LOVE
ทดลองอ่าน OOC I พลิกรักสลับบท บทนำ-บทที่ 1
บทนำ ห่างกันสักพักไม่เท่ากับเลิกรา
ภาพตรงหน้าพร่าเบลอด้วยหยดน้ำตาอุ่นร้อน ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงก่ำฝืนคลี่ยิ้มทั้งที่หัวใจปวดร้าว หญิงสาวตั้งคำถามในหัวเป็นร้อยครั้งเป็นพันหน
ว่าเพราะอะไร…ชีวิตของเธอถึงได้เดินทางมาถึงจุดนี้
…จุดที่มิอาจมีหนทางให้ถอยหลังกลับ
ขณะมองภาพสองหนุ่มสาวซึ่งตระกองกอดกันไว้แนบแน่น วัตถุหนักอึ้งในมือขวาถูกยกขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา หัวใจคล้ายถูกถ่วงด้วยตุ้มเหล็ก
“…ลาก่อน” เธอเอ่ยลาเขาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ไม่ทันได้ฟังเสียงห้ามปรามจากใคร กระบอกปืนก็ถูกยกขึ้นมาแนบขมับ
ปัง!
เฮือก!
ร่างระหงในชุดนอนสีดำสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่งหอบ สองมือชื้นเหงื่อปัดป่ายไปทั่วตัว พอสัมผัสได้ถึงหัวใจซึ่งกระแทกหนักหน่วงอยู่ในอกซ้าย หญิงสาวก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก เธอเลื่อนมือขึ้นเช็ดดวงหน้าที่ชุ่มน้ำตาก่อนจะโอบกอดตัวเองไว้แน่นๆ
“ฝันร้าย…แค่ฝันร้ายเท่านั้น” เธอกระซิบปลอบโยนตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่รู้ดีว่า…มันไม่ใช่แค่ฝันร้ายอย่างที่พูด
ริมฝีปากรูปกระจับถูกขบแน่นพอๆ กับปลายนิ้วที่บีบรัดต้นแขนของตัวเองไว้ ร่างระหงได้สัดส่วนยังสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวถูกสะท้อนผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลสวยเฉี่ยว
วันนี้มันยังเป็นแค่ความฝัน แต่วันหนึ่งในอนาคต…มันจะกลายเป็นความจริง
ความจริง…ที่เธอต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้
ก๊อกๆ
“คุณนีซคะ คุณนีซตื่นหรือยังคะ”
เสียงเคาะประตูพร้อมการเรียกขานของพี่เลี้ยงคนสนิททำให้ร่างระหงสะดุ้งโหยง ‘คุณนีซ’ หรือ ‘นิสรีน’ หันขวับไปจ้องประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่ด้วยแววตาหวาดระแวง ครู่หนึ่งเธอก็ตั้งสติได้ หญิงสาวใช้ฝ่ามือถูใบหน้า ปรับอารมณ์และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด
นั่นก็คือน้ำเสียงที่แข็งและห้วนจนฟังดูกระด้าง
“ว่า?”
อ่า…
นิสรีนกัดปลายลิ้นแทนการเตือนสติตัวเอง
ก็ว่าจะปรับนิสัยใหม่ไม่ใช่เหรอนีซ
พอคิดได้แบบนั้น หญิงสาวจึงเอ่ยเสริมไป
“ว่าไงพี่พิ”
แม้จะยังไม่มีหางเสียงแต่น้ำเสียงกลับทอดอ่อนลงจนสังเกตได้ ‘พิกุล’ ซึ่งยืนอยู่นอกประตูห้องถึงกับนิ่งงัน ทว่าพอรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากร่างสูงใหญ่ข้างๆ เลยต้องรีบส่งเสียงกลับไป
“คุณนีซตื่นหรือยังคะ พอดีว่า…คุณคุปต์มาค่ะ”
คุณคุปต์? พี่คุปต์…
หัวใจคนฟังกระตุกวูบ แวบแรกมันเต้นระรัวแรง ริมฝีปากคลี่ยิ้มอัตโนมัติอย่างที่เป็นมาตลอดสิบปี ทว่าเป็นอีกครั้งที่เธอเลือกจะกัดลิ้นเตือนสติตัวเอง ปลายเล็บยาวเคลือบเจลแต่งด้วยอะไหล่ชิ้นเล็กสวยงามจิกเข้ากลางอุ้งมือ ฉุดรั้งหัวใจตัวเองให้กลับคืนมา
ไม่ได้นีซ…
…รักพี่คุปต์…ไม่ได้อีกแล้ว
“พี่พิไปบอกพี่คุปต์ให้หน่อยว่านีซยังไม่ตื่น”
และถ้ารู้ว่าเธอยังไม่ตื่น ตามปกติ ‘อัตรคุปต์’ ผู้แสนเอาแต่ใจมักหงุดหงิดจนเลือกที่จะกลับไปก่อนเสมอ จนพอเธอตื่นขึ้นมารู้เข้าก็หงุดหงิดจนอารมณ์เสียใส่พี่เลี้ยงที่ไม่ยอมปลุกตัวเองให้ทันเขา
เพราะงั้น…แบบนี้น่ะดีแล้ว
…ปล่อยให้เขาหงุดหงิดกลับไปน่ะดีที่สุดแล้ว
“เอ่อ…แต่ว่า…”
พิกุลเหลือบมองสีหน้าดุดันของชายหนุ่มแล้วก็ได้แต่เลียริมฝีปาก
อัตรคุปต์หรี่ตา มือหนาเลื่อนไปจับลูกบิด พอรู้ว่ามันขยับได้ก็กระตุกยิ้ม เขาเหลือบมองคนที่แก่กว่าเกือบยี่สิบปีพลางเอ่ยไล่ด้วยระดับเสียงที่คนในห้องไม่ได้ยิน
“ไปเลย เดี๋ยวจัดการเอง”
“เอ่อ…ค่ะ…”
เพราะรู้ดีถึงอำนาจและความเอาแต่ใจของชายหนุ่มตระกูลมหัสวัต พิกุลจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วเดินจากมา
หล่อนรับหน้าที่เลี้ยงดูนิสรีนมาตั้งแต่เล็ก และมองเห็นความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้จะมีสถานะเป็นคนรักซึ่งขยับเป็นคู่หมั้น แต่ ‘คุณหนู’ ของหล่อนมักจะเป็นฝ่ายไล่ตามผู้นำตระกูลมหัสวัตมาตลอด แล้วครึ่งเดือนมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมนิสรีนถึงได้ดูเป็นฝ่ายปฏิเสธอัตรคุปต์แบบนี้
ไม่รอให้พี่เลี้ยงของคู่หมั้นเดินลับไปด้วยซ้ำ อัตรคุปต์ก็ถือวิสาสะเปิดประตูออก หัวใจชายหนุ่มไหวยวบยามเห็นเงาร่างคล้ายจะแตกสลายบนเตียงกว้าง น้ำเสียงที่ใช้จึงทอดอ่อนลงกว่าปกติ
“ถ้ายังไม่ตื่นแล้วนี่ละเมอเหรอ”
ร่างระหงสะดุ้งไหว ดวงหน้าซีดขาวหันขวับมาจ้องผู้ที่เข้ามาใหม่ ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทเดินล้วงกระเป๋าก้าวตัดผ่านโซนห้องนั่งเล่นเข้ามาอย่างไร้ความลังเล
“พี่คุปต์” เธอหลุดปากเรียกชื่อเขา แวบแรกอีกเช่นกันที่ความยินดีเคลือบทับอยู่ในดวงตา ทว่าพอตั้งสติได้ก็รีบขยับกายนั่งหลังตรง ปรับสีหน้าให้แข็งกระด้างขึ้นเช่นเดียวกับน้ำเสียง “เข้ามาทำไม”
“ก็เข้ามาปลุกเด็กขี้โกหกไง” อัตรคุปต์ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ชิดขอบเตียง ร่างสูงโน้มตัวลงไปใกล้ หัวใจกระตุกเพราะร่องรอยความอ่อนล้าอิดโรยบนวงหน้างาม มือใหญ่เอื้อมไปแตะคางได้รูปอย่างเบามือ คิ้วเข้มขมวดมุ่น เผลอถามเสียงดุ “แล้วนี่อะไร หลายวันมานี้ไม่รับสาย ไม่ยอมเจอพี่เพราะอ้างว่าเหนื่อย อยากนอน นอนยังไงให้หน้าซีดเป็นศพแบบนี้ฮึ”
คนโดนหาว่าหน้าซีดเป็นศพกัดริมฝีปาก ปัดมือใหญ่ออกจากปลายคางพร้อมกระถดตัวไปอีกฟากของเตียง เห็นแหละว่าเขามีสีหน้าไม่พอใจ ทว่าเธอก็ทำเหมือนไม่สังเกตเห็นมัน
“แล้วพี่คุปต์มายุ่งอะไรกับนีซล่ะ อย่าลืมนะว่า…” นิสรีนสูดลมหายใจลึก มือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านวมสีไวน์กำแน่นขณะเชิดหน้าประกาศ “เราเลิกกันไปแล้ว”
“เลิก?” ชายหนุ่มแค่นเสียงเยาะ กรอบหน้าคมเอียงไปทางซ้าย ทำให้แสงนอกผ้าม่านสะท้อนเข้ากับห่วงสีเงินตรงใบหู “เราเลิกกันตอนไหน ใครอนุญาต”
“เลิกกันเมื่อครึ่งเดือนก่อนไง” เธอเม้มปาก “ที่นีซบอกเลิกพี่ในวันเกิด…”
ในวันเกิดปีที่ยี่สิบเก้าของเขา นิสรีนได้มอบอิสรภาพซึ่งเป็นของขวัญที่เขาปรารถนาที่สุดให้
“หึ” อัตรคุปต์ทำเสียงขึ้นจมูก “เธอใจร้ายมากนะที่บอกเลิกในวันเกิด กะให้ต่อจากนี้พอถึงวันเกิดพี่จะจำได้แต่เรื่องนี้หรือไง”
หัวใจของคนตั้งใจบอกเลิกเขาบีบรัดตัว นิสรีนหลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่น
ใช่ เธอจงใจให้เป็นแบบนั้น
บอกเลิกเขาในวันเกิด อย่างน้อยเพื่อให้ทุกปีที่วันเกิดเวียนมาถึง เขาจะได้นึกถึงเธอขึ้นมาบ้าง ยังจดจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้หญิงชื่อนิสรีนเป็นคนรัก
หญิงสาวอยากให้อัตรคุปต์จดจำเธอในฐานะแฟนเก่าที่ยอมเลิกรากันแต่โดยดี ไม่ใช่นางร้ายที่ยื้อความสัมพันธ์จนกลายเป็นมารความรักระหว่างเขากับผู้หญิงอีกคน
เห็นท่าทางคล้ายยอมรับของคู่หมั้นแล้ว นัยน์ตาคมดุก็อัดแน่นไปด้วยความหงุดหงิด
“นีซบอกเลิก แล้วพี่บอกเหรอว่ายอมรับมัน” ดวงหน้าหล่อเหลาส่ายไปมา “ตลกน่ะ ตอนตกลงคบกันก็ตกลงกันสองคน แล้วทำไมพอจะเลิกกันนีซถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่คนเดียว”
แม้สิ่งที่ชายหนุ่มพูดจะมีเหตุผล แต่นิสรีนก็ยังเงยหน้าเถียง
“ใครว่านีซตัดสินใจคนเดียว พี่คุปต์เองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกให้เราห่างกันสักพัก”
คำพูดตอกกลับของคนรักทำให้อัตรคุปต์หน้าชา เขาขบกรามแน่น แต่กระนั้นก็ยังโต้กลับไป
“พี่เคยบอกให้ห่างกันสักพักก็จริง” ก่อนที่เขาจะค้นพบความจริงบางอย่าง ชายหนุ่มเคยพูดมันออกไป ทว่า… “แต่พี่บอกแค่ ‘ห่าง-กัน-สัก-พัก’ ไม่ใช่เลิกกันสักหน่อย”
แค่เว้นระยะห่างให้เขาได้มีเวลาขบคิดบางอย่างให้แน่ใจก็เท่านั้น
“แค่ห่างไม่ใช่เลิกกัน? เฮอะ” หญิงสาวแค่นหัวเราะบ้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยวาววับ “ลองไปถามคนทั้งประเทศดูสิ ห่างกันสักพักมันก็คือประโยคบอกเลิกนั่นแหละ”
“บอกเลิกของคนทั้งประเทศ แต่ไม่ใช่บอกเลิกของพี่นี่ นีซน่าจะรู้ว่าถ้าคนอย่างพี่คิดจะเลิก พี่บอกเธอตรงๆ แน่ ไม่มาอ้อมค้อมอยู่หรอก”
เพราะรู้นิสัยของอดีตคนรักดี นิสรีนจึงเมินหน้าหนีไปอีกทางพลางงึมงำเสียงเบา
“ต่อให้ไม่เลิกกันวันนี้ วันหน้าก็ต้องเลิกกันอยู่ดี”
“อะไรนะ” ผู้นำตระกูลมหัสวัตหรี่ตา เมื่อไม่พอใจกับระยะห่างที่คู่หมั้นสร้างขึ้น เขาก็ไม่รังเกียจที่จะก้าวขึ้นไปประชิดเธอถึงบนเตียง
“ว้าย พี่คุปต์! ทำบ้าอะไรเนี่ย!” หญิงสาวซึ่งยังอยู่ในชุดนอนตัวบางหวีดร้องเสียงหลง รีบยกผ้านวมผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมร่าง
“ทำเหมือนพี่ไม่เคยเห็น” ชายหนุ่มเบะปาก มือหนาดึงรั้งข้อมือบางไว้ไม่ให้เธอขยับหนีได้อีก “แล้วที่พูดเมื่อกี้คือยังไง เอาอะไรมาบอกว่าจะเลิกกัน พี่เคยพูดตอนไหน ก็บอกแล้วไงว่าไม่เลิก!”
“พี่คุปต์เลิกทำเป็นไม่รู้ได้มั้ย!”
ในเมื่ออัตรคุปต์ไม่ยอมจบง่ายๆ ยังจะคุยเรื่องนี้ต่อให้ได้ นิสรีนก็เลิกที่จะหนี หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เงยหน้าขึ้นสบตาคมดุด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็รู้อยู่แล้วว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้!”
“เอาอะไรมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เรายังรักกันดีไม่ใช่รึไง”
“ไม่ใช่!” หญิงสาวกรีดร้องอย่างสุดจะกลั้น “พี่คุปต์ก็รู้ว่าเราไม่ได้ถูกลิขิตให้มาคู่กัน! นีซเป็นแค่นางร้าย! เป็นผีแฟนเก่า เป็นมารความรักที่คอยขัดขวางพระเอกอย่างพี่คุปต์กับนางเอกที่พี่รัก!” นิสรีนระเบิดความในใจออกมาด้วยแววตาเจ็บปวดระคนสับสน
‘นางร้าย’ ‘พระเอก’ และ ‘นางเอก’ มันไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย ทว่านั่นคือเรื่องจริง…คือชะตาชีวิตของพวกเธอที่ถูกใครบางคนลิขิตไว้
นัยน์ตาสีน้ำตาลวาวรื้นสบตาสีเข้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“พี่คุปต์ก็รู้…ว่าถ้านีซยังดื้อจะรักพี่คุปต์ต่อไป ผลสุดท้ายนีซก็เป็นได้แค่นางร้ายที่ต้องยิงตัวตายเท่านั้น”
เพราะนั่นคือโชคชะตาที่นางร้ายอย่างเธอถูกนักเขียนลิขิตไว้