล้หญิงสาวทีละน้อย “ในเมื่อวันนี้เจ้ามีอารมณ์สุนทรีย์ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นพวกเราก็มาชำระสะสางให้เสร็จสิ้นไปเลย!” นางรู้ว่าท่านเก้าเดินออกมายืนอยู่ในลานกว้างแล้ว “แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเคยบอกว่าพูดคุยก็ดีหรือกินข้าวก็ช่างล้วนต้องอาศัยกำปั้น ข้าว่าวันนี้พวกเรามาใช้กำปั้นคิดบัญชีกันเถอะ!” ต่อจากนั้นฟู่ถิงจวินได้ยินเสียงดังผัวะ ตามมาด้วยเสียงคำรามด้วยความโกรธของบุรุษ เสียงร้องของอาชา คละเคล้าเสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวของสตรีดังเซ็งแซ่ชุลมุนวุ่นวาย
ตอนท่านเก้ามองเห็นดวงหน้าสะสวยหมดจดของสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายเฝิงเหล่าซื่อก็รู้ว่าวันนี้เขาจำต้องเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่เสียแล้ว สตรีผู้นี้เคยพบเห็นฟู่ถิงจวิน ฉะนั้นเฝิงเหล่าซื่อย่อมรู้ว่าเขายังพาหญิงสาวกับเด็กน้อยมาด้วย และจะต้องคิดว่าเป็นครอบครัวของเขา ด้วยเหตุนี้เฝิงเหล่าซื่อคงต้องใช้เล่ห์เพทุบายสารพัดเพื่อจับเป็นคนทั้งสองมาต่อรองกับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งแล้ว! ส่วนว่าสตรีผู้นี้อยู่กับเฝิงเหล่าซื่อได้อย่างไร เขาไม่นึกสนใจแม้แต่น้อย
เขาเคลื่อนกายฉับไวดุจสายฟ้าแลบ เงื้อพลองเสมอคิ้วพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงเหล่าซื่อ
เฝิงเหล่าซื่อคาดไม่ถึงว่าท่านเก้าจะทำทีพูดจาโต้ตอบพร้อมกับจู่โจมเข้าใส่ตน เขารีบชักม้าถอยหนี
พอสายบังเหียนม้าถูกรั้งตึง เจ้าอาชากู่ร้องเสียงหนึ่ง ท่านเก้าก็ประทับฝ่ามือลงบนศีรษะมัน ม้าตัวนั้นล้มตะแคงลงกับพื้นโดยไม่ส่งเสียงร้องเสียงแอะ
เฝิงเหล่าซื่อตระหนกตกใจ ด้วยรู้ว่าขณะที่ท่านเก้าประทับฝ่ามือลงบนศีรษะม้าก็ยากที่มันจะหนีพ้นความตายไปได้ เขาไม่รอให้เจ้าอาชาล้มลงก็กระโดดลงจากหลังของมัน ชักดาบยกขึ้นป้องอกไว้บังเกิดเสียงดังเช้ง
ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเก้ามิได้สนใจเขาสักนิด หากแต่สะบัดปลายนิ้วคราหนึ่ง ฉับพลันนั้นมีประกายแสงสีเงินสว่างวาบกรีดผ่านอากาศไปดุจดาวตก
“นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าสังหารสตรี” ท่านเก้าพึมพำกับตนเอง สตรีซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเฝิงเหล่าซื่อเหลือกตาค้างกะทันหัน ใต้แสงคบเพลิงเห็นโลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาจากลำคอนางช้าๆ…
ทุกคนล้วนชักม้าถอยกรูดๆ
สตรีผู้นั้นล้มพับลงกับพื้น
“มีดใบหลิวของท่านเก้าสกุลจ้าวสมดังคำร่ำลือโดยแท้!” เฝิงเหล่าซื่อเหลือบตามองสตรีที่นอนตายอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง “ข้าก็ใช้อาวุธมีคมเช่นกัน แต่ของข้าเป็นดาบใหญ่!” สิ้นเสียงเขา คมดาบวาววับพุ่งไปแทงใส่ท่านเก้าดุจเกลียวคลื่นซัด
ท่านเก้าถอยหลังก้าวหนึ่ง ยกพลองเสมอคิ้วขึ้นขวางด้านหน้า
เกลียวคลื่นสลายไปในชั่วพริบตา พร้อมกับพลองเสมอคิ้วหักเป็นสองท่อน ท่อนหนึ่งตกลงบนพื้นดังเคร้ง อีกท่อนหนึ่งยังอยู่ในมือของท่านเก้า
เฝิงเหล่าซื่อหรี่ตาลงมองท่านเก้า จากนั้นกระโจนตัวลอยพร้อมเงื้อดาบโถมฟันใส่ท่านเก้าประหนึ่งขุนเขาถล่มทับ
ท่านเก้ากวัดแกว่งพลองเสมอคิ้วครึ่งท่อนเข้าปะทะ
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น พลองเสมอคิ้วหักกลางอีกครั้ง ทว่าเฝิงเหล่าซื่อคล้ายกระแทกใส่กำแพงเหล็กก็ไม่ปาน ตีลังกากลับหลังกลางหาวติดต่อกันหลายตลบ ตัวเซถอยไปหลายก้าวถึงยืนทรงตัวได้
ท่านเก้ามีสีหน้าหนักอึ้งขึ้น
เขาเพิ่งได้ประมือกับเฝิงเหล่าซื่อตรงๆ เป็นคราแรก ภายในสองกระบวนท่านี้ เฝิงเหล่าซื่อสำแดงเพลงยุทธ์หนึ่งอ่อนหนึ่งแข็ง เห็นได้ว่าฝึกปรือพลังยุทธ์แข็งอ่อนประสานกันจนบรรลุถึงขั้นล้ำเลิศแล้ว
เขาตั้งท่าเพลงมวย
เฝิงเหล่าซื่อพุ่งทะยานเข้ามา
ประกายดาบเย็นเยียบแผ่เป็นม่านชั้นแล้วชั้นเล่าห้อมล้อมท่านเก้าไว้ด้านใน
ท่านเก้าออกหมัดอย่างเชื่องช้า ขวาทีซ้ายที กระแสปราณหมัดผ่านไปทางใด ม่านประกายดาบขาดออกเป็นช่องโหว่ทันควัน
เฝิงเหล่าซื่อแค่นเสียงเยาะ ตวัดดาบฟาดฟันอุดช่องโหว่นั้นไว้ดังเดิม
ท่านเก้าค่อยๆ ออกหมัดเร็วขึ้นทุกที ขณะที่เฝิงเหล่าซื่อค่อยๆ สร้างม่านประกายดาบได้ช้าลงเรื่อยๆ
จู่ๆ มีเสียงเคร้งดังกังวานขึ้น เฝิงเหล่าซื่อเหินกายถอยหลัง
บนพื้นมีเศษสีเงินหล่นกระจัดกระจายดุจดังดวงจันทร์แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เฝิงเหล่าซื่อหน้าซีดเผือด ยืนกำด้ามดาบที่ปราศจากใบดาบอยู่กับที่ มุมปากมีของเหลวสีแดงเข้มไหลย้อยลงมา
รอบด้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงเปลวไฟลุกโชนดังพึ่บพั่บมาจากคบเพลิง ยิ่งขับเน้นให้ทั่วทั้งบริเวณวิเวกวังเวงดุจป่าช้า
“มีพิษสงอยู่พอตัวจริงๆ มิน่าถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” เฝิงเหล่าซื่อยิ้มเยาะ “แต่ว่าเจ้าหนุ่ม ความสำเร็จหาใช่อาศัยแต่กำปั้นเท่านั้น” เขาพูดพลางพลิ้วกายถอยหลัง “สังหารให้หมด!”
เขาโถมแรงกระโจนตัวขึ้นไปบนหลังม้า ทำให้มันตื่นตกใจจนแผดเสียงร้องระลอกหนึ่ง
“ใครสามารถบั่นศีรษะจ้าวจิ่วมาได้ ตกรางวัลให้ห้าหมื่น” เสียงของเฝิงเหล่าซื่อดังก้องอยู่กลางม่านราตรี
ฟู่ถิงจวินรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ
ห้าหมื่นตำลึงเงิน…ท่านน้าซึ่งถูกเรียกขานว่าคหบดีอันดับหนึ่งของเว่ยหนานยังมีทรัพย์สมบัติแค่ห้าหมื่นตำลึง นี่ยังต้องนับรวมเรือนชานบ้านช่อง ไร่นาสาโท และร้านค้า เงินรางวัลก้อนโตอย่างนี้จะมีสักกี่คนที่จิตใจไม่สั่นคลอนเล่า
ภายในลานกว้างมีเสียงม้าร้องอย่างกระสับกระส่าย เสียงอาวุธกระทบกันเคร้งคร้างบาดหู เสียงตะคอกกระโชกโฮกฮากยามบุรุษต่อสู้กันดังประสานกันอึงคะนึงกระหน่ำใส่โสตประสาทพร้อมกัน ทำให้หญิงสาวหวาดกลัวและไม่คุ้นเคย
ฟู่ถิงจวินประนมมือ สวดมนต์อ้อนวอนเสียงงึมงำอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าน้อยฟู่ถิงจวิน ขอให้พระโพธิสัตว์ทรงคุ้มครองให้ท่านเก้าแคล้วคลาดปลอดภัย…” ในใจนางยังบอกตนเองไม่หยุดว่าท่านเก้าจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน เขาเก่งกาจปานนั้น จากหวาอินมาถึงเว่ยหนาน จากเว่ยหนานมาถึงหลินถง ประสบความลำบากยากเข็ญมากมายอย่างนั้น เขายังพาทุกคนฝ่าข้ามมาได้ด้วยกัน คราครั้งนี้จะต้องไม่เป็นอะไรเช่นกัน
เสียงสวดมนต์อ้อนวอนด้วยความพรั่นพรึงอับจนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายเยือกเย็น
เสียงเอะอะเอ็ดตะโรด้านนอกก็เงียบลงอย่างช้าๆ
บางคราวยังได้ยินเสียงร้องของอาชากับเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของบุรุษ
รู้ผลแพ้ชนะแล้วหรือ
ฟู่ถิงจวินใจเต้นไม่เป็นส่ำ เงี่ยหูตั้งใจฟัง
มีบุรุษส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “จ้าวจิ่ว เจ้าดูสิว่าไอ้ลูกสุนัขในมือข้าเป็นใคร”
เป็นเสียงของเฝิงเหล่าซื่อผู้นั้น
พวกนางมีกันแค่สามคน นางอยู่ในนี้…เช่นนั้น อีกคนหนึ่งนั่นก็ต้องเป็นอาเซิน
ฟู่ถิงจวินลนลานขึ้นมา คลำเจอรูแตกบนตุ่มน้ำได้ก็คิดจะมองลอดออกไป เผอิญรูนั้นอยู่ต่ำเกินไป จะก้มตัวแค่ไหนก็ไม่ถึง บันดาลให้นางว้าวุ่นร้อนรุ่มใจ
เฝิงเหล่าซื่อผู้นั้นจะทำอะไรกับอาเซินกันแน่
ท่านเก้าจะตีมุสิกก็เกรงข้าวของแตกหัก แล้วจะพลิกกลับเป็นฝ่ายปราชัยหรือไม่
“เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเหลือทางรอดให้เจ้าสักสาย” เสียงเย็นเยียบระคนเหี้ยมเกรียมจางๆ ของท่านเก้าดังขึ้นข้างหู “ตอนนี้เห็นทีว่าไม่จำเป็นแล้ว!”
นางไม่เคยได้ยินท่านเก้าเอ่ยวาจาด้วยสุ้มเสียงเช่นนี้มาก่อน อดหนาวสะท้านเยือกหนึ่งมิได้
“ฮ่าๆๆ” เฝิงเหล่าซื่อกลับหัวเราะเสียงดังอย่างโอหังราวกับได้ยินเรื่องน่าขบขันจนท้องคัดท้องแข็งอะไร “เจ้าสังหารลูกน้องมือดีของข้าไปหมดแล้วค่อยเหลือทางรอดให้ข้าสายหนึ่ง?” เสียงของเขาเจือความชิงชัง “ท่านสี่สกุลเฝิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งซีเป่ย ไม่เหลือลูกน้องที่เชื่อมือได้ เช่นนั้นยังเป็นเฝิงเหล่าซื่ออีกหรือ เจ้านึกว่าข้าเป็นเด็กอมมือหรือไร” น้ำเสียงเขาปวดร้าวเยี่ยงคนจนตรอกอย่างปิดไม่มิด “จ้าวจิ่ว วันนี้มิใช่เจ้ามอดม้วยก็เป็นข้ามรณา!”
“ท่านสี่ ท่านจะเสียเวลาพูดกับเขาอีกทำไม” มีเสียงชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้น “พวกเราฆ่าไอ้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อน จากนั้นค่อยฝ่าออกไป ผู้ใดขวางทางก็ฆ่าทิ้งซะ ท่านสามยังอยู่ในเมืองหลินถง ขอแค่พวกเราเข้าเมืองได้ ต่อให้จ้าวจิ่วมีสามเศียรหกกรก็ได้แต่มองตาปริบๆ”
ท่านเก้าซึ่งไม่ยังพูดสักคำ ทำเสียงแค่นเยาะ “ท่านสามสกุลเฝิง? เขาหมายจะเป็นประมุขตระกูลแทนที่ท่านสี่มาโดยตลอดมิใช่หรือ แล้วท่านสามกับท่านสี่หันหน้าจับมือกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่าข่าวลือตามท้องถนนในซีเป่ยล้วนเป็นความเท็จ”
รอบด้านตกอยู่ในความสงัดวิเวก ทุกสรรพเสียงในลานกว้างเงียบลงกะทันหัน แม้แต่ฟู่ถิงจวินซึ่งซ่อนอยู่ในตุ่มน้ำยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้ง
“เจ้าชื่อต้าหู่กระมัง” เสียงเรียบเรื่อยของท่านเก้าดังขึ้นอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านสี่ของพวกเจ้าถึงเสียเวลาพูดกับข้า ก็เพราะเขาอยากเจรจากับข้านะสิ อยากใช้ชีวิตเด็กรับใช้ผู้นี้ของข้าแลกกับชีวิตตน เจ้าอย่าคอยขัดแข้งขัดขาอยู่ด้านข้างเลย หากท่านสี่ของพวกเจ้าหนีออกไปได้แล้วค่อยใช้ตำแหน่งประมุขสกุลเฝิงเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับท่านสามอีกทีหนึ่ง ด้วยท่านสามเห็นแก่ความเป็นพี่น้องก็ไม่น่าจะปฏิเสธเป็นแน่ เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาคงรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ถ้าจบชีวิตลงที่นี่ก็ไม่มีแม้แต่โอกาสแล้ว!”
ถึงฟู่ถิงจวินไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราว กลับอดมิได้ที่จะลอบร้องชมท่านเก้าอยู่ในใจ
ในเมื่อท่านสามกับท่านสี่แห่งสกุลเฝิงกินแหนงแคลงใจกันอยู่อย่างนี้ ลูกน้องของพวกเขาทั้งคู่จะต้องเป็นเช่นน้ำกับไฟแน่นอน กระนั้นเฝิงเหล่าซื่อซึ่งเป็นถึงประมุขตระกูลยังกำราบเฝิงเหล่าซานไว้ไม่อยู่ เห็นได้ว่าเฝิงเหล่าซานผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน* ขณะนี้ตกอยู่ภาวะคับขัน คนของเฝิงเหล่าซื่อมุ่งแต่จะคุ้มครองเขาหนีรอดออกไป ย่อมดุดันเหี้ยมหาญผิดสามัญเป็นธรรมดา ทว่าท่านเก้ากลับยุแยงให้พวกเขาแตกคอกัน บอกว่าถ้าเฝิงเหล่าซื่อหนีกลับไปได้ก็จะใช้ตำแหน่งประมุขตระกูลไปประจบประแจงเฝิงเหล่าซานดุจสุนัขกระดิกหาง ส่วนเฝิงเหล่าซานก็อาจจะไว้ชีวิตเขาเพราะเห็นแก่ความผูกพันทางสายเลือด อีกทั้งบอกเป็นนัยๆ ว่าพวกเขาซึ่งเป็นลูกน้องของเฝิงเหล่าซื่อไม่แน่ว่าจะหนีพ้นการคิดบัญชีของเฝิงเหล่าซานไปได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาต้องหมดแก่ใจจะเสี่ยงตายคุ้มครองเฝิงเหล่าซื่อหลบหนี เพียงเท่านี้ก็จะทำให้พวกเขาแตกความสามัคคีกันได้สมความตั้งใจ
ดังคาด นางได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกันทันควัน
“จ้าวจิ่วเจ้าเล่ห์แสนกลมาแต่ไหนแต่ไร พวกเจ้าอย่าได้หลงกลเขา!” เฝิงเหล่าซื่อกล่าวเสียงดัง แต่น้ำเสียงไม่เฉียบขาดเฉกเมื่อครู่นี้
ไม่มีคนขานตอบเขา
“ดี ข้าจะสังหารไอ้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อน…” เฝิงเหล่าซื่อเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อ๊ะ!” ฟู่ถิงจวินร้องอุทาน นางระงับใจไม่อยู่ ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน ศีรษะกลับชนเข้ากับตุ่มน้ำดังโป๊ก เจ็บจนได้ยินแต่เสียงอื้ออึงในหู
ด้านนอกมีเสียงคำรามกราดเกรี้ยวของเฝิงเหล่าซื่อดังลอยมาอีก “จ้าวจิ่ว! เจ้าคนถ่อยต่ำช้า…” แต่แล้วคล้ายมีลมพัดกรูเข้าไปในปาก เขายังกล่าวไม่จบ เสียงก็เงียบหายไป หญิงสาวได้ยินเสียงครางเบาๆ ของท่านเก้ากับเสียงตะโกนแหลมสูงของอาเซิน “ท่านเก้า!”
ฟู่ถิงจวินเจ็บแปลบตรงกลางใจ นางไม่นำพาอะไรอีกต่อไป ออกแรงยกตุ่มน้ำขึ้นอย่างสุดชีวิต
ถึงอย่างไรท่านเก้าตายแล้ว นางก็ไม่รอดชีวิตเช่นกัน มิสู้ฉวยจังหวะให้ท่านเก้าซึ่งยังมีลมหายใจเฮือกหนึ่งเป็นคนลงมือสังหารนางด้วยตนเอง ยังดีเสียกว่าถูกคนพวกนั้นพบตัว นอกจากจะร้องขอความตายไม่ได้ยังจะต้องถูกข่มเหงย่ำยีอีก
“ท่านเก้าไว้ชีวิตด้วย…” เสียงโอดครวญหยุดชะงักกลางคันดังลอยมาเข้าหูของฟู่ถิงจวินประหนึ่งดังเสียงสวรรค์
นางรู้สึกราวกับว่าตนเองฟื้นคืนชีวิตใหม่ก็ไม่ปาน หัวใจเริ่มเต้นตุบๆ ร่างกายมีเรี่ยวแรงกำลังขึ้นมา
ในเมื่อท่านเก้ายังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ นางจะต้องไม่กลายเป็นภาระของเขาจึงจะถูก
ฟู่ถิงจวินขดตัวอยู่ในตุ่มน้ำนิ่งๆ ได้ยินเสียงจากภายนอกค่อยๆ เงียบซาลง มีเสียงร้องโหยหวนลอยมาเป็นบางครั้ง ดูเหมือนว่าไร้กำลังตอบโต้กลับได้แล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มีคนเคาะตุ่มน้ำ “แม่นางฟู่!”
เป็นเสียงของท่านเก้า!
“ข้าอยู่ในนี้!” นางกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี
ตุ่มน้ำถูกยกแง้มขึ้น
แสงตะวันเรื่อๆ จับขอบฟ้าแล้ว
ชายหนุ่มเสมือนดั่งขุนเขาสูงตระหง่านมั่นคง ยืนเพ่งมองนางอยู่ตรงนั้นอย่างสุขุมเยือกเย็น ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของนางสงบลงได้
“ท่านเก้า!” ด้วยขดตัวอยู่ตุ่มน้ำนานเกินไป นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืน
ปลายจมูกได้แต่กลิ่นคาวโลหิตน่าคลื่นเหียน ครั้นหางตาชำเลืองเห็นศพหัวขาดศพหนึ่ง ฟู่ถิงจวินก้มตัวอาเจียนอย่างกลั้นไม่อยู่
ท่านเก้าถอนใจเฮือกหนึ่ง “อาเซินได้รับบาดเจ็บ พวกเรารีบเก็บข้าวของไปจากที่นี่เถอะ”
ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วรู้สึกคลับคล้ายว่าอาการพะอืดพะอมตรงกลางอกไม่ยากจะทานทนอย่างนั้นแล้ว
นางยืดตัวตรงทันใด ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “อาเซินอยู่ที่ใด”
ในดวงตาท่านเก้าเผยแววยิ้มรางๆ เขาชี้ไปที่รถเข็นไม้ซึ่งจอดอยู่หน้าประตู อาเซินนอนนิ่งๆ อยู่บนนั้น
ฟู่ถิงจวินวิ่งถลาเข้าไป
“อาเซินๆ!” นางจับมือของเด็กน้อยพลางร้องเรียกเขาเสียงนุ่ม “เจ้าอยากดื่มน้ำสักหน่อยไหม…ข้ายังเก็บไข่ต้มไว้ฟองหนึ่ง…”
อาเซินถูกตีจนหน้าบวมไปครึ่งซีก ขอบตาเขียว แก้มฟกช้ำ ปากบวมแดงจนนางเกือบจำหน้าเขาไม่ได้
“อาเซิน!” หญิงสาวน้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย
อาเซินลืมตาขึ้นแล้วกะพริบตาสองสามที สีหน้าเขาเลื่อนลอย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงทำหน้ารับรู้เหมือนว่าเพิ่งเห็นคนตรงหน้าชัดถนัดตาว่าเป็นใคร
เขาฉีกยิ้มแต่กระเทือนถูกแผลจนต้องขมวดคิ้วแน่น กระนั้นยังคงพูดอ้อมแอ้มขึ้น “แม่นาง พวกเขาตีข้า ข้าไม่ร้องสักแอะเลยนะ!” เด็กน้อยออกเสียงไม่ชัดอยู่บ้าง
“อื้อๆๆ!” ฟู่ถิงจวินพยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้าที่มีหยดน้ำตาเกาะอยู่ประดับด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ถ้าไม่ใช่อาเซิน ท่านเก้าต้องเอาชนะเฝิงเหล่าซื่อผู้นั้นไม่ได้แน่นอน”
อาเซินส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าทำให้ท่านเก้าเดือดร้อน…”
นางหวนนึกถึงตอนที่ตนเองตกลงมาจากต้นไม้ พอขยับศีรษะก็มึนงง จึงรีบพูดขึ้น “อย่าขยับ เจ้าหลับตาพักผ่อนสักครู่ก่อนนะ” จากนั้นคิดขึ้นได้ว่าคนพวกนั้นดุร้ายปานนั้น จะต้องไม่ตบหน้าอาเซินอย่างเดียวเป็นแน่ “เจ้ายังบาดเจ็บตรงไหนอีกบ้าง ข้า…” นางพูดต่อไม่ออก
ไม่มียา นางจะทำอย่างไรได้
ท่านเก้าเป็นศัตรูกับตระกูลเฝิงทว่ามีกำลังคนน้อยนิด แล้วเฝิงเหล่าซานผู้นั้นยังอยู่ในหลินถง จะไปหาหมอที่นั่นก็ไม่ได้อีก…พอคิดถึงตรงนี้ นางอดคอตกมิได้
“อาเซินมีแต่บาดแผลภายนอกเท่านั้น” เสียงราบเรียบของท่านเก้าดังขึ้นข้างหลัง “พวกท่านกรอกน้ำเกลืออ่อนๆ ไว้มิใช่หรือ เอามาใช้ล้างแผลให้เขาก็พอ เมื่อครู่มืดมิดไม่มีแสงไฟ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามากันกี่คน แล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนหนีรอดไปได้หรือไม่ พวกเราต้องรีบเร่งไปจากที่นี่ประเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่ถูกคนของเฝิงเหล่าซานปิดล้อมอยู่ที่นี่”
ฟู่ถิงจวินมองเขาอย่างตะลึงลาน “ไหนท่านบอกว่าเฝิงเหล่าซานกับเฝิงเหล่าซื่อไม่ลงรอยกันมิใช่หรือ” นางเพิ่งพบว่าบนตัวท่านเก้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด อาบย้อมอาภรณ์จนมองสีเดิมไม่ออกแต่แรก
ความรู้สึกพะอืดพะอมพลุ่งขึ้นกลางอกอีกครั้ง
ฟู่ถิงจวินฝืนทนไว้ถึงไม่อาเจียน
“ถึงจะไม่ลงรอยสักเพียงใดก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน” ท่านเก้ากล่าว “อันใดที่พึงแสดงให้ผู้อื่นเห็นก็ต้องแสร้งทำพอเป็นพิธี”
“อ้อ” ฟู่ถิงจวินส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านไปผลัดอาภรณ์เถอะ…มี…มีแต่เลือดเต็มไปหมด”
ท่านเก้าไม่พูดอะไร หยิบเสื้อคลุมสั้นสีดำตัวหนึ่งในห่อสัมภาระออกมาแล้วเข้าไปในห้อง
ในเวลานี้ฟู่ถิงจวินเพิ่งพบว่ามีซากศพนอนระเกะระกะอยู่ทั่วทั้งลานกว้าง แม้แต่แดนอเวจีในความฝันยังไม่นองเลือดแบบนี้ ไม่สิ นางไม่เคยฝันถึงแดนอเวจีต่างหาก
นางตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย ในใจรู้ดีว่าสมควรเก็บของแล้วรีบจากไปที่นี่ แต่แขนขาอ่อนแรงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว
“ไฉนยังไม่เก็บของ” ท่านเก้าสาวเท้าออกมา สีหน้ามึนตึงขึ้นทีละน้อย เขาโยนเสื้อเปื้อนเลือดที่ผลัดออกมาทิ้งไว้ในลานกว้างแล้วยกของขึ้นรถเข็นไม้เงียบๆ
“ขึ้นมานั่ง!” สุ้มเสียงของเขาราบเรียบแข็งกระด้างเหมือนเมื่อแรกพบกันที่อารามปี้อวิ๋น “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
ไม่รู้เพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกเสียใจมาก
ทั้งๆ ที่เขาก็ยิ้มเป็น ทำไมต้องชักสีหน้าใส่นางอยู่ร่ำไป
นางกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองตาเขาตรงๆ “ข้ารู้ว่าถ้าท่านเก้าไม่สังหารพวกเขา พวกเขาก็จะสังหารพวกเรา ข้า…ข้าแค่ไม่คุ้นเคย…” จู่ๆ ขอบตาก็มีน้ำตารื้นขึ้น