เพราะคาเฟ่ที่นิสรีนตั้งใจจะไปตั้งอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วคงทำให้เขากลับไปเข้างานช่วงบ่ายไม่ทัน ระหว่างรถติดไฟแดงอัตรคุปต์จึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้วาริธรรู้ว่าเขาคงไม่กลับออฟฟิศแล้ว
“ถ้ามีงานก็ไปทำเถอะ”
ประโยคจากคนที่เคยออดอ้อนขอให้เขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกครั้งที่เขาติดงาน ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปสบตาเธอ เลยได้เห็นสีหน้าจริงจังไร้วี่แววประชดประชัน ก่อนที่นิสรีนจะย้ำอีกครั้ง
“นีซพูดจริง ถ้ามีงานอะไรพี่คุปต์ก็ไปทำเถอะ นีซไปเองได้”
แม้ว่านั่นจะหมายความว่าเธอจะต้องโทรศัพท์เรียกให้เจนสุดาซึ่งแยกตัวไปแล้วกลับมารับก็ตาม
“ไม่” อัตรคุปต์ปฏิเสธ ยังคงยืนกรานสิ่งที่ตนเลือกแล้ว “งานสำคัญกับงานด่วนพี่เคลียร์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนงานที่เหลือเอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”
พอเขายืนยันแบบนั้นเธอก็ผงกศีรษะ ดวงหน้าสวยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนจางอย่างที่ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจความหมายของมัน
และเขาไม่ชอบเลยสักนิด…ที่อ่านความรู้สึกนิสรีนไม่ได้แบบนี้
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าพาหนะคันหรูจะพาสองหนุ่มสาวไปถึงคาเฟ่สไตล์มินิมอลซึ่งกำลังได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ จนนางเอกสาวผู้มีงานอดิเรกคือการตระเวนไปถ่ายรูปตามคาเฟ่สวยๆ ตัดสินใจใช้วันว่างของสัปดาห์นี้เดินทางมาเยือน เมื่อประเมินสภาพอากาศด้านนอกแล้ว ก่อนลงจากรถยนต์นิสรีนก็ไม่ลืมฉีดสเปรย์กันแดดทั่วทั้งผิวหน้าและผิวกาย ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา
“จะฉีดด้วยเหรอ”
แน่นอนว่าตอนแรกอัตรคุปต์ไม่ได้คิดถึงมัน นอกจากจะมีผิวพรรณขาวกระจ่างราวหิมะมาตั้งแต่กำเนิดชนิดที่ไม่ว่าจะตากแดดตากลมเท่าไรเขาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องผิวคล้ำเสียแล้ว ด้วยความเป็นพระเอกผู้สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่านักเขียนจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นมะเร็งผิวหนังแน่นอน กระนั้นพอเธอถามเขาก็เลือกจะพยักหน้า แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นส่ายหัวปฏิเสธยามมือเล็กยื่นขวดสเปรย์มาให้ วงหน้าหล่อเหลาเลื่อนข้ามช่องว่างระหว่างสองเบาะเข้าไปใกล้ บอกความต้องการของตัวเอง
“ฉีดให้พี่ที”
อ่า…
อัตรคุปต์กัดลิ้น นิ่วหน้าขึ้นมาเมื่อพบว่าปัญหาด้านการพูดอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับนิสรีนแค่คนเดียว เพราะน้ำเสียงที่เอ่ยอย่างไม่คิดอะไรของเขาก็ดูห้วนจนเหมือนออกคำสั่งมากกว่าออดอ้อนขอร้องอย่างที่ควร
แม้จะคุ้นชินกับน้ำเสียงแบบนั้นของเขามามากจนเกือบไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นนัยน์ตาไหววูบของชายหนุ่ม นิสรีนก็อดเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ไม่ได้
“สั่งเหรอ”
ถึงจะแน่ใจว่าสีหน้าของคนรักไม่ได้แฝงความไม่พอใจ ทว่าอัตรคุปต์ที่อยากจะรักษาทุกความรู้สึกของหญิงสาวไว้ก็ยังส่ายหน้า ถือวิสาสะคว้ามือข้างที่ว่างของเธอขึ้นมาแตะกรอบหน้าคมของตน บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่ได้สั่ง” เขาปฏิเสธ และราวกับกลัวเธอจะไม่เข้าใจจึงย้ำอีกที “นั่นพี่อ้อน”
เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าถ้ายังฝืนสบตาเขาอยู่ เธอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์จึงดึงมือออก พอเห็นชายหนุ่มอ้าปากก็รีบร้องสั่ง
“หลับตา ปิดปากให้สนิท”
แล้วรีบพ่นสเปรย์กันแดดคุณภาพดีทั่ววงหน้าหล่อเหลาไล่ไปจนถึงลำคอแกร่ง ซึ่งเวลานี้นอกจากสูทสีดำตัวนอกจะถูกถอดพาดไว้ที่เบาะหลังแล้ว กระดุมเสื้อสองสามเม็ดบนยังถูกปลดออกจนเห็นผิวเนื้อเรียบตึงได้รางๆ
ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรยามคนรักคว้าท่อนแขนซึ่งพ้นจากแขนเสื้อที่พับทบขึ้นไปถึงข้อศอกมาพ่นสเปรย์ให้ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นิสรีนก็เก็บขวดสเปรย์กันแดดกลับเข้าไปในกระเป๋าสานใบใหญ่ แว่นกันแดดสีม่วงสวยถูกหยิบขึ้นมาสวมทับดวงตา ก่อนจะก้าวลงจากรถก็เบะปากร้องบอกเบาๆ
“เป็นการอ้อนที่เหมือนออกคำสั่งชะมัด”
อัตรคุปต์โคลงศีรษะ หลุดหัวเราะออกมาบ้าง พอลงจากรถแล้วก็จัดการล็อกรถยนต์ให้เรียบร้อย ขายาวในกางเกงสแล็กส์สีดำก้าวเข้าไปใกล้ร่างระหง คว้ากระเป๋าสานใบโตบรรจุข้าวของมากมายมาถือไว้เสียเอง อาศัยที่เขาสูงกว่าจึงก้มลงกระซิบข้างใบหูซึ่งมีต่างหูผีเสื้อคู่เล็กประดับอยู่
“งั้นพี่คงต้องอ้อนนีซมากกว่านี้” เขาว่า ลมหายใจอุ่นร้อนรดข้างลำคอระหง นัยน์ตาสีเข้มคมดุเป็นประกาย “เอาแบบให้เสียงพี่เหมือนคนอ้อนมากกว่าสั่ง…ไม่งั้นก็ให้เธอชินจนเข้าใจว่าพี่กำลังอ้อนอยู่”