บทที่ 3 คำขอโทษที่ไม่เคยได้รับ
คำว่ารักที่เคยอยากได้ยินจากปากอัตรคุปต์มาตลอดกลับดังขึ้นในวันที่เธอไม่ต้องการอีกต่อไป ทว่า…เพียงแค่คิดถึงช่วงวินาทีนั้นหัวใจซึ่งยังอัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อเขาก็เต้นกระหน่ำแรงไม่เลิกรา
“เฮ้อ!”
นิสรีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างระหงพลิกตัวนอนคว่ำซุกหน้าลงกับหมอนใบโต พยายามบังคับตัวเองให้เลิกคิดถึงเรื่องราวเมื่อหลายวันก่อนเสียที
วันนั้นหลังได้ยินคำบอกรักจากอัตรคุปต์ สิ่งเดียวที่นิสรีนทำได้คือการเม้มปาก คว้ากระเป๋า แล้วผุดลุกเดินออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันไปกล่าวลาคุณศจี
ใช่ มันเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทมาก นิสรีนรู้ตัวดี แถมยังเคยรู้สึกผิดคิดอยากไปขอโทษด้วย แต่สุดท้ายหญิงสาวที่รู้อยู่แก่ใจว่าย่าของอดีตคนรักไม่มีวันชอบใจในตัวเธอก็ตัดสินใจจะปล่อยผ่านมันไป เธอไม่จำเป็นต้องพยายามทำในสิ่งที่เปล่าประโยชน์
อีกไม่นานนางเอกตัวจริงก็จะปรากฏตัวแล้ว กุหลาบชมพูแสนอ่อนหวานที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากคุณศจีเสียจนคนที่เคยเอาแต่คัดค้านการเกี่ยวดองระหว่างสองตระกูลมาตลอดเป็นฝ่ายเจ้ากี้เจ้าการรีบจัดงานแต่งงานให้แทบไม่ทัน
ในเมื่อคุณย่าไม่มีวันชอบหรือมองเธอในแง่ดีขึ้นมาได้ และเธอก็ไม่ได้คิดอยากฝากตัวเป็นหลานสะใภ้ของท่านอีกต่อไป แตกหักกันไปเลยก็คงไม่เลวนัก
นิสรีนปลอบใจตัวเองแบบนั้น ทว่าขณะที่เธอกำลังนอนแผ่หลาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประตูห้องก็ถูกเคาะด้วยน้ำหนักมืออันคุ้นชิน
ก๊อกๆ
“คุณนีซตื่นหรือยังคะ”
เป็นคำถามแรกของวันที่นิสรีนต้องได้ยินจากปากของพิกุล แม้พี่เลี้ยงจะแอบแนบหูกับบานประตูเพื่อสำรวจความเคลื่อนไหวภายในห้องจนแน่ใจว่าเธอตื่นแล้ว แต่หล่อนก็มักจะเอ่ยปากถามอีกครั้งอยู่เสมอ
ริมฝีปากรูปกระจับหยักยิ้มหยัน ก้อนเนื้อในอกปวดหนึบด้วยความรู้สึกผิด
ที่ต้องถามย้ำเพราะมีอยู่หลายครั้งที่เธอตื่นนอนแล้วแต่ยังไม่มีอารมณ์จะเจอหน้าใคร พิกุลผู้น่าสงสารจึงโดนหมอนบ้าง หนังสือบ้างขว้างใส่อยู่เสมอ
“เธอนี่มันแย่จริงๆ นีซ” หญิงสาวบริภาษตัวเองเสียงเบา
ทั้งที่ในโลกแห่งนิยายนี้ พิกุลเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ดีต่อนางร้ายอย่างเธอด้วยความจริงใจจนวาระสุดท้ายแท้ๆ
เพราะตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนั้น นับตั้งแต่รู้เรื่องนิสรีนจึงพยายามทำตัวดีกับพิกุลมากขึ้น ทว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘สันดาน’ ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ในเวลาเดือนสองเดือน ดังนั้นจึงมีหลายครั้งที่เธอเผลอขึ้นเสียงใส่ พูดไม่ดีด้วย และเอาความหงุดหงิดไปลงกับพี่เลี้ยงคนสนิท
“นีซตื่นแล้ว”
ร่างระหงซึ่งยังอยู่ในชุดนอนตัวบางยื่นมือไปคว้าเสื้อคลุมเข้าชุดมาสวมทับ ตอนนั้นเองประตูห้องบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก หญิงวัยสี่สิบปลายค่อยๆ ก้าวเข้ามาพลางสังเกตสีหน้าของเจ้านายด้วยความระมัดระวัง พอไม่เห็นร่องรอยหงุดหงิดบนวงหน้าสวย หล่อนก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มอ่อนโยนถูกประดับบนใบหน้า
“คุณนีซคะ หมอพราวมาถึงแล้วค่ะ”
“อื้อ เดี๋ยวนีซลงไป” นิสรีนพยักหน้าตอบรับก่อนจะรีบพูดต่อ “หมายถึง…ไม่เกินสิบห้านาทีนีซจะลงไป”
คำอธิบายเพิ่มเติมทำให้พิกุลชะงักไปครู่หนึ่ง
ปกติคุณนีซไม่เคยบอกว่าจะให้รอนานขนาดไหน
หล่อนจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ‘หมอพราว’ แพทย์ผิวหนังแห่งคลินิกเสริมความงามชื่อดังซึ่งมีหน้าที่ดูแลผิวหน้าของนิสรีนโดยเฉพาะเคยต้องนั่งรออยู่ครึ่งค่อนวันทั้งที่คุณหนูของหล่อนตื่นตั้งนานแล้ว แต่ ‘ขี้เกียจ’ ลงไปทำหน้า ซึ่งถ้าไม่ติดว่าเม็ดเงินที่ได้รับจากอัศมาลย์มากกว่าลูกค้าคลินิกหลายเท่าและนิสรีนก็เหมาคิวไว้ทั้งวัน แพทย์สาวคนนั้นคงด่าทอออกมาตรงๆ แทนการบ่นขมุบขมิบแน่ๆ
“ค่ะ เดี๋ยวพี่ลงไปบอกให้ค่ะ คุณนีซ…จะรับมื้อเช้าก่อนมั้ยคะ”
ถึงสิบโมงกว่าอาจจะสายเกินกว่าเป็นมื้อเช้าสำหรับบ้านอื่น แต่กับคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ไม่ว่านิสรีนจะตื่นตอนไหนก็นับเป็นการเริ่มต้นมื้อเช้าได้เหมือนกัน
นิ่งคิดอยู่สักพักนางเอกละครชื่อดังก็ส่ายหน้า
“ไม่อะ กว่านีซจะกินเสร็จอะไรเสร็จ หมอพราวคงต้องรอไปอีกนาน เดี๋ยวนีซอาบน้ำแล้วลงไปเลย”
“งั้นพี่จะเตรียมครัวซองต์กับช็อกโกแลตร้อนให้คุณนีซรองท้องแล้วกันนะคะ”
“อือ”
กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์พยักหน้า ร่างระหงลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เห็นจากหางตาว่าพี่เลี้ยงกำลังทำหน้าที่เก็บเตียงนอนให้เป็นระเบียบเหมือนทุกวัน
สุดท้ายก็เลตจนได้
นิสรีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับนิสัยที่แก้ไม่หายของตัวเอง
ทั้งที่ตั้งใจจะปรับพฤติกรรมใหม่ พยายามเร่งกิจวัตรไม่ให้ ‘พราวฟ้า’ ต้องรอนานนัก แต่สุดท้ายกว่าเธอจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก้าวลงมาจากชั้นบนก็ปาเข้าไปยี่สิบกว่านาทีแล้ว
“เดี๋ยวนี้อยู่ติดบ้านนะเรา”
คำทักทายจาก ‘คุณกมลมาศ’ ผู้เป็นป้าสะใภ้ทำให้นิสรีนชะงัก วงหน้าสวยซีดขาวปราศจากเครื่องสำอางหันไปมองหญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งจิบชาพร้อมเล่นแท็บเลตอยู่ในห้องนั่งเล่น
แม้คุณกมลมาศจะถูกวางตัวให้เป็นแม่เลี้ยงใจยักษ์ของนางเอกอย่างโรสลิน และมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ค่อนข้างร้ายกาจจนสามีอย่างคุณราเชนนึกกลัวว่าลูกสาวสุดที่รักจะโดนรังแก แต่สำหรับนิสรีน…นอกจากจะไม่เคยรังแครังคัดอะไรแล้ว ป้าสะใภ้คนนี้ยังค่อนข้างเอ็นดูเธออยู่ไม่น้อย คงเพราะท่านมีลูกไม่ได้และช่วย ‘คุณรสิตา’ เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กนั่นแหละ