ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง
บทที่เก้า
รถเข็นไม้เคลื่อนโขยกเขยกออกจากหมู่บ้าน
ฟู่ถิงจวินเม้มปากแน่นเดินตามหลังท่านเก้า
อาเซินสลบไสลไม่ได้สติ นางไม่ฟังเสียงค้านของท่านเก้า สละที่บนรถเข็นให้อาเซิน
“ถ้าเดินไม่ไหวแล้วก็บอกข้าสักคำ” ท่านเก้าเหยียดแผ่นหลังตรงเดินอยู่ข้างหน้า เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ โดยไม่หันหน้ามา “เกิดเท้าพอง ข้ายังต้องดูแลท่านอีก”
ฟู่ถิงจวินไม่พูดไม่จา
หลังจากทำน้ำตาร่วงเผาะๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ต่อหน้าเขาเมื่อครู่นี้ นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่สนใจท่านเก้าอีกต่อไป
ถึงอย่างไรในสายตาเขามักเห็นนางเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ผิวบางที่ถูกตามใจมาแต่เยาว์วัย แล้วนางจะพูดมากไปไย
อีกประการหนึ่ง ในเมื่อเขารับปากว่าจะพานางไปเมืองซีอานก็จะต้องทำตามนั้นแน่นอน นางไม่มีอะไรน่ากังวลใจ
หางตานางเหลือบมองไปทางต้นไม้เก่าแก่ซึ่งยืนต้นแห้งตายตรงปากทางหมู่บ้านต้นนั้น กลับแลเห็นบุรุษผิวหน้าสีดำแดงที่เมื่อวานตามหลังพวกนางเข้าไปในหมู่บ้านคนนั้นกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้แอบดูอยู่
ฟู่ถิงจวินชะลอฝีเท้าลงอย่างประหลาดใจ
เมื่อวานมีเสียงต่อสู้ดังครึกโครมขนาดนั้น โดยปกติไม่ว่าเป็นใครล้วนต้องซ่อนตัวไว้ก่อนแล้วค่อยฉวยโอกาสตอนพวกนางยังไม่ออกมารีบเร่งหลบหนีถึงจะถูก คนตั้งมากขนาดนั้นยังรุมโจมตีท่านเก้าไม่สำเร็จ หรือเขาไม่กลัวถูกฆ่าปิดปาก
หรือว่าเขามิใช่ชาวบ้านทั่วไป!
ฟู่ถิงจวินกำลังตรึกตรองว่าจะส่งสัญญาณบอกให้ท่านเก้ารู้อย่างไรดี เขาก็หันขวับกลับมา “เป็นอะไรไป”
อย่างกับมีตาหลังกระนั้น!
นางค่อนขอดในใจแล้วชี้ไปที่ต้นไม้เก่าแก่
พอบุรุษคนนั้นพบว่าฟู่ถิงจวินชี้มาที่ตนเอง ก็อุ้มเด็กไว้แล้วสาวเท้าวิ่งอย่างลุกลี้ลุกลน!
น่าเสียดายที่ในช่วงภัยแล้ง ทุ่งนาไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสักต้น ส่งผลให้เขาไม่มีที่ซ่อนตัว ถูกถุงหนังเปล่าที่ท่านเก้าขว้างออกไปกระแทกเข้าที่ขาจนเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นดังตึง ทำให้เด็กน้อยหกล้มตามไปด้วย เด็กส่งเสียงร้องไห้จ้า
บุรุษผู้นั้นตะกายลุกขึ้นมาได้ก็คุกเข่า จากนั้นเดินเข่าพรวดๆ ไปตรงหน้าท่านเก้า “ไว้ชีวิตด้วย…ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย…นายท่านไว้ชีวิตด้วย…”
เห็นท่านเก้าก็ร้องขอชีวิต ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเรื่องของเฝิงเหล่าซื่อเกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคน
ประกายเย็นเยียบจุดวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม พอเขากำหมัด รอบตัวบังเกิดกระแสปราณสายหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นหยั่งรู้ถึงอันตรายได้ล่วงหน้าโดยสัญชาตญาณ คว้าตัวเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมแขน “นายท่านๆ ข้ามิได้มีเจตนาร้ายใด…เพียงเห็นนายท่านมีฝีมือสูงส่ง คนเดียวสู้กับคนเจ็ดแปดคนได้อย่างไม่คณามือ จึงอยากติดตามอยู่ด้านหลังขออาศัยบารมีท่านเท่านั้น!” เขาคุกเข่าร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพร้อมกับโขกศีรษะดังตุบๆ “คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับคนโฉดกลุ่มนั้น…พวกข้ามิได้เจตนาจริงๆ”
ท่านเก้าคลายหมัดออก แต่เงื้อเท้าถีบไปที่หัวไหล่เขา “คนที่โกหกข้าได้ ใต้หล้านี้มีอยู่ไม่กี่คน!”
ฟู่ถิงจวินตกตะลึง อดอุทานเบาๆ มิได้
บุรุษผู้นั้นหงายหลังล้มลงกับพื้น
เด็กน้อยตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยความตกใจ
“ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วยๆ…” บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าสะพรึงกลัวเต็มเปี่ยม เขาตะกายลุกขึ้นมาคุกเข่าตรงหน้าท่านเก้าอีกครั้ง “สิ่งที่ข้าพูดเป็นความสัตย์จริง…ข้าเป็นคนของคฤหาสน์สกุลหวังในเว่ยหนาน ข้ากับพี่น้องสกุลเดียวกันสองสามคนกำลังบ่ายหน้าไปขอพึ่งพาน้าเขยที่เมืองซีอาน แต่ถูกพวกคนเร่ร่อนปล้นชิงในตอนกลางคืน เลยพลัดหลงกับพวกพี่น้อง เสบียงอาหารก็ถูกแย่งไป ข้าหมดทางเลือกจำต้องติดตามอยู่ข้างหลังพวกท่าน หมายจะขอปันอาหารจากแม่นางน้อยท่านนี้ ถึงได้ตามพวกท่านมาตลอด…” เขาพูดพลางชำเลืองมองฟู่ถิงจวินแวบหนึ่งด้วยสีหน้าลนลาน
“ฉะนั้นพอพบกับพวกที่คล้ายโจรป่ากลุ่มหนึ่ง พวกเจ้านึกว่าพวกมันจะชิงเสบียง เลยกลัวว่าจะโดนพวกมันสังหารทิ้งเมื่อพบว่าพวกเจ้าไม่มีอาหาร?” ท่านเก้าแค่นเยาะ ใบหน้าแฝงรอยเย้ยหยันหลายส่วน “เจ้าก็เลยบอกคนกลุ่มนั้นว่ายังมีคนพักแรมอยู่ในหมู่บ้านนี้ และมีเสบียงอาหารติดตัวมามากมาย…”
บุรุษผู้นั้นหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดโตไหลซึมลงมาจากหน้าผาก “ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วยๆ…” น้ำเสียงเขาแหบโหยโรยแรง
ฟู่ถิงจวินเพิ่งกระจ่างแจ้งในตอนนี้
ที่แท้สาเหตุที่เฝิงเหล่าซื่อไล่ตามมาทันได้ ล้วนเป็นเพราะบุรุษผู้นี้
พอนึกถึงว่าเขายังคิดจะขอปันอาหารจากนางอีก หรือว่าหน้าตานางเหมือนคนหลอกง่ายปานนั้น
ฟู่ถิงจวินโมโหจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน
“ท่านเก้า รีบเดินทางต่อเถอะ!” นางลืมเลือนความตั้งใจแน่วแน่เมื่อครู่นี้ไปจนสิ้น “พวกเรายังต้องหาที่หยุดพักดูอาการให้อาเซินอีกนะ!”
หางตาของท่านเก้ากระตุกเบาๆ
“ได้!” เขาหมุนกายออกเดินไป
ฟู่ถิงจวินก้าวฉับๆ ตามไป
เดินไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ นางก็อุทานขึ้น “เอ๊ะ…ท่านเก้า ผู้ชายคนนั้นคงมิได้โกหกพวกเรากระมัง ไม่อย่างนั้นเหตุไฉนเขาไม่หนีไปล่ะ”
“มิใช่!” สุ้มเสียงของท่านเก้าไม่เร็วไม่ช้า ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นมั่นคงชวนให้สบายใจอย่างยิ่งยวด “แค่คิดว่าตรงหน้าประตูเรือนยังมีม้าตายหลายตัวใช้เป็นอาหารได้ ดีไม่ดีในกองศพนั่นอาจจะเจอของมีค่าบ้าง…” กล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดเว้นจังหวะ “ต่อให้เขาโกหกพวกเรา ข้าได้พิศดูหน้าตาเด็กผู้ชายคนนั้น มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงเขาหกเจ็ดส่วน มารดาเขาก็จากไปแล้ว ถ้าบิดาตายไปอีกคน ต่อจากนี้จะพึ่งพิงผู้ใดได้ หากเด็กคนนี้ต้องเป็นกำพร้า เกรงว่าคงมีแต่ตายสถานเดียว” เขาเอ่ยแล้วพลันหัวเราะเบาๆ “ท่านคงไม่คิดจะให้ข้ารับเด็กคนนี้มาเลี้ยงดูกระมัง ข้าเป็นศัตรูที่สังหารมารดาไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ อีกทั้งข้ายังไม่ใจกว้างพอจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งที่จะชิงชังข้าเข้ากระดูกดำในภายภาคหน้าอีกด้วย!”
“หยุดรถ!” ฟู่ถิงจวินทำหน้าตึง ดึงรั้งรถเข็นไม้ไว้ “ข้าเจ็บขา จะนั่งรถเข็น”
ท่านเก้านิ่งงันไป
หญิงสาวเห็นแล้วอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง นางนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนรถเข็นไม้ ซ้ำยังจับผ้าคลุมผมให้เข้าที่
ท่านเก้าเริ่มเข็นรถเข็นไม้ต่อไปอย่างจนปัญญา
ตอนแรกพวกเขาอยู่บนทางดินลูกรังนอกหมู่บ้าน จากนั้นเลี้ยวเข้าทางดินลูกรังอีกเส้นหนึ่ง ตรงไปตามทางอีกเล็กน้อยแล้วก็เลี้ยวเข้าทางดินลูกรังอีกเส้นหนึ่ง หลังจากเลี้ยวซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ ไม่นานนักฟู่ถิงจวินก็หลงทิศทาง
ในที่สุดรถเข็นไม้หยุดลงตรงหน้าศาลเจ้าประจำเมืองขนาดไม่ใหญ่นักหลังหนึ่ง
“อยู่ที่นี่ดูบาดแผลให้อาเซินก่อน” ท่านเก้าพูดแล้วอุ้มอาเซินเข้าไปข้างใน
เขาต้องคุ้นเคยกับหลินถงแน่ หาไม่แล้วไฉนถึงรู้ว่าที่นี่มีศาลเจ้าประจำเมืองอยู่
ฟู่ถิงจวินรำพึงอยู่ในใจขณะเดินตามเข้าไป
ม่านกั้น กระถางธูป และข้าวของอื่นๆ ในศาลเจ้าล้วนสูญหายไปหมดแล้ว บนพื้นมีเศษสิ่งสกปรกทุกซอกทุกมุม ส่งกลิ่นเหม็นสาบโชยมาระลอกหนึ่ง มองออกได้ว่าเคยมีคนพำนักอยู่ในนี้เป็นเวลาระยะหนึ่ง
ท่านเก้าวางตัวอาเซินบนแท่นบูชา ส่วนฟู่ถิงจวินหยิบถุงหนังที่บรรจุน้ำเกลืออ่อนๆ ออกมายื่นส่งให้เขาช่วยชำระกายให้อาเซิน
ไม่ว่าอย่างไรอาเซินก็เป็นบุรุษ ฟู่ถิงจวินจึงเดินเลี่ยงออกไป
ไม่ไกลจากศาลเจ้าประจำเมืองนักเป็นลำธารแห้งขอดสายหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านซึ่งมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายแน่นขนัด แต่กลับเงียบสงัด
นางยืนทอดถอนใจอยู่บนบันไดหน้าประตูศาลเจ้า คิดถึงน้าชายกับน้าสะใภ้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ท่านแม่ยังไม่รู้ข่าวเป็นแน่…รอเมื่อข่าวแพร่ไปถึงหวาอิน ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเสียใจสักเพียงใด
นางยังมีน้าหญิงอีกคนหนึ่งที่ออกเรือนไปที่อำเภอฮู่ แต่เสียชีวิตไปนานแล้ว
ท่านแม่ไม่หลงเหลือพี่น้องสายเลือดเดียวกันบนโลกนี้อีกแล้ว
แล้วยังเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นกับนาง…
จิตใจของฟู่ถิงจวินแปรเปลี่ยนเป็นสลดหดหู่เหลือเกิน
นางยืนเพียงลำพังนานพักใหญ่ ทั้งยังระงับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างช้าๆ
ช่างเถิด เลิกคิดเรื่องพวกนี้ดีกว่า…มีชีวิตรอดมาได้ก็ไม่เลวแล้ว
ขณะที่นางยืดตัวตรงผ่อนลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง กลับมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าผ่านทางหมู่บ้านไป
ในช่วงทุพภิกขภัยที่ทุกคนไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ยังมีปัญญาเลี้ยงม้าได้…
“ท่านเก้าๆ!” ฟู่ถิงจวินร้องเรียกอย่างแตกตื่นพอดู “ท่านออกมาดูเร็วเข้า!”
ไม่ทันสิ้นเสียงนาง ท่านเก้ามาปรากฏตัวข้างกายแล้ว
เขามองปราดเดียวก็ทำสีหน้าหนักใจ
“หรือว่าเป็นคนของสกุลเฝิง” ในหัวฟู่ถิงจวินแจ่มกระจ่างขึ้นมาในเสี้ยวเวลาชั่วแล่น
“อืม” ท่านเก้าส่งเสียงตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านกับอาเซินอยู่ที่นี่อย่าได้ไปเพ่นพ่านที่ไหน ข้าจะไปดูก่อน!”
ได้ข่าวรวดเร็วถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าสกุลเฝิงนี้มิใช่ธรรมดาเลย
“อันตรายเกินไป!” ฟู่ถิงจวินดึงชายเสื้อเขาไว้ “พวกเราหลบก่อนดีกว่า!” นางอยากพูดว่า ‘หนี’ แต่กลัวจะหยามศักดิ์ศรีท่านเก้า
สายตาของชายหนุ่มหยุดอยู่ที่มือซึ่งดึงชายเสื้อเขาไว้คู่นั้น
ขาวผ่อง นุ่มนิ่ม นวลเนียนดุจแกะสลักจากหยกขาว ท่วงท่าตอนคว้าชายเสื้อเขาไว้ ละม้ายกำลังคว้าว่าวที่จะลอยปลิวไปตามลมก็ไม่ปาน
ฟู่ถิงจวินสังเกตเห็นเขามองดูมือของตนเองถึงรู้ตัวว่าเสียกิริยาไป ลุกลนชักมือกลับราวกับถูกไฟลวก
ท่านเก้าแลดูชายเสื้อที่ปลิวไสวกลางลม พลันรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าตรงกลางอก
เขานิ่งขึงไป ก่อนจะระงับจิตใจอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่ไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักต้น จะหลบไปอยู่ที่ไหนได้” ท่านเก้ากล่าว “แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกตามล่าต้องเปลี่ยนที่ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ มิสู้ออกไปประจันหน้าดวลกันให้รู้ดำรู้แดง มีบางคราวท่านต้องเล่นงานอีกฝ่ายให้หนักหน่วง เขาถึงจะหลาบจำ”
“ท่านจะต่อสู้กับคนของสกุลเฝิง?” การตัดสินใจของเขาทำให้ฟู่ถิงจวินตะลึงพรึงเพริดจนลืมเลือนความเขินอายเมื่อครู่นี้ไป ความคิดในหัวนางแล่นเร็วรี่ “ท่านบอกว่าเฝิงเหล่าซานกับเฝิงเหล่าซื่อขัดแย้งกันอยู่มิใช่หรือ ถ้าเฝิงเหล่าซานรู้ว่าเฝิงเหล่าซื่อตายแล้ว การสะสางความแค้นอะไรก็ตามคงทำพอเป็นพิธีเท่านั้นกระมัง! ท่านคิดหาหนทางนั่งลงพูดจากับเฝิงเหล่าซานจะดีกว่า ทุกคนเล่นละครสักฉากให้คนภายนอกดูเป็นอันสิ้นเรื่อง!”
นัยน์ตาของท่านเก้าฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่งจางๆ ขณะพูดอย่างตรึกตรอง “ข้าก็คิดจะไปพบหน้าเฝิงเหล่าซานพอดี จะได้สะสางปมนี้เป็นการตัดปัญหาให้สิ้นซากในคราวเดียวกันไปเลย” เขากล่าวต่อท้าย “ท่านรออยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าไปครู่เดียวก็จะกลับมา”
ฟู่ถิงจวินรีบเอ่ย “ท่านเก้าวางใจได้ ข้าจะอยู่ที่นี่เฉยๆ ท่านไม่ต้องพะวักพะวน สนใจแต่เรื่องของท่านก็พอ”
ชายหนุ่มเพียงรู้สึกว่าถ้อยคำนี้เหมาะใจอย่างยิ่งยวด เขานิ่งคิดแล้วล้วงกริชฝักหนังฉลามออกมาจากรถเข็นไม้ “เก็บไว้ป้องกันตัว” ว่าแล้วก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
หญิงสาวคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีสิ่งนี้ติดตัวด้วย
กริชหนักอึ้ง ฟู่ถิงจวินกุมมันแนบอก ในใจหวาดกลัวเล็กน้อย
นับแต่ออกมาจากหวาอิน ไม่อาเซินก็ท่านเก้าต้องอยู่ข้างกายนางเสมอ
ดังคำว่า ‘ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวแต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น’* ถ้ามีคนบุกเข้ามา นางจะทำอย่างไรดี
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของนางจับไปที่กริช
ด้ามของกริชใช้ผ้าแถบสีดำแดงพันไว้ ทว่าสีของมันค่อนข้างซีดจางดูเก่าคร่ำคร่าไปบ้าง
หรือว่าเป็นของคู่กายท่านเก้า
นางอยากดูว่ากริชคมกริบมากหรือไม่
ผู้ใดจะรู้ว่ามันคล้ายประกบติดเป็นเนื้อเดียวกับฝัก ดึงอย่างไรก็ไม่ออก
หรือจะเป็นของปลอม? ท่านเก้าแค่เอามาทำให้นางอุ่นใจเท่านั้น
ไม่น่าจะใช่กระมัง
หากมีคนบุกเข้ามาจริงๆ นางมิกลายเป็นเนื้อบนเขียงหรือไร!
จะต้องเป็นเพราะตนเองแรงน้อยเกินไปแน่นอน
นางลองสารพัดวิธีก็แล้ว ยังดึงกริชไม่ออกอยู่จนแล้วจนรอด
ฟู่ถิงจวินยัดกริชเข้าไปในรถเข็นไม้ด้วยท่าทางเนือยๆ ตอนมีคนบุกเข้ามาจริงๆ จะได้ไม่เล่นงานนางเพราะเข้าใจผิดคิดว่านางมีอาวุธป้องกันตัว ให้นางเจียมเนื้อเจียมตนเป็นสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้น่ะดีแล้ว
นางเข้าไปในศาลเจ้าดูอาเซิน
อาเซินหลับสนิทมาก หน้าผากก็ไม่ร้อนแล้ว
ฟู่ถิงจวินคลายใจลงได้ นางยืนพิงประตูศาลเจ้ารอคอยท่านเก้า
จวบจนพลบค่ำ เขาถึงปรากฏกายขึ้นที่ศาลเจ้าประจำเมือง
นางเข้าไปหาเขา “ท่านเก้า เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านเก้ามีเหงื่อออกเต็มหน้า ปากซีดเล็กน้อย ดูราวเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งมาเป็นเวลานาน
“วันนี้ยามเย็นพวกเราจะออกจากหลินถงทางถนนหลวง” เขาผลิยิ้มน้อยๆ สีหน้าอ่อนโยน “เฝิงเหล่าซานจะเรียกชุมนุมผู้อาวุโสในตระกูลมาหารือเรื่องของเฝิงเหล่าซื่อตอนเย็น ทำให้มีข้ออ้างนี้ดึงตัวคนของสกุลเฝิงกลับรังเก่าได้พอดี”
ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “พูดเช่นนี้ เฝิงเหล่าซานให้เวลาพวกเราหนึ่งคืนเพื่อไปจากหลินถงหรือ” กล่าวจบนางก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก “เวลาคืนเดียว พวกเราจะออกจากเขตหลินถงได้ไหม” เรียวคิ้วที่เส้นขนเรียงสวยดุจขนนกขมวดเข้าหากัน
ท่านเก้ามองนางพลางคลายยิ้มบางๆ “ถ้าจากที่นี่มุ่งหน้าตรงไปเมืองซีอานย่อมไม่ได้แน่นอน” ใบหน้าเขาฉายแววมีเล่ห์เหลี่ยมวาบผ่านไป “แต่พวกเราลงใต้ได้!”
“ลงใต้?” ฟู่ถิงจวินเบิกตากว้าง
“ใช่ ลงใต้” เขาทำหน้ามั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม “จากที่นี่ลงไปทางทิศใต้แค่ห้าสิบกว่าลี้ก็จะถึงหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ในอำเภอหลันเถียน พวกเราจะไปเมืองซีอานผ่านทางหลันเถียน”
นางแจ่มแจ้งในบัดดล “เฝิงเหล่าซานเพียงบอกให้พวกเราออกจากหลินถงในราตรีนี้ แต่มิได้พูดเจาะจงว่าพวกเราต้องไปเมืองซีอานเท่านั้นนี่!” ดวงตาคู่โตของนางโค้งเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว “ท่านเก้า ท่านเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”
ใบหน้าอมยิ้มของท่านเก้าคลับคล้ายจะแข็งทื่อไปในชั่วพริบตา
ฟู่ถิงจวินนิ่งงันไป จากนั้นฉุกคิดขึ้นได้ว่าดูเหมือนคำว่าเจ้าเล่ห์มิได้เป็นคำชมผู้อื่นสักเท่าไหร่ ควรจะพูดว่าฉลาดจึงจะถูก แต่จะเอ่ยแก้ในเวลานี้มิเป็นการกินปูนร้อนท้องอย่างนั้นหรือ กลับจะทำให้เขาเข้าใจผิด!
นางคลี่ยิ้มอย่างเก้อกระดาก ลุกลนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านเก้า จากหลันเถียนไปเมืองซีอานต้องเดินทางอ้อมหลายลี้หรือไม่ แล้วต้องจัดแบ่งน้ำกับเสบียงใหม่หรือไม่”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น” สีหน้าท่านเก้าดูคล้ายจะละมุนลงบ้าง “เมืองซีอานมีประตูเมืองสี่ด้าน พวกเราเปลี่ยนเส้นทางจากประตูหย่งหนิงไปยังประตูฉางเล่อเท่านั้น ถ้าจะเสียเวลาก็แค่คืนนี้คืนเดียว”
ค่อยยังชั่ว!
ไม่รู้ว่าหญิงสาวรู้สึกโชคดีที่ท่านเก้าไม่โมโหโทโส หรือว่านางเปลี่ยนเรื่องสนทนาได้ถูกต้อง
ฟู่ถิงจวินผ่อนลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเก้า เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยเถอะ”
“อืม!” ท่านเก้าพยักหน้า แต่มิได้ไปที่ศาลเจ้าทันที กลับพินิจดูนางแวบหนึ่ง “กริชที่ข้าให้ท่านไว้เล่า”
“อ๋อ” ฟู่ถิงจวินนึกขึ้นได้ รีบวิ่งไปหยิบกริชบนรถเข็นไม้ออกมายื่นให้ท่านเก้า “อยู่นี่!”
ท่านเก้าไม่รับไว้ เพียงตรึงสายตาอยู่ที่กริช “ไฉนท่านไม่พกติดตัว”
ฟู่ถิงจวินนึกอายอยู่บ้าง “ข้าใช้ไม่เป็น…”
เขารับกริชไปอย่างช้าๆ ใช้นิ้วโป้งกดตรงปากฝักทีหนึ่ง ใบมีดดีดขึ้นมาพ้นฝักท่อนหนึ่ง ใต้แสงแดดแรงกล้า มันเป็นสีเงินส่องประกายเจิดจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น
“เห็นชัดเจนแล้วนะ” เขากล่าวเนิบๆ แล้วเสียบกริชกลับเข้าฝักดังเดิม
แสงสว่างจ้าแยงตายังติดตาอยู่ ฟู่ถิงจวินมองไปทางไหนก็เห็นจุดแสงสีขาวสองจุดด้วย “เห็นชัดเจนแล้ว!”
ท่านเก้ายื่นกริชให้นาง “เก็บไว้ให้ดี!”
ฟู่ถิงจวินตะลึงงัน
นางจะเอาเจ้าสิ่งนี้ไปทำอะไร
หนักก็หนัก ทั้งยังไม่มีที่เก็บ เกิดหล่นหายไปก็ยุ่งน่ะสิ!
ขณะที่นางลังเลใจอยู่นี่เอง สีหน้าของท่านเก้าขรึมลงเล็กน้อย เขาเอากริชคืนแล้วยัดเข้าไปในรถเข็นไม้สุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปอุ้มอาเซินออกมา!”
เอ๊ะ!
ฟู่ถิงจวินมองตามหลังท่านเก้าไปอย่างฉงนสงสัย
เขาคงมิได้จะให้กริชกับนางกระมัง…
พอนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ นางเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
หากเป็นเช่นนี้ ท่าทางเมื่อครู่นี้ของนาง ออกจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป…
นางรื้อหากริชออกมาได้ก็สาวเท้าเร็วรี่ตามไป “ท่านเก้า ของสิ่งนี้มีค่าเกินไป ข้ากลัวทำหาย”
ท่านเก้าซึ่งกำลังก้มตัวลงตั้งท่าจะอุ้มอาเซินขึ้นมาชะงักไปน้อยๆ จากนั้นถึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นแล้วหมุนตัวไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ท่านเก้า!” นางประสานสายตากับเขาตรงๆ โดยไม่หลบหลีก “ข้าเห็นผ้าที่พันด้ามกริชไว้ล้วนลอกเป็นขุยๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้เห็นท่านพบเจออันตรายอะไรก็ไม่เคยหยิบออกมา เห็นทีว่าจะต้องเป็นของรักที่ติดตัวท่านมานานปี ยามนี้พวกเราระเหเร่ร่อนไปทุกที่ ถ้าสูญหายไปตอนอยู่ในมือข้า ข้าคงไม่สบายใจไปจนชั่วชีวิต” นางยื่นกริชให้ท่านเก้า “เช่นนั้นท่านเก็บไว้ดีๆ เถอะ!”
ดวงตาเรียวยาวของนางดำขลับแจ่มกระจ่างประหนึ่งลำธารใสจนมองเห็นถึงพื้นน้ำ ฉายแววจริงจังและจริงใจ
ท่านเก้าอดยิ้มมิได้
แต่ไรมานางเปิดเผยตรงไปตรงมา เป็นเขาต่างหากที่มีอคติกับนาง มักปรามาสน้ำใจนางเฉกคนใจแคบ เห็นได้ว่าหลายปีมานี้แม้เขาอายุมากขึ้น ทว่ามิได้ใจคอกว้างขวางขึ้นเลย
เขารับกริชไปด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง เอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ข้าใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง เช่นนั้นข้าจะเก็บกริชซ่อนไว้ใต้พื้นรถเข็น ยามท่านมีภัยค่อยหยิบออกมาใช้ก็แล้วกัน” เขาเอ่ยขันๆ “กลัวก็แต่ว่าท่านมีเรี่ยวแรงไม่พอ ไม่ทันได้ทำร้ายคนอื่นกลับทำตนเองบาดเจ็บเสียเอง”
หากเป็นในกาลก่อน ฟู่ถิงจวินได้ยินถ้อยคำแบบนี้จะต้องเห็นว่าท่านเก้าเยาะเย้ยนางเป็นแน่ แต่ครานี้ รอยยิ้มของเขาสดใสแฝงรอยสัพยอกจางๆ เหมือนพี่ชายที่ชอบหยอกล้อนางเป็นที่สุด ทุกคราที่อยู่กับนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกระเซ้านางสักสองสามคำถึงจะยอมเลิกราแต่โดยดี ทำให้นางรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเขา
นางคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
กลิ่นอายผ่อนคลายและชื่นบานลอยอวลอยู่รอบด้าน
ฟู่ถิงจวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เป็นแบบนี้ดีเหลือเกิน! ทำไมเขาต้องตีหน้าบึ้งอยู่เรื่อย ทำเอาทุกคนพากันตึงเครียดไปหมด
“ข้าไปช่วยปูเสื่อให้อาเซินนะ” นางออกนอกประตูไปด้วยรอยยิ้มละไม
มุมปากของท่านเก้าโค้งขึ้นอย่างเบิกบานใจ
พวกเขามุ่งลงใต้ในราตรีนั้น มีหมู่ดาวพร่างพรายเป็นเพื่อนตลอดทาง
ท่านเก้ากล่าวสำทับนาง “ถ้าเดินไม่ไหว อย่าได้ฝืนทนเป็นอันขาด!”
ฟู่ถิงจวินขานรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากเดินไปราวหนึ่งชั่วยาม เท้าของนางคล้ายถูกถ่วงด้วยหินก้อนโตมากขึ้นทุกที กระทั่งจะยกขึ้นยังรู้สึกกินแรง และเริ่มเจ็บที่ฝ่าเท้า
นางขึ้นไปบนรถเข็นไม้
ท่านเก้าเข็นให้พวกนางนั่ง ลมหายใจของเขาหอบถี่ไปบ้าง
“หรือไม่…ให้ข้าลงจากรถเข็นดีกว่า” ฟู่ถิงจวินสองจิตสองใจ
“ไม่ต้อง!” ท่านเก้าพูดเสียงกระหืดกระหอบ “ข้าอยากรุดไปให้ถึงหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ในคืนนี้เลย เช่นนี้ยังสามารถชดเชยเวลาที่เสียไปในวันนี้ได้ด้วย”
พรรคพวกของท่านเก้ารออยู่ที่เมืองซีอาน ฉะนั้นพวกเขาอยู่ใกล้ซีอานมากขึ้นเท่าใดก็ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ท่านเก้ารู้ดีแก่ใจ ฟู่ถิงจวินก็ไม่ต่างกัน ในสภาพการณ์เช่นนี้คำเกลี้ยกล่อมปลุกปลอบเหล่านั้นฟังดูทั้งไร้ผลและจนตรอก มิสู้ไม่พูดจะดีกว่า
นางปิดปากเงียบ ช่วยดูแลอาเซินไป
รอเมื่อแสงขาวปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า พวกเขาผ่านหมู่บ้านซย่าหลู่อวี้ไปแล้ว
ฟู่ถิงจวินยากจะเก็บงำความยินดีในใจ นางหยิบถุงหนังออกมาส่งให้ท่านเก้า “ท่านดื่มน้ำแล้วพักสักครู่เถอะ”
ท่านเก้าไม่ปฏิเสธ เขาจอดรถเข็นไม้ไว้ข้างทาง รับถุงหนังมายกกรอกใส่ปากหลายอึกใหญ่
ปกติมักดื่มจิบทีละน้อยๆ วันนี้กลับไม่กลัวสิ้นเปลืองเลย!
ฟู่ถิงจวินคิดคำนึงในใจพลางยื่นผ้าเช็ดเหงื่อผืนหนึ่งให้พร้อมรอยยิ้ม “ท่านเก้า เช็ดเหงื่อสิ” นางกลับพบว่าสีหน้าเขาขาวซีดอยู่สักหน่อย
การเดินทำให้คนหน้าแดงเหงื่อออก แต่ไม่เคยได้ยินว่าทำให้หน้าซีดมาก่อน…หรือว่าร่างกายเจ็บป่วย
ความคิดนี้ทำให้นางสะดุ้งเฮือกใหญ่ “ท่านเก้า ท่านคงไม่เป็นอะไรกระมัง” สายตานางมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ อย่างคลางแคลงใจอยู่บ้าง
“เหนื่อยนิดหน่อย” ท่านเก้าใช้ผ้าเช็ดเหงื่อแล้วกล่าวยิ้มๆ “ไม่ได้เร่งเดินทางทั้งคืนมานานมากแล้ว!”
อย่างนั้นหรือ?
แววกังขาในดวงตาของฟู่ถิงจวินทวีเพิ่มขึ้น
อาเซินพลันส่งเสียงครางออกมา
ฟู่ถิงจวินเอี้ยวตัวไปอย่างตื่นเต้นดีใจ “อาเซิน!”
อาเซินลืมตาขึ้น “ข้า…ข้าอยากดื่มน้ำ”
“ได้ๆๆ” ฟู่ถิงจวินขานตอบซ้ำๆ นางป้อนน้ำให้อาเซินดื่มแล้วปอกไข่ต้มที่มีอยู่ฟองเดียว “เก็บเอาไว้ให้เจ้า ขืนไม่กินอีกก็จะเสียแล้ว”
อาเซินยกมุมปากยิ้มได้ข้างเดียว จากนั้นกินไข่ต้มทีละคำ
สองสามคำผ่านไป ดูคล้ายเขาฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ผลักมือฟู่ถิงจวินออกแล้วหันซ้ายแลขวา “ท่านเก้าเล่า?”
“ข้าอยู่นี่!” ท่านเก้าเดินเข้ามา “เจ้าอย่าพูดให้มากนัก รักษาตัวให้หายไวๆ ข้าจะได้ไม่ต้องเข็นรถให้ทั้งแม่นางฟู่ทั้งเจ้าด้วย”
จริงๆ เลย เขาไม่รู้จักพูดแม้แต่คำปลอบใจสักคำ!
ฟู่ถิงจวินไม่มองเขาสักแวบ สนใจเพียงป้อนไข่ต้มใส่ปากอาเซิน “รีบกินสิ กินหมดแล้วจะได้ช่วยท่านเก้าเฝ้ายาม ท่านเก้าเข็นรถให้พวกเรานั่งแล้วเร่งเดินทางมาทั้งคืน สมควรให้เขาพักผ่อนได้แล้ว”
“เอ๊ะ!” อาเซินอ้าปากค้าง “ท่านเก้า บาดแผลของท่าน…”
บาดแผลอะไร
ฟู่ถิงจวินหันไปมองท่านเก้าอย่างตะลึงลาน
“ไม่เป็นอะไร!” เขากล่าวเสียงเรียบ “ดาบของเฝิงเหล่าซื่อฟันไม่โดนข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงล้มลงไปนานแล้ว!”
ทั้งคู่ต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียวกันโดยไม่พูดจา เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำพูดเขาสักกระผีก
ท่านเก้าดึงสาบเสื้อฝั่งซ้ายลงอย่างกะทันหัน
ฟู่ถิงจวินรีบปิดตาลง พร้อมกับถามอาเซิน “มีบาดแผลหรือไม่”
“ไม่มี!” อาเซินพูดด้วยความดีใจล้นเหลือ
“รีบกินซะ” ท่านเก้ากล่าวเสียงห้วนกระด้าง “ข้าจะพักสักครู่”
หญิงสาวกับเด็กน้อยสบตากันยิ้มๆ รอเมื่อท่านเก้านอนหลับอยู่ข้างรถเข็นไม้ ทั้งคู่พูดคุยกันเสียงเบาๆ พอรู้ว่าพวกเขาจะไปเมืองซีอานผ่านทางอำเภอหลันเถียน อาเซินพูดคำเดียวกับท่านเก้า “เพียงเปลี่ยนเส้นทางจากประตูหย่งหนิงไปยังประตูฉางเล่อเท่านั้น อีกสองสามวันพวกเราก็ถึงเมืองซีอานแล้ว”
ฟู่ถิงจวินนิ่งคิดในใจ สีหน้าฉายแววตรึกตรอง ไม่พูดคุยกับอาเซินเป็นนาน
ตกเย็นวันถัดมา พวกเขาหยุดพัก ณ ที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่าตำบลฉางซิ่ง
“พรุ่งนี้จะถึงตำบลเส้าหลิน” ท่านเก้าดูดีอกดีใจอยู่บ้าง นี่เป็นสีหน้าที่เห็นจากเขาได้ค่อนข้างยาก “มะรืนนี้พวกเราก็จะถึงเมืองซีอานแล้ว!”
อาเซินลงมาเดินเหินได้แล้วเช่นกัน
ฟู่ถิงจวินรู้สึกได้ว่าหนทางเบื้องหน้าสว่างไสว
ถึงกระนั้นหญิงสาวพลิกตัวกระสับกระส่ายอย่างไรก็นอนไม่หลับ
ประเดี๋ยวคิดว่าพอถึงเมืองซีอาน ไม่รู้ว่าท่านเก้าจะพานางไปพักในโรงเตี๊ยมหย่งฝูในผิงอันหลี่หรือไม่ แล้วเขาจะมอบหมายให้ใครไปส่งสารถึงท่านแม่ ท่านแม่ได้รับสารแล้วไม่รู้ว่าจะให้นางไปอยู่ที่ใด อีกประเดี๋ยวก็คิดว่านางถอนหมั้นกับทางสกุลอวี๋แล้ว ไม่รู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าควรดำเนินต่อไปอย่างไรดี แล้วก็วกกลับมาคิดอีกว่าพอถึงเมืองซีอาน ไม่รู้ว่าท่านเก้าตั้งใจจะทำอะไรต่อไป
ด้วยเหตุนี้ตอนรุ่งเช้าอาเซินมาปลุกให้ตื่นขึ้น ขอบตานางจึงมีรอยคล้ำจางๆ
ท่านเก้ามองนางแค่แวบหนึ่ง จากนั้นนั่งลงกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเยือกเย็น
แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฟู่ถิงจวินรู้สึกอยู่ไม่วายว่าดูเหมือนท่านเก้ามีความในใจหนักอึ้งดุจเดียวกัน
หรือว่าเขากำลังปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยเรื่องของนางอยู่
เรื่องที่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้ จะต้องเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก!
ฟู่ถิงจวินคาดคะเนไป จิตใจก็พลอยหดหู่ตามไปด้วย
อาเซินนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาด้วยสีหน้างุนงงครามครัน
นี่ใกล้จะถึงเมืองซีอานเต็มทีแล้ว ทุกคนสมควรดีใจถึงจะถูก เหตุใดในดวงตาของท่านเก้ากับแม่นางฟู่ถึงไม่มีรอยยิ้มสักนิดเลยเล่า
ผู้ใหญ่สองคนไม่พูดไม่จา เด็กน้อยก็ไม่กล้าพูดขึ้น
ทั้งสามเร่งเดินทางต่ออย่างเงียบๆ
ดวงตะวันแผดแสงแรงกล้าจนลืมตาไม่ขึ้น
ฟู่ถิงจวินซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นหลั่งเหงื่อดุจสายฝน นางใช้ผ้าเช็ดตามคอ คาง และหน้าผากไม่หยุด
“จะดื่มน้ำสักหน่อยไหม” นางหันหน้าไปถามท่านเก้า
ใต้แสงแดดยามเที่ยงวัน ใบหน้าโชกเหงื่อของท่านเก้าซีดขาวราวกระดาษ
“ไม่ต้อง!” สุ้มเสียงของเขาแหบแห้ง แต่แล้วยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของเขาเริ่มซวนเซไปมา
“ท่านเป็นอะไรไป!” ฟู่ถิงจวินร้องเสียงหลงพลางกระโดดลงจากรถเข็นไม้
ท่านเก้าล้มลงไปพื้นดินเสียงดังตุบ มีฝุ่นดินลอยฟุ้งขึ้นมาตลบอบอวล
“ท่านเก้า!” อาเซินถลันเข้าไปพร้อมตะโกนเสียงเครือ
“…จู่ๆ เฝิงเหล่าซื่อก็ชักดาบของต้าหู่ที่อยู่ด้านข้างมาฟันใส่ข้า ท่านเก้าเอาหัวไหล่สกัดถึงช่วยข้าไว้ได้!” อาเซินร้องไห้ไปพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ราวกับจะไหลไม่มีวันหมดไปพลาง “ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ตอนเฝิงเหล่าซื่อจับข้าไว้ ข้าควรจะกัดเขาสักคำ พอเขามีน้ำโหจะต้องสังหารข้าแน่…”
“พูดเหลวไหลอะไร!” ฟู่ถิงจวินกระซิบดุเด็กน้อย พร้อมทั้งแบะสาบเสื้อฝั่งขวาของท่านเก้าเปิดออกอย่างระมัดระวังไปด้วย “ในเมื่อท่านเก้ายอมเอาตัวรับดาบแทนเจ้า นั่นก็คือเห็นเจ้าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เจ้ากล่าวถ้อยคำพวกนี้ออกมาได้อย่างไร มิกลายเป็นท่านเก้ารับดาบแทนเจ้าอย่างสูญเปล่าหรือไร หากให้ท่านเก้าได้ยินเข้าจะเสียใจสักปานใด!” กล่าวจบนางอดใจหายวาบไม่ได้
หัวไหล่ข้างขวาของท่านเก้าใช้ผ้าผืนยาวที่เห็นชัดว่าฉีกมาจากอาภรณ์ตัวเก่าหลายผืนพันไว้ลวกๆ มีเลือดเปียกชุ่มไปทั้งผืนจนซึมเปื้อนเสื้อเต็มไปหมด
มิน่าเขาถึงสวมเสื้อสีดำแดง
หัวใจของฟู่ถิงจวินประหนึ่งถูกมีดกรีด
มิน่าเล่าหน้าตาเขาถึงซีดขาว ดื่มน้ำทีละอึกใหญ่ๆ
ตอนอยู่ที่ศาลเจ้าประจำเมือง เขาก็รู้สึกไม่สบายแล้วกระมัง
เวลานั้นเขายังมอบกริชให้นางป้องกันตัว
เขาน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอาการบาดเจ็บสาหัส เลยกลัวว่าไม่อาจไปถึงเมืองซีอานอย่างราบรื่น ถึงได้ทำเช่นนั้นกระมัง
นางกลับปฏิเสธความหวังดีของเขา ปัดหน้าที่คุ้มครองไปไว้ที่เขาคนเดียว น่าชังนักที่นางยังขึ้นไปนั่งบนรถเข็นไม้เพราะโกรธเคืองแง่งอนอีก
เข็นรถต้องใช้กำลังแขน แล้วเขาได้รับบาดเจ็บตรงหัวไหล่ ปกติเขาไม่เคยยอมให้นางเดิน ทว่านับตั้งแต่ตอนนั้น นางอยากจะลงเดินเขาก็มิได้ห้ามปรามเลย สาเหตุเป็นเพราะเจ็บแผลเกินไปกระมัง!
ฟู่ถิงจวินทั้งสำนึกเสียใจทั้งชิงชัง
สำนึกเสียใจที่ตนเองสะเพร่าเลินเล่อเกินไป และชิงชังที่ตนเองดื้อรั้นเอาแต่ใจ
ดวงตานางพร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา
ขณะนี้เขาได้รับบาดเจ็บนอนสลบไสลไม่ได้สติ เป็นคราวของนางคุ้มครองเขาบ้างเฉกเดียวกับที่เขาเคยทำมาก่อน
แม้จะคิดเช่นนี้ ภายในใจกลับกระจ่างแจ้งดีถึงกำลังความสามารถที่ต่างกันไกลลิบของทั้งคู่
ทำอย่างไรดี
นางจะเชิญหมอมาดูอาการให้เขาได้อย่างไร จะพาเขาไปจากที่นี่ได้อย่างไร จะไปถึงเมืองซีอานอย่างราบรื่นได้อย่างไร
ฟู่ถิงจวินคิดแล้วเข่าอ่อนไปทั้งสองข้าง
ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เขาจบชีวิตลงที่นี่ไม่ได้!
เขาหนุ่มแน่นเพียงนี้ ยังมีอนาคตอีกยาวไกล…
นางหวนคิดถึงชะตากรรมของครอบครัวท่านน้า
เดิมทีพอหลานชายสองคนซึ่งเป็นลูกของญาติผู้พี่เติบใหญ่ขึ้น อาจสอบขุนนางผ่านได้เป็นจ้วงหยวน และเข้ารับราชการเป็นขุนนางใหญ่โต แต่ทั้งหมดนี้ล้วนหายวับไปกับตาเพราะเด็กน้อยทั้งสองอายุสั้น…
นางจะปล่อยให้อนาคตของเขาดับวูบลงเท่านี้มิได้!
ฟู่ถิงจวินเช็ดน้ำตาเป็นการใหญ่
นางส่งเสียงเรียก “อาเซิน ข้าเห็นท่านเก้ากับเจ้าคุ้นเคยแถบนี้เป็นอย่างดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดคือที่ไหน”
“แม่นางต้องการทำอะไร” ดวงตาของอาเซินแดงก่ำ “ยามนี้ข้าวยากหมากแพง กลัวว่าในเมืองพวกนั้นมีแต่คนเร่ร่อนเต็มไปหมด ยังมีพวกอันธพาลที่คอยจ้องรังแกคนต่างถิ่น พวกเราไม่มีท่านเก้าคุ้มครอง ต่อให้ไม่ถูกพวกคนเร่ร่อนปล้นชิง แต่อันธพาลพวกนั้นก็ไม่ปล่อยพวกเราไปหรอก!”
“ข้ารู้!” ฟู่ถิงจวินกล่าว “แต่มีเมืองก็มีหมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปลองดูสักหน่อย พวกเราคงอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กระมัง ตอนเที่ยงตรงแสงอาทิตย์แรงจัดเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ที่หลบสักแห่ง ท่านเก้าตากแดดอยู่อย่างนี้ ข้ากลัวร่างกายเขาจะขาดน้ำ ถ้ามีคนเร่ร่อนผ่านมาแล้วเป็นพวกใจคออำมหิตคงปล้นชิงพวกเราเหมือนกัน อีกอย่างข้ามิได้ตั้งใจจะเข้าไปในเมืองเลย”
อาเซินมองนางอย่างงุนงง
“ในเมื่อคนเร่ร่อนพวกนั้นเข้าไปขอทานในเมือง ฉะนั้นศาลเจ้าประจำเมืองต้องไม่มีใครพักอยู่เป็นแน่” ฟู่ถิงจวินบอกแผนการของตนเองให้อาเซินฟัง “ข้ากับท่านเก้าจะไปรออยู่ที่ศาลเจ้า ส่วนเจ้าเข้าเมืองไปดูว่าเชิญหมอสักคนมาได้หรือไม่ หากเชิญมาได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ เจ้าก็ไปที่เมืองซีอาน ที่นั่นอยู่ไกลจากที่นี่แค่สองวัน พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าของเจ้าน่าจะอยู่ในเมืองซีอานแล้วกระมัง แทนที่พวกเราจะลากท่านเก้าไปถึงเมืองซีอานโดยไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรข้างหน้า มิสู้ขอให้พี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าของเจ้ามารับท่านเก้าดีกว่า…”
หมู่บ้านที่ใหญ่กว่านี้ยังสร้างศาลเจ้า นับประสาอะไรกับตำบลเล่า
หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ อาเซินก็กระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจ “ใช่! ข้าลืมพี่อวี้เฉิงกับพี่หยวนเป่าไปได้อย่างไร! ความคิดนี้ไม่เลวแม่นาง ถึงตอนนั้นพวกเราขี่ม้ามา ใช้เวลาวันเดียวก็ถึงเมืองซีอานแล้ว” เขากล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้มีตำบลหลินชุน เป็นทางผ่านสายเดียวจากเมืองซีอานไปยังอำเภอหลันเถียน มีหมอหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าทางทิศตะวันออกของตำบลมีศาลเจ้าอยู่”
ฟู่ถิงจวินฟังแล้วมีกำลังใจขึ้น “เจ้ายังจำทางได้หรือไม่”
“จำได้!” อาเซินกล่าว “ข้าเคยไปครั้งหนึ่งกับท่านเก้า”
“เช่นนั้นก็ดี!” นางลุกขึ้นยืน “พวกเราไปตำบลหลินชุนกัน”
อาเซินพยักหน้าแรงๆ
ทั้งสองช่วยกันแบกท่านเก้าขึ้นบนรถเข็นไม้ จากนั้นคนหนึ่งประคอง คนหนึ่งเข็น
รถเข็นไม้เคลื่อนเซไปเซมาสลับกับหยุดเป็นพักๆ จวบจนฟ้ามืดจึงไปถึงตำบลหลินชุน
ระหว่างทางฟู่ถิงจวินป้อนน้ำให้ท่านเก้าดื่มสามครั้ง ครั้งสุดท้ายเขาเปล่งเสียงถามว่ากำลังจะไปที่ใดด้วยสติที่พร่าเลือน
“ไปตำบลหลินชุน” นางตอบ “ได้ยินอาเซินบอกว่าที่นั่นเจริญมาก ไม่แน่ว่าอาจจะมีหมอก็ได้”
ท่านเก้าไม่พูดอะไร หลับคอพับคออ่อนไปอีกครา ไม่รู้ว่าเห็นพ้องกับการตัดสินใจของนาง หรือว่าฟังไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไรอยู่สักนิด
ศาลเจ้าทางทิศตะวันออกของตำบลหลินชุนไม่ใหญ่โตนัก ด้านหลังอุโบสถหน้ากว้างสามช่วงเสายังมีห้องเล็กห้าหกห้อง
ตอนที่พวกเขาเข้าไป ข้างในมีแค่บุรุษผู้หนึ่ง เขานั่งยองๆ อยู่ตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ กำลังต้มอะไรบางอย่างในหม้อเหล็กบนเตาซึ่งก่อด้วยก้อนหินสามก้อน แสงไฟส่องกระทบใบหน้าหยาบกร้านขรุขระแลดูดุร้ายเหี้ยมหาญ ยามเห็นพวกนางเข้ามา เขาเพียงเงยหน้ามองแวบหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้วก้มหน้าดูของในหม้อต่อไป
ฟู่ถิงจวินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกชอบกลในศาลเจ้า
นางมองสำรวจไปรอบๆ ลานโถงอย่างฉับไว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ยังนับว่าเก็บกวาดได้สะอาดสะอ้าน ดูเหมือนมีคนพำนักอยู่ที่นี่บ่อยๆ อย่างไรอย่างนั้น
ไฉนมีแค่คนเดียว
นางส่งสายตาไปให้อาเซิน เห็นสีหน้าเขาค่อนข้างกระวนกระวาย
“เจ้าจับสังเกตอะไรได้บ้าง” ฟู่ถิงจวินถามเขาเสียงเบา
“แปลกมาก ไฉนจึงมีแค่คนเดียว” อาเซินกระซิบตอบ
พูดตรงกับที่นางคิด
อาเซินชำเลืองมองชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นแวบหนึ่งก่อนกล่าว “ข้าจำได้ว่าด้านหลังมีห้องพักหลายห้อง หรือไม่พวกเราเข้าไปอยู่ในห้อง เข้าออกได้ทางเดียว ป้องกันได้ง่ายกว่า”
ถ้าท่านเจ็ดอยู่ที่นี่ ฟู่ถิงจวินย่อมไม่คัดค้านแน่นอน แต่คนที่ออกความเห็นคืออาเซิน…เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทั้งยังมีบาดแผลบนตัว หากมียอดฝีมือบุกเข้ามาจริงๆ เป็นต้นว่าเจ้าคนหน้าเหี้ยมผู้นั้น ก็คงเป็นการจับตะพาบในไห* แล้ว!
“พวกเราไปพักในป่าด้านนอกศาลเจ้าดีกว่า!” ฟู่ถิงจวินกล่าว “แม้ต้นไม้ในป่าแห้งตายหมดแล้ว แต่ดีชั่วยังพอมีที่กำบังบ้าง…”
ขณะที่นางกล่าววาจา มีคนตะโกนพูดเสียงดังอยู่ด้านนอก “ข้างในมีใครอยู่ไหม!” พร้อมด้วยบุรุษสูงชะลูดผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
เขามีอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผิวกายขาวกระจ่าง หน้าตาสุภาพมีมารยาท สวมเสื้อคลุมยาว ผ้าไหมที่เห็นสีไม่ชัดเจนเพราะแสงสลัวเกินไป คาดสายรัดเอวดูเรียบร้อยหมดจด มีลักษณะคล้ายๆ เถ้าแก่
เขาดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพภายในโถงกลางของศาลเจ้า หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาประสานมือคารวะให้พวกฟู่ถิงจวิน กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทุกท่านโปรดเมตตาเอื้อเฟื้อ พวกเราพลัดบ้านพลัดถิ่นมาอยากจะขออาศัยพักแรมที่นี่สักคืนหนึ่ง”
ฟู่ถิงจวินเองยังไม่ตกลงปลงใจว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ย่อมไม่อ้าปากพูดเป็นธรรมดา ที่น่าประหลาดคือยังมีชายหน้าเหี้ยมอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงขึ้น พาให้บรรยากาศยิ่งแปลกพิกล
คนผู้นั้นกลับไม่ใส่ใจ หันไปส่งเสียงบอกออกไปด้านนอกคำหนึ่ง ก็มีบุรุษสามคนเดินเรียงแถวกันเข้ามา พวกเขาอยู่ในวัยยี่สิบกว่า ล้วนสวมอาภรณ์ผ้าไหมคาดสายรัดเอว
คนหนึ่งมีเรือนกายสูงใหญ่กำยำกว่าใคร สายตาคมปลาบ เขาเข็นรถเข็นไม้ที่บรรทุกของสัพเพเหระเข้ามาเช่นกัน
คนหนึ่งร่างสันทัด รูปโฉมดาษดื่นทว่าท่วงท่าผึ่งผาย สองมือเขาว่างเปล่า
คนหนึ่งรูปงามเกลี้ยงเกลา ดูท่าทางอัธยาศัยดี เขาสะพายห่อสัมภาระห่อหนึ่ง
พอชายร่างใหญ่กำยำเข้ามาก็เอ่ยขึ้น “ที่แห่งนี้ไม่เลว” สุ้มเสียงเขาดังกังวานสะเทือนหูแทบหนวก
อาเซินขยับเข้าไปชิดฟู่ถิงจวินทันใด เอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่นาง คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์”
ฟู่ถิงจวินรู้สึกหนังศีรษะเย็นวาบ ชายร่างใหญ่กำยำผู้นั้นประสานมือคารวะนาง “แม่นางท่านนี้ พวกเรามีคนมาก อยากพักอยู่ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ทราบว่าแม่นางจะเอื้อเฟื้อให้กันได้หรือไม่”
เวลานี้หญิงสาวเพิ่งพบว่าจุดที่ตนเองยืนอยู่ขวางทางพวกเขาอยู่พอดี
นางรีบก้มหน้าถอยออกด้านข้าง
พวกเขาเดินผ่านข้างตัวนางไป
ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับชายร่างใหญ่กำยำเหลือบมองท่านเก้าซึ่งนอนอยู่บนรถเข็นไม้แวบหนึ่งอย่างสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง ส่วนชายร่างสันทัดกลับหยุดสายตาอยู่ที่ตัวฟู่ถิงจวินเป็นเวลานาน ขณะที่ชายรูปงามเกลี้ยงเกลามองไปที่ท่านเก้าตามสายตาของชายร่างใหญ่กำยำก่อน แต่พอเห็นชายร่างสันทัดพิศดูฟู่ถิงจวินก็หันมามองนางเช่นกัน
“แม่นาง” เสียงของอาเซินแผ่วเบาราวกับยุงบิน “หรือไม่ท่านก็อยู่ในนี้เถอะ ข้าว่าสี่คนนั่นไม่เหมือนคนเลว ข้าจะเข้าเมืองไปประเดี๋ยวนี้เลย อย่างมากครึ่งชั่วยามก็กลับมาแล้ว”
อยู่ในที่ที่คนมากมักรู้สึกปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่เว้นแม้แต่ฟู่ถิงจวิน
นางแลเห็นข้างนอกศาลเจ้ามืดสลัวรำไรแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็รีบไปรีบกลับ!”
อาเซินขานรับ
ฟู่ถิงจวินตรึกตรองดูแล้วเลือกมุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งห่างไกลจากบุรุษทั้งสองกลุ่ม
นางปูเสื่อสานแล้วช่วยกันกับอาเซินแบกท่านเก้ามานอนบนนั้น จากนั้นวางรถเข็นไม้ขวางไว้ด้านหน้า กั้นเป็นมุมพำนักส่วนตัว
พออาเซินเข้าไปในเมือง ฟู่ถิงจวินหยิบกริชออกมาวางไว้ใต้เสื่อ กระซิบเรียกท่านเก้า “ดื่มน้ำสักนิดเถอะ…”
ท่านเก้าลืมตาขึ้น สายตาดูเลื่อนลอย เขาส่ายหน้าอย่างมึนงงแล้วปิดตาลงหลับสนิทไปดังเก่า
นางสะท้านวาบในอก ไม่นำพาว่าชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เอามืออังหน้าผากเขา
ร้อนแทบลวกมือ!
ฟู่ถิงจวินร้อนใจ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากเขา เพียรทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยอย่างสุดความสามารถว่าตอนโดนอากาศเย็นจนเป็นไข้ แม่นมดูแลนางอย่างไร
ดีที่สุดคือเอาน้ำเกลือชำระล้างหัวไหล่แล้วพันแผลใหม่อีกที
แต่นางพันแผลไม่เป็น เลยไม่กล้าแตะต้องผ้าพันแผลพวกนั้น
ถ้าท่านเก้าฟื้นขึ้นมาแม้สักชั่วครู่ก็ยังดี จะได้บอกนางว่าพันแผลอย่างไร
นางบิดผ้าแล้ววางกลับไปบนหน้าผากเขา
แต่แล้วมีเสียงโหวกเหวกดังลอยมา
กลุ่มคนตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือปูที่นอนเรียบร้อยแล้ว พอได้ยินเสียงก็พากันมองออกไปทางด้านนอก
ด้านบุรุษซึ่งครองมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้กลับไม่เงยหน้าขึ้นสักครา
เสียงโหวกเหวกดังใกล้เข้ามาทุกที เป็นเสียงหยอกล้อด่าทอของบุรุษประสานกับเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของสตรี
แสงสว่างจากคบเพลิงส่องกระทบท้องฟ้าเป็นสีแดง
ฟู่ถิงจวินหวนประหวัดถึงเหตุการณ์ตอนเฝิงเหล่าซื่อปรากฏกายขึ้นในวันนั้น
นางกำกริชไว้ในมือด้วยสีหน้าตึงเครียด
ผู้ที่เข้ามาเป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเป็นโจรป่าเต็มตัวกลุ่มหนึ่ง ชูคบเพลิงไม้สนหอมส่องแสงสว่างไปทั้งโถงกว้าง แลเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของพวกเขาได้ชัดถนัดตา
พอเห็นว่ามีคนอยู่ในศาลเจ้า คนกลุ่มนั้นดูคาดไม่ถึงอย่างมาก
ยกเว้นชายหน้าเหี้ยมที่เติมฟืนลงไปในกองไฟเสมือนไม่รับรู้สิ่งใดคนนั้น พอฟู่ถิงจวินกับคนอื่นๆ ในศาลเจ้ามองเห็นผู้ที่เข้ามาเป็นกลุ่มคนเช่นนี้ ก็ดูคาดไม่ถึงอย่างมากเช่นกัน
ภายในโถงกว้างเงียบกริบไปชั่วขณะ ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ดิ้นขลุกขลักของหญิงสาวสองคนที่ถูกคนกลุ่มนั้นจับตัวไว้ พวกนางต่อสู้ขัดขืนจนอาภรณ์หลุดลุ่ยเผยให้เห็นเสื้อเอี๊ยมสีแดงบานเย็นกับสีเขียวใบไม้ด้านใน บันดาลให้ค่ำคืนในฤดูร้อนที่เงียบสงบแฝงไว้ด้วยความพิลึกพิลั่นอยู่หลายส่วน
“ฮ่าๆๆ!” มีคนส่งเสียงหัวร่ออย่างบ้าคลั่ง “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้ายึดครองที่ของพวกข้า!” สุ้มเสียงของเขาเย็นเยียบระคนอำมหิต
ฟู่ถิงจวินรีบมองไปทางต้นเสียง
เป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบกว่า ใบหน้าสี่เหลี่ยม สวมเสื้อคลุมสั้นแบะอก อวดแผงอกที่เต็มไปด้วยแผลเป็น เขายืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน พูดพลางเอี้ยวคอมองไปด้านหลัง
พวกคนที่อยู่ด้านหลังฟังแล้วหัวเราะดังครืนตามเขาทันที ราวกับว่าพวกฟู่ถิงจวินกระทำเรื่องที่แสนจะโฉดเขลาก็ไม่ปาน
ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เดินเข้าไปประสานมือคารวะชายหน้าเหลี่ยมพร้อมด้วยรอยยิ้มสุภาพ “พี่ชายท่านนี้ พวกเราเป็นคนทำมาค้าขาย พอดีเดินทางผ่านมาทางนี้แล้วหาที่พักแรมมิได้ ไม่ทราบจริงๆ ว่าที่แห่งนี้เป็นถิ่นของท่าน” กล่าวจบเขาพลันชักกระบี่อ่อนออกมาจากบั้นเอวดังเช้ง ทั้งที่มองไม่เห็นเขาขยับมือ กลับมีสะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบ จากนั้นบังเกิดเสียงขวับดังขึ้น กระบี่อ่อนเหยียดตรง ส่องประกายเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งไปทั้งสี่ทิศใต้แสงคบเพลิง
“อันใดที่เสียมารยาทไป โปรดอภัยให้ด้วย!” เขากล่าวจบแล้วตวัดปลายกระบี่กรีดพื้นที่ปูด้วยศิลาเขียวกดลึกเป็นทางยาวจนเห็นถึงเนื้อดิน ก่อนจะล้วงถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากที่ใดก็สุดรู้โยนไปให้ชายหน้าเหลี่ยม “นี่ถือเสียว่าข้าเลี้ยงสุราพี่น้องทั้งหลาย และเป็นคำขอขมาต่อพวกท่าน จอมยุทธ์ท่านนี้โปรดให้ที่พำนักแก่พวกเราสักคืน พอฟ้าสางพวกเราจะจากไปทันที”
ฟู่ถิงจวินตระหนกในใจ
อาเซินบอกว่าชายร่างใหญ่กำยำเป็นผู้ฝึกยุทธ์ คาดไม่ถึงว่าชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่พูดจาสุภาพคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน แม้นางจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่คนที่สามารถทำให้กระบี่อ่อนกลายเป็นเช่นทวนเหล็กแล้วกรีดรอยลึกขนาดนั้นบนพื้นได้ จะต้องมีฝีมือล้ำเลิศมากเป็นแน่
เห็นได้ชัดว่าชายหน้าเหลี่ยมผู้นั้นมองออกเช่นกัน เขามิได้รับถุงเงินไว้ หากแต่เพ่งมองรอยบนพื้นตรงหน้าไม่ไกลนักรอยนั้น สีหน้าเขาฉายอารมณ์หลากหลายอยู่บ้าง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งด้านข้างก้าวเท้าออกมา
เขามีอายุราวยี่สิบกว่า ร่างท้วมหนาล่ำสัน หน้าตาซื่อๆ แต่โผงผาง เทียบกับชายร่างใหญ่กำยำตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว มีขนาดเรือนกายพอฟัดพอเหวี่ยงกัน เพียงแต่ท่าทางเขากักขฬะ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งองอาจผึ่งผาย คนหนึ่งคล้ายคนเชือดสัตว์ คนหนึ่งคล้ายจอมยุทธ์
เขาเก็บถุงเงินขึ้นมาเปิดดูแวบหนึ่ง สีหน้าเผยรอยยินดีออกมา
“พี่ใหญ่!” เขาตะโกนเรียกชายหน้าเหลี่ยมแล้วกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง “เงินหลวงของแท้สีขาววับ มีอยู่ร้อยตำลึง”
โถงกลางไม่กว้างใหญ่นัก ทุกคนได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
แววตาของชายหน้าเหลี่ยมไหวระริก ขณะที่คนด้านหลังเขาส่งเสียงเอ็ดอึงไม่ได้ศัพท์
มีคนกระซิบว่า “พี่ใหญ่ พวกเราฆ่าพวกมันเลยดีกว่า เงินก็ตกเป็นของพวกเราเหมือนกัน”
มีคนกระซิบว่า “พี่ใหญ่ ร้อยตำลึงน้อยไป จะอย่างไรก็ต้องสองสามร้อยตำลึงนะ”
ยังมีคนพูดว่า “พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรพวกเราอยู่ในห้องพักด้านหลัง ก็ยกโถงกลางให้พ่อค้าเร่พวกนี้อาศัยพักแรมสักคืนไปเถอะ”
ฟู่ถิงจวินวุ่นวายใจไปหมด
เริ่มแรกคนผู้นั้นใช้กระบี่อ่อนกรีดรอยลึกบนพื้น นับเป็นการสำแดงความร้ายกาจให้เห็น ต่อมายังมอบเงินร้อยตำลึงให้อีก เรียกได้ว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เห็นทีว่าคนกลุ่มนั้นคงเลิกยุ่งกับพวกเขา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้กลับสร้างความลำบากให้คนอื่นในโถงกลางเสียแล้ว เพราะถ้าจะเอาเงินติดสินบนตามอย่างคนผู้นั้นก็ไม่มีวิชายุทธ์แบบเขา แต่ถ้าไม่เอาเงินติดสินบนแล้วคนพวกนั้นจะละเว้นนางด้วยเหตุผลใดเล่า…
นางอดหันไปมองชายหน้าเหี้ยมตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ผู้นั้นมิได้
เขากำลังยกหม้อเหล็กเทอะไรบางอย่างลงในชามอ่างใบหนึ่งบนพื้น ได้กลิ่นเนื้อหอมฟุ้งกระจาย ทำท่าทำทางราวกับธุระไม่ใช่ของตน
ฟู่ถิงจวินใจฝ่อลง
ดูท่าทางเขามีวิชายุทธ์ป้องกันตัวเช่นกัน!
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว นางได้ยินชายหน้าเหลี่ยมตวาดลั่น “หุบปากให้หมด!”
เสียงจ้อกแจ้กด้านหลังเขาเงียบเป็นปลิดทิ้ง
“เห็นแก่ที่พวกเจ้าพอรู้ธรรมเนียมบ้าง ข้าจะผ่อนผันให้” ชายหน้าเหลี่ยมกล่าวด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิงแกมกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน “แต่พวกเจ้าต้องให้เพิ่มอีกสองร้อยตำลึงเงินจึงจะได้!”
“ขอบคุณๆ” ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เผยรอยยิ้มซาบซึ้งยินดีออกมา รีบเอ่ยสั่งชายร่างใหญ่กำยำ ชายร่างใหญ่กำยำก็หยิบตลับไม้สีแดงใบหนึ่งออกมาจากรถเข็นไม้ และล้วงถุงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้ เขาเปิดถุงเงินออกดู แล้วพูดบางอย่างกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาคนนั้น ชายรูปงามเกลี้ยงเกลาอิดเอื้อนครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงถุงเงินออกมาส่งให้เขาดุจเดียวกัน เขาเปิดถุงเงินออกดู จากนั้นวางถุงเงินทั้งสองใบลงในตลับไม้ใบนั้น สุดท้ายยื่นส่งให้ชายหน้าเหลี่ยมด้วยรอยยิ้มผุดพราย “นี่คืออีกสองร้อยตำลึงที่เหลือ”
ใจของฟู่ถิงจวินดิ่งวูบไปถึงก้นเหว
ชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่แสร้งทำเช่นนี้เพื่อให้เห็นว่าบนตัวพวกเขาไม่มีเงินแล้ว พวกชายหน้าเหลี่ยมก็จะหมายตาในทรัพย์สินของพวกเขาน้อยลง เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาดูปลอดภัยกว่ามาก
ชายร่างท้วมหนารับถุงเงินมาแล้วนับอย่างถี่ถ้วน
ก้อนตำลึงเงินสีขาววาววับเปล่งประกายเย็นเยือกอยู่ใต้คบเพลิง
ฟู่ถิงจวินฉุกคิดในใจ
มีแต่เงินหลวงเท่านั้นถึงจะมีเนื้อเงินบริสุทธิ์แบบนี้!
พวกเขาบอกว่าตนเองเป็นคนทำมาค้าขาย ไฉนล้วนมีเงินหลวงติดตัว
อย่าลืมว่าเงินหลวงโดยมากจะเป็นเบี้ยหวัดบำนาญของทหารกับขุนนาง และใช้สอยในราชสำนักหรือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย เมื่อชาวบ้านสามัญชนได้รับไปต้องหลอมใหม่ถึงจะกล้านำมาใช้…แต่พวกเขามีติดตัวทีเดียวถึงสามร้อยตำลึง
“พี่ใหญ่!” ชายร่างท้วมหนาขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของฟู่ถิงจวิน “สองร้อยตำลึงถ้วนๆ”
ชายหน้าเหลี่ยมผงกศีรษะหงึกๆ สีหน้าฉายแววพึงพอใจ เขากลับมาวางท่าเหิมเกริมดั่งตอนหัวร่อเสียงดังเมื่อครู่นี้อีกคราหนึ่ง
ฟู่ถิงจวินอดตั้งความหวังว่าจะโชคดีมิได้ นางหวังว่าชายหน้าเหลี่ยมผู้นี้จะเห็นแก่สามร้อยตำลึงเงิน ยอมละเว้นพวกปลาเล็กปลาน้อยเช่นพวกนาง หรือเห็นแก่วรยุทธ์สูงส่งของชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้น ไม่อยากก่อปัญหาแทรกขึ้นมาจึงทำเป็นมองไม่เห็นพวกนางไปเสีย
นางค่อยๆ กระเถิบตัวถอยทีละนิดไปหาท่านเก้าซึ่งนอนอยู่ด้านหลัง หมายใจว่าจะขดตัวให้เล็กที่สุดจนไม่อยู่ในสายตาของคนกลุ่มนั้นได้!
น่าเสียดายที่ความหวังของนางต้องดับวูบลง
ชายร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งวิ่งมาทางพวกนาง จากนั้นออกแรงผลักรถเข็นไม้ไปด้านข้าง ตะโกนโวยวายวางท่าเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ “แล้วพวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน”
รถเข็นไม้ล้มตะแคงทำให้เสื่อสาน จานชามตะเกียบและของอื่นๆ หล่นกระจายเต็มพื้น
ฟู่ถิงจวินโล่งอก ยังดีที่เมื่อครู่นี้นางเห็นท่าไม่ดี เอาเงินทองกับของมีค่าซ่อนไว้ใต้เสื่อของท่านเก้า
นางลุกลนกล่าวขึ้น “ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย! พวกเราหนีภัยแล้งมาจากผิงเหลียง ถึงได้พลัดหลงเข้ามาในถิ่นของท่าน หวังว่าท่านจะโปรดเมตตาให้ที่พำนักพักพิงแก่พวกเราสักคืนด้วยเจ้าค่ะ” นางพูดพลางหยิบห่อสัมภาระที่มีอาหารกับถุงหนังตรงมุมโถงออกมา “ของพวกนี้ท่านโปรดรับไว้ด้วย นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของพวกข้าเจ้าค่ะ”
แม้ตอนกล่าววาจา นางพยายามกดสุ้มเสียงให้ต่ำลงอย่างเต็มที่ กระนั้นยังคงยากจะเก็บงำน้ำเสียงที่กังวานใสรื่นหูไว้ได้
ทุกคนในที่นั้นได้ยินแล้วตะลึงงัน พากันมองไปทางฟู่ถิงจวิน
มีเพียงชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นที่โคลงศีรษะเบาๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น เขายกชามขึ้นกินอาหารดังซู้ดซ้าด เสียงของมันก้องกังวานเป็นพิเศษในโถงกว้าง แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาสักคน
ชายร่างเตี้ยม่อต้อมีสีหน้าตื่นเต้น เขากล่าวด้วยความลิงโลดใจ เดินรี่เข้าไปจะดึงผ้าคลุมศีรษะของนางออก “พี่ใหญ่ ทางนี้มีผู้หญิงคนหนึ่ง”
ฟู่ถิงจวินยืดตัวตรงกะทันหันแล้วเงื้อมือขึ้น มีประกายสีเงินสายหนึ่งตวัดวูบไปที่บุรุษผู้นั้น
“โอ๊ย!” เขากุมมือร้องโอดโอย โลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว
ยามนี้ทุกคนถึงมองเห็นกริชที่หญิงสาวกำอยู่ในมือ
ใต้แสงไฟ กริชเล่มนั้นเปล่งประกายเป็นลวดลายพิสดารละลานตา แฝงไว้ด้วยความงามน่าหลงใหลชวนให้พิศวง
ภายในโถงกลางเงียบกริบ
สายตาของชายหน้าเหี้ยมฉายแววทึ่ง ขณะที่ชายท่วงท่าผึ่งผายผู้นั้นสืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าว แต่ถูกชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่ดึงตัวไปอยู่ด้านหลัง
“นางตัวดี เจ้ากล้าลอบทำร้ายข้าเชียวหรือ!” ชายร่างเตี้ยม่อต้อตะคอกลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว เงื้อเท้าขึ้นตั้งท่าจะถีบไปที่ยอดอกของนาง
“อ๊ะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายอุทานพร้อมกับกำมือเป็นหมัดแน่น แม้แต่ชายหน้าเหี้ยมยังวางชามในมือลง
ฟู่ถิงจวินหน้าซีดขาวดุจดอกอวี้หลันกลางพายุฝน นางขบสันกราม ใช้สองมือกำกริชแน่นๆ แทงไปที่บุรุษคนนั้น
ฝ่าเท้าเขากระแทกเข้ากลางอกของหญิงสาวเต็มรัก แต่กริชของนางก็เสียบเข้าไปที่น่องของอีกฝ่าย อีกทั้งพอนางล้มหงายไปด้านหลัง มือยังลากกริชลงตามจนเฉือนเนื้อของเขาหลุด
เขากุมขา ร้องลั่นด้วยความเจ็บ “พี่ใหญ่ๆ!”
ทุกคนตะลึงลานไปตามๆ กัน นานครู่ใหญ่ถึงพบว่าบนพื้นยังมีนิ้วเท้าขาดสองท่อน
“พี่ใหญ่ ฆ่านางตัวดีคนนี้เลย!” คนด้านหลังชายหน้าเหลี่ยมตะโกนเอะอะ แต่กลับไม่มีสักคนกล้าเข้าไป
ฟู่ถิงจวินตะกายลุกขึ้น
มือที่กำกริชไว้สั่นระริกไม่หยุด ปอยผมรุ่ยร่ายปรกใบหน้าขาวกระจ่าง หยดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาจากหน้าผาก ดวงตาเรียวยาวลุกโชนดุจเปลวไฟ ทั้งยังทอประกายวาวโรจน์ยิ่งกว่าคบเพลิง ทำให้ดวงหน้างามสะคราญของนางแฝงความแกร่งกร้าวอยู่ในที เป็นความงามเฉิดฉายแกมหยิ่งทะนงละม้ายดอกหลิงเซียว* ที่บานสะพรั่ง
ชายหน้าเหลี่ยมแลเห็นกริชที่สะอาดหมดจดดุจหิมะแรกแล้ว สีหน้าเขาขุ่นมัวดุจเดียวกับท้องฟ้าก่อนหิมะตกหนัก
เขากำหมัดเดินเข้าไปหาฟู่ถิงจวิน
ทั่วทั้งโถงกลางเงียบงันลงในชั่วอึดใจ
เสียงฝีเท้าหนักๆ ประสานเสียงข้อนิ้วลั่นกร๊อบๆ ของชายหน้าเหลี่ยมเหมือนเสียงรัวกลองดังกระทบไปถึงกลางใจของทุกคนไม่หยุด
ชายร่างกำยำตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือขมวดคิ้ว ย่างเท้าไปสองสามก้าว กลับถูกชายท่วงท่าผึ่งผายผู้นั้นดึงรั้งไว้
“นางตัวดี หากข้าไม่หาความสุขกับเจ้าสักพันครั้งหมื่นครั้ง ข้าก็มิได้แซ่หลี่…” ชายหน้าเหลี่ยมตวาดเสียงดุร้าย
ฟู่ถิงจวินรู้สึกข้างในตัวเจ็บร้าวไปหมดราวกับอวัยวะภายในถูกดึงทึ้ง เบื้องหน้าสายตาเป็นภาพเงาทับซ้อนกัน มองเห็นแค่ร่างร่างหนึ่งอย่างพร่าเลือน
นางไม่ไหวแล้วกระมัง! หลังจากถูกบุรุษผู้นั้นถีบครั้งหนึ่งอย่างนั้น อยากจะทำร้ายใครโดยไม่ให้ตั้งตัวคงเป็นไปไม่ได้…
นางคิดถึงสตรีที่ถูกจับตัวไว้สองคนนั้นแล้ว ยกแขนที่หนักอึ้งเหมือนโดนถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ เอากริชจ่อลำคอไว้
นางไม่รู้ว่าหลังจากนางตายแล้วท่านเก้าจะเป็นเช่นไร
เป็นเพราะนางคนเดียวทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย!
บุญคุณของเขา นางไม่อาจตอบแทนได้แล้วในชาตินี้ คงได้แต่รอชาติหน้า ทว่าบางทีชาติหน้านางยังคงเป็นคนที่ถ่วงรั้งเขาไว้อีก ไม่แน่ว่าเขาอยากหลบลี้หนีหน้าแทบไม่ทันก็เป็นได้
คิดถึงตรงนี้ มุมปากนางมีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้น ประหนึ่งดอกไม้น้อยที่สั่นระรัวกลางลมหนาว ดูบอบบางหากแฝงไว้ด้วยความทรหด
ทันใดนั้น มีมือข้างหนึ่งวางทาบลงบนบ่าของฟู่ถิงจวินจากทางเบื้องหลัง
นางตกใจจนขวัญกระเจิง ส่งผลให้มืออ่อนแรงจนกริชร่วงหล่นกระทบพื้นดังเคร้ง
ทุกคนในศาลเจ้าพากันมองนางด้วยความแปลกใจ ไม่กระจ่างแจ้งว่าหญิงสาวซึ่งดูหมองเศร้าหากยังคงห้าวหาญเด็ดขาดอย่างที่ขอยอมตายก็ไม่ยอมจำนนเมื่อชั่วขณะก่อนหน้า เหตุใดในชั่วขณะถัดมาก็ตกใจจนทำกริชหล่นพื้น ครั้นทุกคนแลไปเห็นหน้าตาถมึงทึงของชายหน้าเหลี่ยม ดูเหมือนจะไขข้อข้องใจนี้ได้แล้ว แม้กระทั่งตัวชายหน้าเหลี่ยมที่สาวเท้าก้าวยาวเข้าไปหานางก็มีสีหน้าย่ามใจเช่นกัน
ชายท่วงท่าผึ่งผายตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงผิดหวังอย่างมาก
เสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบดังขึ้นที่ริมหูฟู่ถิงจวิน “หยิบพลองเสมอคิ้วของอาเซินให้ข้า”
น้ำเสียงเรียบเฉยระคนไม่อนาทรร้อนใจอยู่หลายส่วน กลับทำให้ขอบตานางร้อนผ่าวมีน้ำตาเอ่อคลอ
เป็นท่านเก้า…ท่านเก้า
พลองเสมอคิ้วของเขาถูกฟันหักเป็นท่อนๆ ไปแล้วตอนต่อสู้กับเฝิงเหล่าซื่อ
นางอยากถามไถ่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้าง อยากหันหน้าไปดูว่าเขาเป็นปกติดีหรือไม่ แต่เห็นชายหน้าเหลี่ยมย่างสามขุมใกล้เข้ามาทุกที นางไม่กล้าชักช้ารีรอ ตะเกียกตะกายไปเก็บพลองเสมอคิ้วที่ตกอยู่ด้านข้างมายื่นส่งให้เขา
ใบหน้าท่านเก้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำปรือ เขาใช้พลองเสมอคิ้วยันกายลุกขึ้นยืนโงนๆ เงนๆ
ทุกคนประจักษ์แจ้งในบัดดล
ชายหน้าเหลี่ยมชะงักฝีเท้า แต่พอเห็นท่านเก้าผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก ท่าทางก็ผ่อนคลายลง เขาทำสีหน้าเยาะหยันแกมอำมหิต “รนหาที่ตายอีกคนแล้ว!”
“ไปหลบอยู่หลังข้า” ท่านเก้ากระซิบสั่งฟู่ถิงจวิน
ท่านเก้ายังไม่สบายอยู่เลยนะ!
ฟู่ถิงจวินละล้าละลังเล็กน้อย เห็นท่านเก้าสืบเท้าสองสามก้าวมายืนบังอยู่ข้างหน้าตนเอง นางรีบขานตอบ จากนั้นฉวยกริชที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วซุกตัวอยู่ตรงมุมโถง แต่ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขาโดยไม่กะพริบตา
“ขุนเขาเขียวไม่แปรผัน สายน้ำไหลชั่วนิรันดร์” ท่านเก้ามองไปที่ชายหน้าเหลี่ยม แต่สายตากลับเลื่อนลอย “ท่านผู้กล้า หากมีอันใดล่วงเกินไป โปรดอภัยให้ด้วย…” ผิวแก้มชายหนุ่มแดงจัดเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ เขาทรงตัวอยู่ได้ล้วนเพราะอาศัยพลองเสมอคิ้วยันพื้นไว้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าป่วยหนักไม่น้อย เพียงทนฝืนเอาไว้เท่านั้น
ชายท่วงท่าผึ่งผายเห็นแล้วโคลงศีรษะเบาๆ เขาหันกลับไปกระซิบกระซาบกับชายรูปงามเกลี้ยงเกลาอย่างหมดความสนใจ
ชายหน้าเหลี่ยมตัดบทเขาด้วยเสียงหัวร่อขบขัน “เช่นนั้นต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถทำให้ข้าอภัยให้หรือไม่…” เขาพูดพลางเหวี่ยงหมัดต่อยไปที่ใบหน้าท่านเก้า
ท่านเก้าเอียงหัวหลบทำให้หมัดนั้นพลาดเป้าไป พร้อมกับพลองเสมอคิ้วในมือเขาวาดเป็นครึ่งวงกลมบังเกิดเสียงแหลมเล็กดังแหวกอากาศ ฟาดลงไปที่หัวไหล่ของชายหน้าเหลี่ยม ได้ยินเสียงผัวะดังขึ้น ชายหน้าเหลี่ยมก็เซถลาหงายหลังล้มลงกับพื้น
ส่วนท่านเก้าใช้พลองเสมอคิ้วยันกายยืนอยู่ที่เดิม ดูมั่นคงดุจภูผาและเยือกเย็นดั่งวารี ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
“เอ๊ะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายจ้องท่านเก้าเขม็ง สายตาเขาคมกล้ามีประกายอัศจรรย์ใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง ส่วนชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่กับชายร่างใหญ่กำยำด้านหลังเขาสบตากัน คนหนึ่งวางมือทาบเอว อีกคนหนึ่งกำมือที่ไพล่หลังอยู่เป็นหมัดแน่น
ด้านชายหน้าเหี้ยมตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้วางของในมือแล้วลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ชายหน้าเหลี่ยมมองท่านเก้าอย่างตกตะลึง
เขารู้ว่าหมัดของตนเองมีพิษสงอย่างไร เคยมีคนถูกเขาต่อยหน้ายับเยินกระทั่งบิดามารดายังจดจำใบหน้ามิได้
แต่ครานี้ เจ้าคนตรงหน้าที่ป่วยป้อแป้จนดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อผู้นี้ ไม่เพียงหลบการจู่โจมดุจสายฟ้าแลบของเขาได้ ตรงจุดที่เขาถูกฟาดด้วยพลองยังเจ็บแปลบถึงกระดูก
ภายในใจเขาเริ่มรู้สึกไม่เข้าทีเสียแล้ว
ทุกคนล้วนจับตามองเขาอยู่ หากหยุดมือแค่นี้ วันหน้าจะคุมพี่น้องใต้อาณัติได้อย่างไร กลัวก็แต่ว่าเงินที่ได้มาเมื่อครู่นี้คงรักษาไว้ไม่อยู่ เขามองเรือนกายผ่ายผอมของท่านเก้าแล้วลอบมั่นใจขึ้นบ้าง
“มารดามันเถอะ ไอ้เจ้าผีอมโรค ยังบังอาจลอบกัดข้าทีเผลอรึ!” ชายหน้าเหลี่ยมร้องตวาด ดวงตาทอประกายโหดเหี้ยมกระหายเลือดขณะหมุนกายไปดึงดาบจากเอวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมา จากนั้นก้าวปราดๆ ไปทางท่านเก้า “พวกเรา…รุม! ผู้ใดสังหารไอ้เศษสวะนี่ได้ นางหญิงข้างกายมันก็เป็นของผู้นั้น!”
รูปโฉมของฟู่ถิงจวินเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนพวกนั้นแล้ว พวกเขาดาหน้ากันเข้าไปพร้อมทั้งกู่ร้องด้วยน้ำเสียงแฝงความละโมบ ตื่นเต้น และหื่นตัณหาอย่างปิดไม่มิด ฟู่ถิงจวินได้ยินแล้วเข่าอ่อนไปหมด มือที่กำกริชไว้แน่นสั่นเทา
นางขอยอมตายก็ไม่ยอมถูกย่ำยี
ท่านเก้าไม่เปล่งเสียงพูด ริมฝีปากบางเม้มแน่น ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏรอยเหี้ยมเกรียมจุดวาบขึ้น ยามหางคิ้วเลิกขึ้น มีกลิ่นอายสังหารเย็นเยือกแผ่ซ่านรอบกาย แม้แต่คนสองกลุ่มซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโถงกว้างยังสัมผัสได้ แต่คนที่กรูกันเข้าไปอาศัยว่ามีพวกมาก หาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตา พวกเขาเงื้อพลองบ้างถือดาบบ้างถลันเข้าไปกวัดแกว่งสะเปะสะปะ
ภายในศาลเจ้ามีเสียงผัวะๆ ดังรัวราวกับประทัด
คนที่กรูเข้าไปบางคนถูกฟาดจนร่างทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นขยับเขยื้อนไม่ไหว บางคนถูกกระแทกจนถอยกรูด บางคนกุมหัวกุมไหล่ร้องครางโอดโอย…อย่าว่าแต่โจมตีถูกท่านเก้าเลย แค่คิดจะเข้าไปประชิดตัวยังยากมาก ตรงกลางโถงตกอยู่ในสภาพชุลมุนวุ่นวาย
ชายท่วงท่าผึ่งผายแลมองท่านเก้าด้วยสายตากระตือรือร้นเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง
ทว่าท่านเก้าไม่อาจทำอะไรชายฉกรรจ์ที่ถอยหนีออกไปพวกนั้นได้เช่นกัน เพราะเขาไม่ไล่ตาม ฉะนั้นขอเพียงคนพวกนั้นไม่เข้าใกล้ในรัศมีโจมตีของพลองเสมอคิ้วก็จะไม่เป็นอะไร
ชายหน้าเหลี่ยมบุกเข้าไปเป็นคนแรกและตะโกนเสียงดังที่สุด แต่สุดท้ายกลับเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ไม่นานนักเขาพบต้นสายปลายเหตุแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการปกป้องสตรีที่อยู่ข้างหลัง หากท่านเก้าแค่ขยับเท้า เกราะกำบังเบื้องหน้านางจะหายไปทันที พวกเขาก็เล่นงานสตรีผู้นั้นได้โดยปราศจากความกริ่งเกรงใด
เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ได้ ชายหน้าเหลี่ยมมีท่าทางคึกคักขึ้นมา เขาตะโกนบอกลูกน้องเสียงดัง “เขาต้องการคุ้มครองผู้หญิงคนนั้น รีบจับตัวนางไว้”
พอมีเขาบอกเตือนขึ้นเช่นนี้ คนพวกนั้นก็ตั้งตัวได้ในเวลาอันสั้น
พวกเขาพากันจู่โจมฟู่ถิงจวิน
ท่านเก้ายืนตระหง่านขวางอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว เห็นหมัดหวดคน เห็นดาบฟาดมือ ทำให้มีอีกหลายคนล้มคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ใบหน้าของคนที่เหลือล้วนปรากฏแววหวาดกลัววาบขึ้น
พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพียงยืนล้อมท่านเก้าไว้ ไม่มีผู้ใดยินยอมบุกเข้าโจมตีเป็นคนแรกอีก
“หน้าโง่!” ชายหน้าเหลี่ยมแผดเสียงกราดเกรี้ยวอยู่ด้านข้าง “พวกเราคนมากย่อมได้เปรียบ ทั้งเขาไม่กล้าขยับตัว พวกเจ้าก็เข้าไปประมือกับเขาคนละสองสามกระบวน ต่อให้เขามีเรี่ยวแรงผิดมนุษย์มนาอย่างไรก็ต้องเหนื่อยตาย…”
คนกลุ่มนั้นแจ่มแจ้งในบัดดล ผลัดกันวนเวียนเข้าไปต่อสู้กับท่านเก้าทีละคนสองคน
ฟู่ถิงจวินได้ยินที่ชายหน้าเหลี่ยมบัญชาการทุกคนแล้วลอบนึกชิงชังยิ่งนัก นางรำพึงในใจว่าหากอาเซินอยู่ที่นี่จะดีสักปานใด ไม่แน่อาจสบช่องชายหน้าเหลี่ยมไม่ระวังตัวสังหารเขาทิ้งซะ…เมื่อคนกลุ่มนี้เป็นมังกรไร้หัว ย่อมแตกฉานซ่านเซ็นไปเอง!
ครั้นคิดคำนึงไปเช่นนี้ นางอดเป็นห่วงอาเซินมิได้
ไม่รู้ว่าเขาเชิญหมอมาได้หรือยัง
จะพบเจออันตรายอะไรหรือเปล่า
คำนวณเวลาดู เขาสมควรกลับมาแล้ว…แต่อย่าได้ทะเล่อทะล่าเข้ามาเป็นอันขาดจึงจะดี!
นางลอบวิตกกังวล
ท่านเก้าเริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง
พอคนที่รุมโจมตีเขาอยู่เห็นเช่นนั้นต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี
แต่แล้วในโถงกว้างพลันมีเสียงโครมดังสนั่นราวกับว่าหลังคายังสั่นสะเทือนตามไปด้วย ส่วนพวกที่กลุ้มรุมท่านเก้าอยู่เซถลาถอยหลังไปไกลเกินหนึ่งจั้ง
ฟู่ถิงจวินมองเห็นพลองเสมอคิ้วที่กวัดแกว่งอยู่ในมือท่านเก้าโดยตลอดอันนั้นปักลงไปในพื้นแล้ว พื้นโถงซึ่งปูด้วยแผ่นศิลาเขียวเป็นระเบียบอยู่แต่เดิมปริแตกเหมือนใยแมงมุม
“ขืนพวกเจ้าไม่รู้ดีรู้ชั่วอีก อย่าหาว่าข้าไม่ยั้งมือไว้ไมตรีก็แล้วกัน!” ท่านเก้าตวาดเสียงดังกึกก้องไปทั้งโถงกว้างคลับคล้ายเสียงฟ้าคำรามชวนให้อกสั่นขวัญหนี
คนที่รุมล้อมอยู่มองไปที่ชายหน้าเหลี่ยมแล้วหันกลับมามองท่านเก้า พวกเขาจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้าไป แต่ก็ไม่ถอยหลัง
ทุกคนนิ่งเงียบ ยืนคุมเชิงกันไปเช่นนี้
เส้นประสาทของหญิงสาวเขม็งเกลียว
ยิ่งถ่วงเวลานานเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีต่อพวกชายหน้าเหลี่ยม…ต้องหาวิธีหลุดพ้นจากสถานการณ์จนมุมนี้ให้ได้!
ความคิดนี้แล่นวาบเข้ามาในหัว นางเห็นร่างท่านเก้าซวนเซไปเล็กน้อย
หญิงสาวหน้าถอดสีไปถนัดตา
ท่านเก้า…นี่คงเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว!
ฟู่ถิงจวินเจ็บปวดใจดุจถูกมีดกรีด อดโทษตัวเองมิได้
ทำไมนางถึงขี้ขลาดตาขาวนัก
ตอนสะดุ้งตกใจเมื่อครู่นี้ ถ้านางมิใช่ทำกริชตกพื้น แต่ฆ่าตัวตายด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่แน่ว่าท่านเก้ายังหนีรอดไปได้
ทั้งที่รู้ว่าท่านเก้าได้รับบาดเจ็บ แต่มองเห็นเขาต่อสู้กับพวกของชายหน้าเหลี่ยม ในใจยังรู้สึกโชคดีว่าอาจจะเป็นดังเช่นที่ผ่านมา พอท่านเก้าออกโรงก็จะกำชัยชนะได้ ถ้าตอนนั้นนางเลือกจบชีวิตตัวเองโดยไม่ลังเลใจ ท่านเก้าไม่มีนางเป็นตัวถ่วง ไหนเลยจะตกอยู่ในสภาพจนตรอกเยี่ยงนี้
ดวงตานางแห้งผาก
ได้ยินชายหน้าเหลี่ยมตะโกนขึ้น “พวกเราต้านเอาไว้ เจ้าหนุ่มนั่นจะไม่ไหวแล้ว!” น้ำเสียงอำมหิตของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
พลองเสมอคิ้วของท่านเก้าพุ่งเร็วรี่ดุจลมกรดแหวกอากาศตรงไปหาเขาดังฟ้าว
ชายหน้าเหลี่ยมตกใจยกใหญ่ เอี้ยวกายคิดจะหลบ พลองเสมอคิ้วก็กระแทกเข้ากลางอกเขาแล้ว
เขาผงะถอยกรูดติดกันเจ็ดแปดก้าวจากแรงพุ่งทะยานที่หลงเหลืออยู่ของพลองเสมอคิ้ว ก่อนที่มันจะร่วงตกพื้นดังเคร้ง เวลานี้ชายหน้าเหลี่ยมถึงกับกุมอก ทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น คอพับล้มกระแทกพื้นเสียงดังตึงแน่นิ่งไป
“พี่ใหญ่!” คนที่รุมโจมตีท่านเก้าอยู่วิ่งถลันไปหาเขาพร้อมกัน
ท่านเก้าซวนเซหงายหลังตึง
“ท่านเก้า!” ฟู่ถิงจวินร้องเสียงหลงพลางถลาเข้าไป “ท่านเก้า…”
เขาหลับตาแน่น ใบหน้าซีดเหลือง
“ท่านเก้า!” น้ำตานางหยดต้องใบหน้าเขาไม่ขาดสาย
ชายร่างท้วมหนาเหมือนคนเชือดสัตว์ผู้นั้นได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว เขากลอกตาไปมาแล้วผละจากชายหน้าเหลี่ยม ฉวยดาบใหญ่บนพื้นขึ้นมาได้ก็ปรี่เข้าไปหานาง
กระบี่อ่อนสีเงินวาววับดั่งงูพิษ พุ่งไล่ตามไปเสียบทะลุเข้ากลางหลังเขาอย่างฉับไว
ชายร่างท้วมหนาหยุดชะงักกึก จวบจนกระบี่อ่อนถูกดึงออก มีโลหิตพวยพุ่งออกมาจากตัวเขาระลอกหนึ่ง ถึงล้มลงกับพื้นดังตุบ
คนที่ห้อมล้อมชายหน้าเหลี่ยมอยู่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงร้องตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง
คนๆ อื่นพากันเงยหน้าขึ้น เห็นชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่คนนั้นซึ่งยังมอบเงินให้พวกเขาอย่างพินอบพิเทาเมื่อครู่นี้ ถือกระบี่อ่อนยืนอยู่ข้างศพชายร่างท้วมหนา ใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพดังเก่า
ทุกคนสะท้านเยือกวูบหนึ่งอย่างสุดระงับ ต่างคนต่างมองเห็นแววสะพรึงกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย
“สังหารให้หมดเถอะ!” ชายท่วงท่าผึ่งผายกล่าวโพล่งขึ้น เสียงเฉยเมยเจือความเย็นชาน่ายำเกรงเฉกผู้ทรงอำนาจ
“ขอรับ” ชายร่างกำยำขานตอบเสียงดัง ในน้ำเสียงถึงกับแฝงความยินดีรางๆ
เขาก้าวปราดๆ เข้าไป เหวี่ยงหมัดชกใส่คนที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุด
ในโถงกว้างมีเสียงของแตกหักดังขึ้นแผ่วๆ ใบหน้าคนผู้นั้นยุบเข้าไปรอยหนึ่งทันที เขาไม่ร้องสักแอะ ล้มลงแล้วไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย
ข้างฝ่ายกระบี่อ่อนในมือชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่ก็ว่องไวดุจอสรพิษ ปลิดชีพได้ในกระบี่เดียว
ชายหน้าเหลี่ยมฟื้นขึ้นมาแล้วร้องโวยวายวิ่งหนีออกไป
แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้นมือสังหารทั้งสองไปได้
ภายในศาลเจ้ากลายเป็นขุมนรกอเวจีไปในชั่วพริบตาเดียว
ฟู่ถิงจวินตะลึงลาน
ความรู้สึกที่มีต่อกลุ่มคนตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือย่ำแย่ถึงขีดสุด
ในเมื่อมีฝีมือเหนือกว่าทุกทางเช่นนี้ เหตุใดพอเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยเหลือ
นางอดปรายตามองไปทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้มิได้
ชายหน้าเหี้ยมผู้นั้นหายตัวไปแล้วหรือนี่!
นางหันซ้ายแลขวาอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เห็นชายหน้าเหี้ยมคนนั้น กลับเห็นชายท่าทางคล้ายเถ้าแก่เอากระบี่อ่อนที่เหยียดตรงแทงซ้ำตรงกลางอกของทุกคนที่ล้มนอนอยู่กลางโถง
ความรู้สึกพะอืดพะอมพลุ่งขึ้นกลางอกหญิงสาวระลอกหนึ่ง
นางเบนหน้าไปอีกทางแล้วอาเจียนอย่างกลั้นไม่อยู่
“แม่นาง ท่านไม่เป็นไรกระมัง!” มีคนเดินเข้ามาหา ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้