ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย

เยี่ยนอู๋ซือยืนเอามือไพล่หลัง เห็นเขาสีหน้าขาวซีดสภาพปางตายจึงส่งเสียงจุ๊ๆ ออกมา “เมื่อไม่นานนี้เจ้าแยกกับเฉินกงไปตามทางของตัวเองเพื่อที่จะไม่พัวพันกับเขา ผลลัพธ์ของความหวังดีย้อนกลับมาหักหลังเสียแล้ว คนแซ่เฉินเองไม่ยอมเป็นของรักของหวงของมู่ถีผอ จึงโยนเจ้าออกมา รสชาติของคนดีเป็นเช่นไร”

หน้าอกเสิ่นเฉียวเกิดคลื่นเหียนแทบตาย ป้องปากแทบอยากจะบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมาอีกหลายคำจึงสะใจ

“ท่านกล่าวไม่ถูก คืนนั้นที่วัดชูอวิ๋น ข้าคือคนที่อ่านชิ้นส่วนคัมภีร์ ข้ากับเฉินกง มีเพียงข้ารู้หนังสือ ถึงแม้เฉินกงความจำเหนือมนุษย์ จดจำประโยคได้จำนวนหนึ่งแต่ก็รู้แค่ผิวเผินไม่รู้เบื้องลึก ถ้าหากคนเหล่านั้นของพรรคลิ่วเหอจะตามหาในภายหลัง ต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าแยกกันกับเขาเพื่อให้เขาไม่พัวพันกับข้า หากเขาประสบภัยเพราะตัวข้า ข้าคงรู้สึกผิด”

กล่าวคำพูดวรรคใหญ่ เขาสูญเสียเรี่ยวแรงอยู่บ้าง มิอาจไม่หยุดชะงักหอบหายใจ ค่อยกล่าวต่อไป

“ข้าไม่มีความสามารถล่วงรู้อนาคต ไม่รู้ว่าเขาจะพบเจอมู่ถีผอ ยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะนำภัยมาหาข้าเพื่อให้ตัวเองรอดตัว แต่ในตอนนั้นข้าไม่สามารถจับเขามาเป็นแพะรับบาปอย่างสบายใจ เพราะเขาอาจทำเรื่องไม่ดีต่อข้าในภายหน้า”

เยี่ยนอู๋ซือเดือดดาลแต่กลับหัวเราะ “เจ้าสำนักเสิ่นใจกว้างดุจทะเลจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายคนของเขาเสวียนตูมิใช่ทุกคนล้วนเหมือนกันกับเจ้า หาไม่เจ้าเป็นถึงศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ ไฉนจึงตกต่ำถึงขั้นที่ถูกคุนเสียโจมตีตกหน้าผา”

เสิ่นเฉียวส่ายหน้าไม่กล่าวคำใด

ในตอนนี้ความทรงจำของเขาเลือนราง ขาดช่วงขาดตอน นึกขึ้นได้บ้างไม่ได้บ้าง ยังไม่กระจ่างต่อเรื่องราวภายในของความหลังช่วงนี้แต่อย่างใด และไม่มีอะไรกล่าวได้

เยี่ยนอู๋ซือกลับพลันยกฝ่ามือฟาดมาใส่เขา

ฝ่ามือนี้มิใช่การหยั่งเชิงเหมือนการเล่นกันของเด็ก แต่ใช้วรยุทธ์สามส่วนฟาดจริง

ด้วยความแตกต่างของคนทั้งสองในตอนนี้ อย่าว่าแต่วรยุทธ์สามส่วน แม้เยี่ยนอู๋ซือจะใช้เพียงส่วนเดียว ก็เกรงว่าเสิ่นเฉียวจะปราศจากแรงต่อต้าน

หากคนรอบข้างอยู่ตรงนั้น ต้องไม่มีทางสงสัยในความคิดฆ่าคนของเยี่ยนอู๋ซือ และต้องรู้สึกว่าเสิ่นเฉียวกำลังหนีเคราะห์ร้ายเป็นแน่

ลมหายใจของเสิ่นเฉียวหนักหน่วงขึ้นมา โลหิตคำหนึ่งโถมถึงคอหอย แต่กลับถูกเขากักไว้แนบแน่น พลังปราณของเยี่ยนอู๋ซือเหมือนเช่นตัวเขา ป่าเถื่อนอย่างยิ่ง ซัดโถมเข้ามาดั่งแม่น้ำเชี่ยวกราก แทบจะแปรเป็นสสาร

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นตาย ล่อแหลมอันตรายอย่างยิ่ง ในใจของเขากลับสงบลง ปรากฏความโปร่งโล่งอันแปลกประหลาด

ในชั่วขณะนั้น เบื้องหน้าของเสิ่นเฉียวยังคงมืดสนิท ทว่านอกเหนือจากความมืดสนิท ยังมีทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่งปรากฏตรงหน้า

จักรวาลกว้างใหญ่ ฟ้าดินไพศาล ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สรรค์สร้างไม่สิ้นสุด คนอยู่ในภพนั้นเล็กเลือนเพียงใด หากคนฟ้าเป็นหนึ่ง แปลงเป็นเทพกลับวิมาน แม่น้ำขุนเขาคือข้า ตะวันจันทราคือข้า ท้องนภาคือข้า เมฆรุ้งคือข้า เชื่อมผ่านสรรพสิ่ง

ยามนี้เสิ่นเฉียวมีความรู้สึกเช่นนี้

เขาบอกได้ไม่ชัดว่าความทรงจำอันขาดช่วงขาดตอนของตนเองสำแดงประโยชน์แล้ว หรือเป็นเพราะชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่ตนเองอ่านคืนนั้นได้สลักลึกอยู่ในใจ เคียงคู่กับตัวอักษรที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นทีละตัวทีละประโยคในสมอง ในใจเขาประดุจแสงจันทร์ผ่านดงไม้ รัศมีโชติช่วง บริสุทธิ์งดงาม

พลังปราณที่ติดขัดและว่างเปล่าไปนานแล้วกลับเริ่มโคจรรางๆ ทั่วร่าง ต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ฝ่ามือนี้ของเยี่ยนอู๋ซือประทับมาดั่งเขาไท่ซานล้มทับ ซ้ำยังว่องไวเหมือนพายุ หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป แม้กระทั่งตาเปล่าก็มิอาจมองเห็นชัด แต่เสิ่นเฉียวกลับมองเห็นชัดเจน ด้านหลังของเขาคือกำแพง มิอาจหลบได้อีก ได้แต่เลือกประจันหน้ารับศัตรู

ใช้เรือนร่างที่เจ็บป่วยอ่อนแอของตนเผชิญกับพลังสามส่วนของเยี่ยนอู๋ซือ

เยี่ยนอู๋ซือเคยปะทะกับปรมาจารย์แห่งยุค ยอดฝีมือขั้นสุดยอดในใต้หล้าพวกฉีเฟิ่งเก๋อและชุยโหยววั่งโดยไม่ตกเป็นรอง เห็นได้ว่าพละกำลังของเขาน่าสะพรึงกลัว อย่าว่าแต่เสิ่นเฉียว แม้มู่หรงชิ่นผู้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีอยู่ที่นี่ เผชิญหน้าพละกำลังสามส่วนของเยี่ยนอู๋ซือก็มิอาจรับมือได้อย่างจริงจัง

แต่ทว่าเสิ่นเฉียวกลับต้านแรงกดเช่นนี้เอาไว้ได้

มิได้ถูกฟาดแบนอยู่บนกำแพง และมิได้กระอักเลือดตาย

สีหน้าของเขาขาวซีดจนแทบจะโปร่งใส ฝ่าเท้ากลับมิได้ขยับเขยื้อนสักนิด แขนชุดคลุมโป่งขึ้นเพราะการโจมตีของพลังปราณ แม้กระทั่งผ้าที่รัดผมอยู่บนศีรษะก็หลุดออก ผมยาวสยายตกลงมา ปลิวไสวรุนแรง

พลังปราณสองกลุ่มปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่ง ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอแต่กลับไม่ตกเป็นรองในทันใด

เยี่ยนอู๋ซือเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับมิได้ผิดคาดเกินไปนัก เผยสีหน้าที่บ่งบอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ออกมา

เคล็ดวิชาเขาเสวียนตู สงบบริสุทธิ์ ไม่ขัดแย้งผู้คน พบอ่อนเป็นอ่อนพบแข็งเป็นแข็ง จิตใจผ่องใส บริบูรณ์ไร้บกพร่อง

ในหัวสมองเสิ่นเฉียวพลันแวบผ่านคำพูดประโยคนี้

แต่เขายังตระหนักได้ทันทีว่าพลังแฝงของตนเองถูกกระตุ้นออกมา ความจริงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเขาเสวียนตูมากนัก แต่เพราะ…

ในพลังปราณที่ตนเองใช้กลับปรากฏร่องรอยการผสมผสานกับเยี่ยนอู๋ซือรางๆ พลังปราณทั้งสองคุมเชิงและต่างส่งผลต่อกัน เห็นได้ชัดว่าถือกำเนิดจากที่เดียวกัน!

แต่พละกำลังของคนทั้งสองแตกต่างกันเกินไป เยี่ยนอู๋ซือไม่จำเป็นต้องใช้ท่าทางเพิ่มเลย ขอเพียงเพิ่มแรงกดอีกเล็กน้อย เสิ่นเฉียวก็จะต้านรับไม่อยู่ สีหน้าซีดเซียว บ้วนโลหิตออกมาอีกหนึ่งคำ

เยี่ยนอู๋ซือกลับปล่อยมือออกในยามนี้

“เป็นดังคาด” เขากล่าวด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม “ในตอนนั้นขณะจับชีพจรให้เจ้า ข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าก่อนหน้าเจ้าเคยฝึกปรือชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่เขาเสวียนตู เป็นฉีเฟิ่งเก๋อถ่ายทอดให้เจ้ากระมัง”

เสิ่นเฉียวรู้สึกเพียงสองหูดังวิ้งๆ ฟังสุ้มเสียงของเยี่ยนอู๋ซือก็เหมือนถ่ายทอดมาจากขอบฟ้าไกลๆ ทั้งร่างเขาไถลตามกำแพงตกลงบนพื้น “ฉะนั้นในคืนนั้นที่วัดชูอวิ๋น ท่านจงใจให้ข้าอ่านชิ้นส่วนคัมภีร์?”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “มิผิด คัมภีร์สุริยันมีทั้งหมดห้าเล่ม เล่มสัมภเวสีอยู่ที่เขาเสวียนตูของพวกเจ้า ในเมื่อเจ้าคือผู้สืบทอดของฉีเฟิ่งเก๋อย่อมต้องเคยฝึกเล่มนี้เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นตอนตกลงมาจากเขาปั้นปู้ ไม่ตายก็ว่าเก่งแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยังมีโอกาสรอดชีวิตถึงขั้นค่อยๆ ฟื้นฟูดวงตาและวรยุทธ์ ตัวเจ้าเองไม่รู้สึกแปลกหรือ

นั่นเพราะคัมภีร์สุริยันที่เจ้าเคยฝึกถูกร่างกายของเจ้าจดจำแล้ว ต่อให้เจ้าไม่มีความทรงจำชั่วคราว พลังปราณกลุ่มนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้านานแล้ว กำลังค่อยๆ ช่วยเจ้ารักษาตัว คืนนั้นข้าให้เจ้าอ่านเล่มจิตเพ้อพก เพราะคิดอาศัยเนื้อหาส่วนนี้กระตุ้นให้เจ้านึกถึงส่วนนั้นที่เจ้าเคยฝึกก่อนหน้า ดูว่าเจ้าจะผสมผสานและเชื่อมต่อเนื้อหาของทั้งสองเล่มขึ้นมาได้หรือไม่”

เสิ่นเฉียวลมหายใจรวยรินขณะกล่าว “ข้าเป็นสวะ จะควรค่าให้ประมุขเยี่ยนเสียแรงมากเพียงนี้ได้อย่างไร”

เยี่ยนอู๋ซือแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “เล่มจิตเพ้อพกของคัมภีร์สุริยันปรากฏ นำมาซึ่งการแย่งชิงจากทุกฝ่าย น่าเสียดายที่ถูกข้าทำลายไปแล้ว มีเพียงคนที่อยู่ตอนนั้นได้ยินกับหู หลังพวกเขากลับไปต้องบันทึกเนื้อหาเป็นแน่ พวกเขาคงผสมเนื้อหาเท็จจำนวนหนึ่งไว้ในนั้น เผยแพร่สำเนาออกไปหลายฉบับ นำมาซึ่งการแย่งชิงจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสับสน พรรคที่รุดมาไม่ทันในคืนนั้นมีมากมาย หลังพวกเขาได้ยินข่าวต้องนั่งไม่ติดแน่ ต้องคิดสารพัดวิธีเพื่อให้ได้สำเนาชิ้นส่วนคัมภีร์ที่มีเนื้อหาแท้จริงไม่ผิดพลาด สู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เกิดความวุ่นวายบ่อยครั้ง เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าสนใจหรือ”

เสิ่นเฉียวหลับตาลง “นี่มีผลดีอะไรกับท่าน”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ผลดีย่อมมี แต่ไม่เกี่ยวกับข้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าจำเป็นต้องรู้เพียงว่า เรื่องนี้เจ้าเองก็ได้รับข้อดีใหญ่หลวง ถึงอย่างไรบนโลกนี้ คนที่จะเห็นชิ้นส่วนคัมภีร์เล่มหนึ่งในนั้นได้ ต้องมีโอกาสที่หาได้ยาก มีคนน้อยยิ่งนักที่เป็นเหมือนกับเจ้า ได้รู้สองเล่มในนั้น หากฝึกต่อไปได้ ไม่แน่ว่าจะฟื้นฟูสู่ระดับเก่าก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสมควรขอบคุณข้าจึงจะถูกใช่หรือไม่”

“ประมุขเยี่ยน…”

เยี่ยนอู๋ซือจับคางของเขาเอาไว้ บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ก่อนหน้าเจ้ายังเรียกข้าว่าอาจารย์มิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนคำเรียกเร็วเพียงนี้”

“ข้าคิดว่า…” เสิ่นเฉียวกล่าวพึมพำ สุ้มเสียงคลุมเครืออยู่บ้าง

เยี่ยนอู๋ซือก้มตัวเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปฟัง

ฝ่ายตรงข้ามพลันบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมา เยี่ยนอู๋ซือปล่อยมือไม่ทัน โลหิตสาดบนมือของเขาเป็นจุดๆ

ในดวงตาเยี่ยนอู๋ซือผุดรังสีสังหารออกมา

เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “บอกท่านแล้วว่าข้าอยากบ้วนโลหิต นี่ใช่ว่าจงใจไม่…”

มิทันขาดคำ เขาก็เซไปด้านข้างแล้วสลบไป

 

ระหว่างสะลึมสะลือ เสิ่นเฉียวรู้สึกได้ว่าทั้งร่างเหมือนลอยละล่องอยู่กลางอากาศ กระทั่งจิตใจก็ล่องลอยออกไปแสนไกล และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดจึงลอยกลับมาตกอยู่ในเรือนกายเรือนนี้ในตอนนี้

เพิ่งลืมตาขึ้น เสิ่นเฉียวก็ได้ยินด้านข้างมีคนถอนหายใจกล่าว “ชีวิตยากเข็ญมากเช่นนี้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไปทำไม ตายไม่สำเร็จ ในใจทุกข์หรือไม่”

เป็นเสียงของเยี่ยนอู๋ซือ

“…” เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะวิปลาส

เยี่ยนอู๋ซือกระทำการตามอำเภอใจ ไม่ยึดตามเหตุผล คัมภีร์ล้ำค่าเหมือนคัมภีร์สุริยันเล่มจิตเพ้อพกนี้ เขาคิดจะทำลายก็ทำลาย

ได้เห็นเนื้อหาชิ้นส่วนคัมภีร์ ผู้คนแสวงหาแต่ไม่ได้ไป เขากลับให้ตนเองได้โอกาสนี้โดยง่าย

ตนเองถูกเฉินกงหักหลัง เผชิญหน้าสถานการณ์ที่มู่ถีผอพาคนมาโอบล้อม ในตอนนั้นเยี่ยนอู๋ซืออยู่ด้านข้างด้วยเป็นแน่ แต่เขากลับนิ่งดูดายไม่เข้าขัดขวาง กระทั่งเสิ่นเฉียวพึ่งพาตนเองออกมาได้ เขาจึงปรากฏตัวอีกครั้ง ลงมือโดยฉับพลันเหมือนอยากจะเอาชีวิตของเสิ่นเฉียว ผลสุดท้ายกลับกระตุ้นพลังปราณของคัมภีร์สุริยันที่หลงเหลือในร่างเสิ่นเฉียวออกมา

แต่เสิ่นเฉียวไม่ถึงขั้นเข้าข้างตัวเองว่าเยี่ยนอู๋ซือให้ความสำคัญกับตนเองเป็นพิเศษ บากบั่นพากเพียรคิดฝึกปรือตนเอง คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือคนผู้นี้อุปนิสัยซับซ้อน อารมณ์แปรปรวน ยากที่จะตัดสินตามเหตุผลทั่วไป

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ข้ารับใช้ของมู่ถีผอมาหาเขาแล้ว เฉินกงเองก็ตามมาด้วย คนผู้นี้ทำให้เจ้าถูกมู่ถีผอคนพรรค์นั้นพึงพอใจ หากเจ้าคิดฆ่าเขา ตอนนี้ยังทัน”

เสิ่นเฉียวส่ายหน้าไม่กล่าวคำ ข้อศอกยันเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง พบว่าหลังตนเองบ้วนโลหิตหลายคำนั้นแล้วหน้าอกก็โปร่งโล่งขึ้นมาก และไม่มีความรู้สึกปวดตื้อ ดูเหมือนการบ้วนเลือดคั่งออกมานั้นช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

“ขอบคุณประมุขเยี่ยน” เขากล่าว

เยี่ยนอู๋ซือกลับใจกว้าง “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้วนเลือดคั่งออกมาได้เร็วเพียงนี้ เพียงแค่อยากบีบให้เจ้าใช้พลังปราณของคัมภีร์สุริยันเท่านั้น”

เสิ่นเฉียวรู้ว่าความหมายภายใต้คำพูดของเขาคือ ในตอนนั้นถ้าหากเจ้ายื้อไม่รอด ตายก็ตายเปล่า

“เช่นนั้นขั้นต่อไปประมุขเยี่ยนมีแผนอะไร”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “กลับเขาเสวียนตูกับเจ้า”

“…” เสิ่นเฉียวเชิดมุมปาก “ประมุขเยี่ยนมีกิจธุระทุกวัน เหตุใดถึงเสียเวลาอันมีค่ากับคนอย่างข้า”

เยี่ยนอู๋ซือลูบแก้มเขาด้วยความ ‘เอ็นดู’ เสิ่นเฉียวจะหลบก็หลบไม่ได้ ได้แต่ยอมให้เขาจับคางเอาไว้พลางสังเกตอยู่นานเหมือนพิจารณาสิ่งของส่วนตัวชิ้นหนึ่ง “เขาเสวียนตูเก็บซ่อนเล่มสัมภเวสีของคัมภีร์สุริยัน แต่ข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เขาเสวียนตูใหญ่โต ต่อให้คนเหล่านั้นล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เข้าไปค้นหาก็ลำบาก แต่หากมีเจ้าอยู่ในมือก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ท่านอยากให้ข้าเขียนให้ท่านหลังจำเนื้อหาได้?”

เยี่ยนอู๋ซือยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เมื่อไม่นานนี้พวกไม่เอาไหนเหล่านั้นต้องการอ่านจากหนังสือ จดจำทีละคำทีละประโยค ชิ้นส่วนคัมภีร์ที่ซ่อนอยู่ที่วังเป่ยโจวข้าได้ฝึกแล้ว เล่มจิตเพ้อพกข้าเองก็เคยอ่านแล้ว อ่านสองในห้า มีแผนการต่อแนวคิดของคัมภีร์สุริยันในใจนานแล้ว หากกล่าวว่ายามนั้นมองดูเจ้าเขียนสิ่งที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จออกมา มิสู้ให้เจ้าประมือกับข้าโดยตรงจะดีกว่า ไม่กลัวว่าจะมิอาจกระจ่างแจ้งถึงความลี้ลับของชิ้นส่วนคัมภีร์ที่ซ่อนในเขาเสวียนตู”

เขากล่าวกับเสิ่นเฉียวต่อไป “สภาวะก่อนกำเนิดที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การเดินรอยตาม ซ้ำยังมิได้อยู่ที่การลอกเลียนแบบ วิถีทางล้วนมาจากคนเดิน เถาหงจิ่งหลอมรวมจุดเด่นของทั้งสามลัทธิเขียนคัมภีร์สุริยันออกมา ข้าย่อมคิดค้นวรยุทธ์ที่สูงส่งกว่าได้เช่นกัน”

คำพูดเหล่านี้ฟังผ่านๆ นับว่าถือดีอย่างยิ่ง ไม่เห็นผู้ใดเหนือกว่า แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียด ความจริงเสิ่นเฉียวเองก็เห็นด้วย

เยี่ยนอู๋ซือกลายเป็นประมุขนิกายได้ วรยุทธ์เย้ยใต้หล้า ย่อมมีหลักการของตัวเขาเอง มองจากจุดนี้ เขาเองก็สมเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ที่ไต่เต้าสู่ระดับสุดยอดในใต้หล้าได้

มีเพียงจุดเดียว เผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ทุกวัน อยู่ร่วมกันเช้าค่ำ คือความทรมานอย่างหนึ่งโดยแท้จริง มิใช่เรื่องน่ายินดี

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com