ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย

5 of 5หน้าถัดไป

เยี่ยนอู๋ซือปล่อยมือออก กล่าวอย่างเฉยชา “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้ว พรุ่งนี้ก็ออกเดินทาง”

เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้ามีทางเลือกอื่นหรือไม่”

“เจ้าเลือกได้ว่าจะฉวยโอกาสขณะอาการบาดเจ็บยังดี ไปด้วยตัวเองตอนนี้ หรือว่าพวกเราสู้กันสักตั้ง รอเจ้าถูกข้าโจมตีจนบาดเจ็บพิการ ข้าค่อยพาเจ้าไป”

เสิ่นเฉียว “…”

มีเยี่ยนอู๋ซืออยู่ย่อมไม่จำเป็นต้องเดินบนทางหลวงที่ปลอดภัยกว่าเหล่านั้น เพื่อที่จะใช้ทางลัด เยี่ยนอู๋ซือหาได้ข้ามแดนฉางอันไม่ แต่ลงใต้สู่เมืองลั่วโจวโดยตรง ค่อยเดินทางจากลั่วโจวสู่อวี้โจวและสุยโจว

เส้นทางสายนี้ย่นระยะทางได้มาก แต่เพราะสถานที่เหล่านี้ใกล้กับชายแดนฉีและโจว หาได้สงบสุขเท่าใดไม่ โดยเฉพาะหลังอัคคีภัยปลายปีที่แล้ว พื้นดินแห้งแล้งพันลี้ ผู้อพยพมีทั่วทุกหย่อมหญ้า ต่างกรูกันไปยังเมืองอำเภอที่มีเสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่า ทำให้บัดนี้พวกเสิ่นเฉียวยังคงมองเห็นผู้อพยพไม่น้อยตามรายทาง

หากกล่าวถึงเรื่องวรยุทธ์ บัดนี้ในใต้หล้ามีน้อยคนที่ต่อกรกับเยี่ยนอู๋ซือได้ แต่เขามิใช่ผู้ร่วมเดินทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เสิ่นเฉียวแผลยังไม่หายดี ดวงตาเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ มิอาจคืนสู่ปกติได้เลย อย่างมากได้แต่มองเห็นแสงเงาเลือนรางเหมือนก่อนหน้านี้ เยี่ยนอู๋ซือเองก็มิได้เกิดความคิดทะนุถนอมหรือดีต่อเขาด้วยเหตุนี้ ตัวเขาไม่ต้องการขึ้นรถ จึงมิได้เช่าแม้กระทั่งรถม้า ยังคงเดินอยู่เบื้องหน้าอย่างสงบ มีท่าทางเชิง ‘เจ้าตามทันก็ตาม ตามไม่ทันก็ต้องตาม’

หนึ่งหน้าหนึ่งหลังเดินอยู่หลายวัน ขณะใกล้จะเข้าเมืองเซียงโจว พวกเขายังพบเจอผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่นอกเมือง

คนเหล่านี้เดิมทีมาจากเมืองกวงโจว เพราะที่นั่นอดอยากแห้งแล้ง มิอาจไม่เดินทางพันลี้มาถึงเมืองเซียงโจวที่ร่ำรวยกว่า ใครจะไปรู้ว่าผู้ว่าการเมืองเซียงโจวกลับไม่ยอมเปิดประตูให้พวกเขา ยังสั่งให้ทหารเฝ้ารักษาอย่างเข้มงวดกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ผู้อพยพเข้าไปแม้แต่คนเดียว

เหล่าผู้อพยพไม่มีเรี่ยวแรงไปแสวงโชคในพื้นที่ต่อไปอีก ได้แต่ปักหลักอยู่ที่นี่ ในความเป็นจริงคือค่อยๆ รอความตาย

มองจากมุมของการปกครองพื้นที่ ผู้ว่าการเมืองเซียงโจวทำเช่นนี้มิอาจต่อว่าได้ เนื่องจากเสบียงอาหารของเมืองเมืองหนึ่งมีจำกัด หากปล่อยผู้อพยพเข้ามา ก็ต้องรับผิดชอบจัดหาที่ให้พวกเขา และในความเป็นจริงคนเหล่านี้คือประชาชนที่ควรอยู่ภายใต้การปกครองของพื้นที่อื่น เช่นนี้เท่ากับเพิ่มความกดดันให้เมืองเซียงโจวเอง ถึงเวลาเสบียงอาหารของเมืองเซียงโจวไม่พอกิน ประชาชนในพื้นที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย บัดนี้เกาเหว่ย ฮ่องเต้ฉียุ่งอยู่กับการแสวงหาความสุขสำราญ ไม่มีความคิดดูแลการปกครอง เสบียงอาหารที่ราชสำนักแจกจ่ายยังไม่บรรลุถึงพื้นที่ก็หมดสิ้นไปในการขูดรีดแต่ละระดับชั้นแล้ว ถึงแม้ผู้ว่าการเมืองเซียงโจวรับผู้อพยพเหล่านี้เข้าเมือง ก็ไม่มีทางได้รับรางวัลจากราชสำนัก

เมืองเซียงโจวเข้าใกล้เขาเสวียนตูแล้ว ขอเพียงเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่กี่วัน ก็บรรลุถึงเขาเสวียนตูที่ตั้งอยู่ด้านข้างเมืองเหมี่ยนโจว

ยิ่งเข้าใกล้เขาเสวียนตู เยี่ยนอู๋ซือก็ยิ่งอารมณ์ดี

เขาถึงขั้นชะลอฝีเท้ารอเสิ่นเฉียว พลางชี้แนะทิวทัศน์และวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม หากไม่รู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง มองผ่านๆ ไม่แน่อาจคิดว่าพวกเขาคือสหายเก่าหรือคู่หูร่วมเดินทางด้วยกันหลายปี

เขากล่าวกับเสิ่นเฉียว “เมืองเซียงโจวคือพื้นที่แคว้นฉู่สมัยจั้นกว๋อ ฉะนั้นจึงมีวัฒนธรรมแคว้นฉู่อยู่มาก และนับว่าเป็นพื้นที่มั่งคั่งร่ำรวย น่าเสียดายเกาเหว่ยไม่มีความคิดบริหาร ความทุ่มเทของสกุลเกาหลายชั่วคนคงต้องล่มสลายในมือของเขาแล้ว”

เยี่ยนอู๋ซือไม่มีความเคารพต่อฮ่องเต้ฉีสักนิดอย่างเห็นได้ชัด อ้าปากก็เรียกชื่อพระองค์โดยตรง

เสิ่นเฉียวหรี่ตาลง มองเห็นนอกเมืองมีคนไม่น้อยรวมตัวอยู่อย่างเลือนราง ในนั้นมีเด็ก สตรี และคนชราเป็นส่วนใหญ่ เคราะห์ดีตอนนี้อากาศยังไม่นับว่าร้อน หาไม่เกรงว่าจะเกิดโรคระบาดเป็นวงกว้าง เสิ่นเฉียวอดมิได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจกล่าว “ความเป็นอยู่ยากลำบากนัก!”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ ในแต่ละแคว้นต่างก็มีเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ช่วงห้าชนเผ่านอกด่านเข้าสู่จงหยวน ปลายยุคจิ้นตะวันตก ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ มีโลหิตสดและชีวิตนับไม่ถ้วนต้องเสียไป ความอดอยากแห้งแล้งเช่นนี้มีทุกปี โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน แต่ละแคว้นโยกย้ายแรงกดดัน หวังจะผลักผู้อพยพไปยังแคว้นอื่นเพื่อปัดความรับผิดชอบ รอจนถึงปีที่อุดมสมบูรณ์ก็เปิดฉากทำสงครามกลืนกินดินแดน การจลาจลภายในเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อำนาจการปกครองผลัดเปลี่ยนอยู่เสมอ ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนชื่อแคว้น การปกครองแคว้นย่อมไม่มีทางมีผู้ใดในใจ เป่ยฉีเพียงแค่รุนแรงกว่าเดิมเท่านั้น”

เสิ่นเฉียวกล่าว “แต่ข้าได้ยินว่าประมุขเยี่ยนมีเงินเดือนตำแหน่งสูงที่เป่ยโจว ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้โจวอย่างยิ่ง ในใจท่านคิดว่าเป่ยโจวมีความเป็นไปได้ที่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งมากกว่าเป็นแน่?”

เยี่ยนอู๋ซือเอามือไพล่หลังกล่าวอย่างเฉยชา “ผู้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าจะฮ่องเต้ลับฮ่องเต้แจ้ง แต่ไรมาล้วนย่ำแย่พอกัน เพียงแตกต่างที่บ้างมีความปรารถนาจะเอาชนะตัวเอง บ้างมิอาจเอาชนะหรือไม่คิดเอาชนะ อวี่เหวินยงแม้ชอบการทำสงครามและเข่นฆ่า แต่เขาห้ามนับถือพุทธและเต๋า และไม่ชอบลัทธิหรู ไม่เข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กระนั้นทางเลือกที่เหลือของเขาจึงน้อยยิ่งนัก ข้าต้องการรวบสามนิกายเป็นหนึ่ง และต้องการความช่วยเหลือจากเขา สกุลอวี่เหวินเข้าสู่จงหยวนหลายปี บรรพบุรุษแม้เป็นชาวเซียนเปย แต่กลายเป็นชาวฮั่นนานแล้ว ระบบของราชวงศ์โจวไม่แตกต่างกับราชวงศ์ฮั่น หากกล่าวถึงการเป็นฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าจะแตกต่างกับราชวงศ์เฉินทางใต้”

หลายวันที่ผ่านมานี้ ฟังจากคำบอกเล่า เสิ่นเฉียวเองก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจในใต้หล้าคร่าวๆ แล้ว

หลวงจีนเสวี่ยถิงที่ลงมือขัดขวางเยี่ยนอู๋ซือในคืนนั้น เดิมทีคือผู้ที่สนับสนุนเป่ยโจวเช่นกัน แต่ผู้ที่เขาสนับสนุนคืออวี่เหวินฮู่ อดีตผู้สำเร็จราชการเป่ยโจว มิใช่อวี่เหวินยง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

หลวงจีนเสวี่ยถิงมาจากนิกายเทียนไถ เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับฝ่าอีประมุขคนปัจจุบันของนิกายเทียนไถ ทว่าจุดยืนแต่เดิมของนิกายเทียนไถกลับเอนเอียงไปทางหนานเฉิน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นภายในนิกายเทียนไถ ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องยาว

หลังอวี่เหวินยงชิงอำนาจที่เดิมควรเป็นของตนเองกลับมา เพื่อที่จะกำจัดผลกระทบที่อวี่เหวินฮู่ทิ้งไว้ ย่อมไม่สามารถใช้สำนักพุทธสืบต่อ ฉะนั้นบัดนี้พวกเสวี่ยถิงอยู่ที่เป่ยโจว ความจริงอยู่ในตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย แม้ไม่ถึงขั้นสูญเสียตำแหน่ง แต่ตราบใดที่อวี่เหวินยงอยู่ในตำแหน่ง หลวงจีนเสวี่ยถิงก็มิอาจคืนสู่เกียรติยศในวันวาน

สำหรับอวี่เหวินยงแล้ว หรู พุทธ และเต๋าต่างมีความต้องการของตัวเอง ครั้นดึงพวกเขามาเกี่ยวข้อง การบริหารแคว้นของตนเองก็ต้องใช้แนวความคิดของลัทธิหนึ่งในนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้ซึ่งตระหนักได้ด้วยตัวเองเช่นพระองค์ไม่ยินดีจะเห็น เมื่อเทียบกันแล้ว นิกายฮ่วนเยวี่ยแม้มีเป้าหมายของตัวเองเช่นกัน แต่พวกเขาเหมาะสมที่จะร่วมมือมากกว่าแต่ละลัทธิ และไม่ขอร้องให้อวี่เหวินยงไปเผยแพร่หลักคำสอนของลัทธิใด หรือควบคุมความคิดของพระองค์

คนทั้งสองเดินไปพลางกล่าวไปพลาง ขณะเดินไปยังประตูเมือง

ประชาชนหรือขบวนพ่อค้าทั่วไปเข้าเมือง มักต้องมีคู่หูร่วมเดินทางเสมอ ยังต้องมีชายฉกรรจ์คุ้มกันจะดีที่สุด เพื่อป้องกันผู้อพยพก่อความวุ่นวาย เนื่องจากผู้อพยพหิวโหยถึงขีดสุดอาจกลายเป็นโจรผู้ร้ายได้ ในขณะที่พวกเขาพบว่าเป็นกระยาจกใช้การไม่ได้ก็จะปล้นชิงอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าถึงขั้นจนตรอก เด็กและสตรีที่หน้าตางดงามตกอยู่ในมือผู้อพยพ มิเพียงรักษาความบริสุทธิ์ไม่ได้ สุดท้ายอาจยังต้องถูกจับลงหม้อต้มเป็นน้ำแกงเนื้อ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยนอู๋ซือกับเสิ่นเฉียวจึงค่อนข้างดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นพิเศษ

คนหนึ่งสองมือว่างเปล่า ไม่พกอะไรทั้งสิ้น คนหนึ่งยันไม้เท้าไม้ไผ่ สภาพอ่อนแอที่เหมือนป่วยหนักเพิ่งรักษา มองอย่างไรก็ไม่เหมือนนักเดินทางทั่วไป

ริมทางมีผู้อพยพส่งสายตาวิงวอนออกมาหาพวกเขาตลอดเวลา เยี่ยนอู๋ซือแค่มองก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่ควรหาเรื่อง ผู้อพยพเองก็มิกล้าเข้ามาร้องขอ ได้แต่เปลี่ยนไปขอเสิ่นเฉียวที่ดูเหมือนอ่อนแอพูดคุยง่ายกว่า

ในนั้นมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง จูงเด็กสามสี่คนเดินอยู่บนเส้นทาง ผอมจนเห็นกระดูกได้ มองไม่ออกว่าเป็นคนสักนิด รูปร่างเหมือนซากศพเชิด แม้กระทั่งสีหน้าก็ด้านชา เด็กที่โตที่สุดอายุเพียงหกเจ็ดปี เด็กที่เล็กที่สุดเพิ่งอายุสองสามปี ก้าวเดินโซซัดโซเซ บิดามารดาเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงอุ้ม นางจึงจับชายเสื้อของมารดาเอาไว้ตามอยู่ด้านหลัง เดินส่ายไปส่ายมา

ถ้าหากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ สุดท้ายเด็กที่เล็กที่สุดจะถูกส่งไปแลกเปลี่ยนกับเด็กบ้านอื่น เพิ่มการแบ่งสรรเสบียงอาหารให้บิดามารดา หรือว่าเขาอาจถูกบิดามารดาต้มกิน เกิดในช่วงกลียุค คนเดินถึงขั้นจนตรอก เพื่อมีชีวิตอยู่เลือดเนื้อเชื้อไขก็สามารถสละได้

สามีภรรยาคู่นี้เห็นเสิ่นเฉียวผ่านทาง จึงคุกเข่าลงขออาหารกับเขา เสิ่นเฉียวครุ่นคิด หยิบแป้งทอดห่อกระดาษน้ำมันชุดหนึ่งออกจากอกเสื้อยื่นให้เด็กที่เล็กที่สุดผู้นั้น

สามีภรรยายินดีปรีดาเสมือนคลุ้มคลั่ง โขกศีรษะขอบคุณซ้ำๆ สามีชิงแป้งทอดจากในมือของบุตร อ้าปากหมายกัดหนึ่งคำใหญ่ เห็นภรรยามองตนเองตาปริบๆ ก็ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นหักเป็นหนึ่งชิ้นเล็กให้ภรรยาอย่างอาลัยอาวรณ์

ภรรยาได้แป้งหนึ่งชิ้นเล็กนั้น ตนเองมิได้กิน แต่กลับหักเป็นหลายชิ้นอย่างระมัดระวัง แบ่งให้บุตรทั้งหลาย

แป้งทอดไม่ใหญ่ เขมือบไม่กี่คำก็กินหมดแล้ว ผู้อพยพด้านข้างมองดูจนตาร้อน ต่างจ้องมองเสิ่นเฉียวเขม็ง

สามีภรรยาคู่นั้นกล่าวขอร้องกับเสิ่นเฉียว “เด็กๆ หิวมาหลายวันแล้ว ผู้สูงศักดิ์โปรดมอบแป้งอีกสักชิ้นให้พวกเขาประทังชีวิตเข้าเมือง!”

เสิ่นเฉียวกลับปฏิเสธ “ข้าเองก็มิใช่คนร่ำรวย ในตัวพกเพียงสองชิ้น ให้พวกเจ้าหนึ่งชิ้น ตัวข้าเองก็ต้องเก็บไว้หนึ่งชิ้น”

สามีภรรยาคู่นั้นได้ยินว่าในตัวเสิ่นเฉียวยังมีของกิน สีหน้าจึงเปลี่ยนแปลงทันที ซ้ำยังเห็นสองตาของเขาไร้แวว ยังต้องอาศัยไม้เท้าไม้ไผ่ค้ำยัน ในใจบังเกิดความคิดชั่วร้ายอย่างเลี่ยงมิได้ กระโจนใส่เสิ่นเฉียว

ใครจะไปรู้ว่ายังไม่แตะถูกแขนเสื้อของผู้อื่น ร่างกายก็ลอยกลับทิศทางออกไป ตกลงบนพื้นอย่างแรง ส่งเสียงแผดร้องออกมา

เมื่อมองดูเสิ่นเฉียวอีกครั้ง กลับยังคงอยู่ในสภาพอ่อนแอเกินทน มองไม่ออกว่าเมื่อครู่เขาโจมตีให้คนลอยออกไปได้เลย

เสิ่นเฉียวคิดไม่ถึงว่าเจตนาดีชั่ววูบของตนจะนำมาซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ มองดูภรรยาของบุรุษอีกครั้ง ต่างตกใจจนกอดกันเป็นก้อนแล้ว

ผู้อพยพที่เตรียมลงมือคนอื่นๆ มองเห็นฉากนี้ ย่อมมิกล้าขยับส่งเดชอีก

บุรุษลุกขึ้นมาอย่างเปลืองแรง มิได้ร้องขอชีวิต แต่กลับเข้ามาด่า “มีฝีมือเจ้าก็ตีข้าให้ตายสิ! คนเช่นเจ้าเสแสร้งมีคุณธรรมเป็นที่สุด คิดอาศัยการให้ทานมาแลกเปลี่ยนกับการโขกศีรษะขอบคุณของพวกเรามิใช่หรือ ไยช่วยคนไม่ช่วยให้ถึงที่สุด ยังมีอีกหนึ่งชิ้นชัดๆ ไฉนไม่เอาออกมา! ไม่อยากเอาออกมาก็บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเอาออกมาสิ ให้พวกเราได้ลิ้มรสหวานแต่ก็กินไม่อิ่ม เจ้าทำเช่นนี้ต่างอะไรกับฆ่าคน!”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจหนึ่งเสียง ส่ายหน้า ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น หันกายผละไป

เยี่ยนอู๋ซือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตลอด มองดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ทั้งมิได้สอดมือและมิได้จากไป เหมือนกำลังรอเขา บนหน้ากลับพกพาสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

มีมือนั้นที่หยิบยื่นออกมาเมื่อครู่ ก็รู้ว่าในตัวเขามีของกิน คนอื่นก็ได้แต่มองดูเขาจากไปตาปริบๆ

รอเขาเดินมาใกล้ เยี่ยนอู๋ซือจึงกล่าว “ข้าวสารหนึ่งโต่วเป็นผู้มีพระคุณ ข้าวสารหนึ่งหาบเป็นศัตรู คำพูดประโยคนี้ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “เป็นข้าสะเพร่า คนที่ได้รับความลำบากมีมากยิ่งนัก อาศัยกำลังของข้าคนเดียว ไม่สามารถช่วยได้หมด”

เยี่ยนอู๋ซือถากถาง “บิดาผู้อื่นไม่สนใจบุตรจะเป็นหรือตาย เจ้ากลับช่วยผู้อื่นดูแลบุตร เจ้าสำนักเสิ่นมีจิตใจเมตตาดังคาด เพียงแต่น่าเสียดายความโลภของคนเรายากเติมเต็ม มิอาจเข้าใจเจตนาดีของเจ้า หากวันนี้เจ้าป้องกันตัวไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นน้ำแกงเนื้อเสียตอนนี้”

เสิ่นเฉียวครุ่นคิดจริงจัง “หากวันนี้ข้ามิอาจป้องกันตัวคงไม่เลือกเดินเส้นทางสายนี้ ยอมอ้อมไกลสักนิดก็คงหลบหลีกพื้นที่ที่มีผู้อพยพได้ คนเรามุ่งหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงโทษทัณฑ์ ไม่เว้นแม้แต่ข้าที่หาใช่นักบุญไม่ เพียงแต่มองเห็นว่ามีคนได้รับความลำบาก ในใจจึงทนไม่ได้เท่านั้น”

เขายึดมั่นในความถูกต้อง เยี่ยนอู๋ซือกลับเชื่อว่าเนื้อแท้มนุษย์ชั่วร้าย คนทั้งสองพูดคุยไม่ไปในแนวทางเดียวกันตั้งแต่ต้น ถึงเยี่ยนอู๋ซือจะสามารถทำให้เสิ่นเฉียวถึงที่ตายได้ด้วยพละกำลัง แต่แม้ว่าเขาบีบคอของเสิ่นเฉียวเอาไว้ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดของคนผู้นี้ได้

มีฉากขั้นนี้เพิ่มขึ้นมา บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงอย่างหาได้ยากระหว่างคนทั้งสองก่อนหน้าจึงอันตรธานไป

“คุณชาย!”

สุ้มเสียงเล็กๆ อันอ่อนแอ ถ่ายทอดมาจากด้านหลัง

เสิ่นเฉียวหันหน้าไป กลับมองเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางสายหนึ่ง ผอมเล็กต่ำเตี้ย คงเป็นเด็กคนหนึ่ง

เด็กคนนั้นวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา โขกศีรษะให้เขาสามทีอย่างเอาจริงเอาจัง “ขอบคุณคุณชายที่มอบแป้งทอดให้พวกเราเมื่อครู่ ท่านพ่อไม่มีของขวัญให้ท่าน ข้า ข้าได้แต่โขกศีรษะให้ท่าน ขอให้ท่านอดทนอดกลั้น อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเขา!”

ไหนเลยเขาจะถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กคนหนึ่ง เสิ่นเฉียวถอนหายใจ เข้าไปพยุงเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้เก็บมาใส่ใจ ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันคือวันประสูติของพระพุทธเจ้า ประชาชนเมืองเซียงโจวนับถือพุทธ ยามนั้นคงจัดโรงทาน และอาจปล่อยผู้อพยพจำนวนหนึ่งเข้าเมืองตามความเหมาะสม พวกเจ้ายังมีโอกาส”

สองตาเด็กน้อยลุกวาว โขกศีรษะขอบคุณซ้ำๆ “ขอบคุณคุณชายที่บอกกล่าว เรียนถามคุณชายชื่อแซ่สูงส่งอันใด ต่อไปหากมีโอกาส ผู้น้อยต้องตอบแทนท่านแน่ สร้างป้ายอวยพรให้ท่าน!”

เสิ่นเฉียวลูบศีรษะของเขา กล่าวถ้อยคำอ่อนโยน “เหล่านี้ไม่จำเป็น เจ้าดูแลมารดาและน้องสาวน้องชายของเจ้าให้ดี”

เด็กน้อยออกแรงพยักหน้า ซ้ำยังกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านวางใจเถอะ ความจริงแป้งทอดชิ้นนั้นที่ท่านแม่แบ่งให้ข้าเมื่อครู่ ข้ามิได้กิน ล้วนลอบยัดให้น้องสาวแล้ว!”

เสิ่นเฉียวฟังจนปวดใจ ซ้ำยังลอบถอนหายใจให้แก่ความรู้เรื่องของเขา เสิ่นเฉียวครุ่นคิด ทั้งยังหยิบแป้งทอดแผ่นหนึ่งที่เหลือในอกเสื้อออกมายื่นให้เขา “เจ้าเอากลับไปกิน อย่าให้บิดาเจ้าพบอีก”

เด็กคนนั้นหิวจนหน้าเหลืองเนื้อลีบ แต่กลับไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากที่ใด เป็นตายก็ไม่ยอมรับไว้ สุดท้ายยังคงเป็นเสิ่นเฉียวฝืนยัดใส่มือเขา “หากเจ้าปฏิเสธอีก คนรอบข้างมองเห็น ก็จะเกิดเรื่องอีก”

เขาจึงได้แต่รับไว้ ซ้ำยังคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เสิ่นเฉียว กล่าวยืนกรานอีก “คุณชายโปรดบอกชื่อแซ่!”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าชื่อว่าเสิ่นเฉียว”

“เสิ่นเฉียว…” เด็กคนนั้นพึมพำหลายรอบ ไม่รู้ว่าเข้าใจคำว่าเฉียวเป็นความหมายอื่นใดใช่หรือไม่ เสิ่นเฉียวเองก็มิได้เน้นย้ำแก้ไขเป็นพิเศษ

เด็กคนนั้นผละไปพลางเหลียวมองหลายครั้ง

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “สายแล้ว เข้าเมืองเร็วสักหน่อย”

เสิ่นเฉียวเห็นว่าครานี้เขามิได้เอ่ยปากถากถาง ก็ประหลาดใจอยู่บ้างจึงยิ้มพลางกล่าว “ท่านไม่กล่าวอะไรหน่อยหรือ”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “มีคนชมชอบทำเรื่องโง่งม บอกไปก็ไม่ฟัง ไยข้าต้องเปลืองน้ำลายเปล่า”

เสิ่นเฉียวลูบจมูก ยิ้มแต่มิได้กล่าวคำ

ถึงโลกนี้จะมีความชั่วร้ายมากมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิเสธการดำรงอยู่ของความดีและความเมตตาเพราะความชั่วร้ายเหล่านี้

แม้ต้องใช้แป้งทอดแผ่นนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับเจตนาดีเล็กน้อยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พันสารท ฉบับเต็ม

5 of 5หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com