“เป็นอะไรไป ไม่พอใจหรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงกลับนึกสนุกขึ้นมา ประคองศีรษะตนเองเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างหยั่งเชิงว่า “วันนี้ฟังฮูหยินทั้งหลายพูดกันว่าจิ้งอ๋องแห่งตงเป่ยช่วยราชสำนัก…เจ้าเคยเห็นบุตรสาวของเขาหรือไม่”
ฮั่วสุยเฟิงเลิกคิ้วหนาแล้วตอบ “ข้าไม่เคยพบแม้แต่จิ้งอ๋องด้วยซ้ำ แล้วจะไปพบบุตรสาวในห้องหอของเขาได้อย่างไร”
คำพูดนี้น่าจะเป็นความจริง ในนิยายต้นฉบับฮั่วสุยเฟิงควรจะร่วมต่อต้านเผ่าหนานอี๋อยู่ที่แนวหน้า และในตอนที่ฮั่วสุยเฟิงร่วมมือกับจิ้งอ๋องถึงได้รู้จักกับเสิ่นหรง ทำให้เสิ่นหรงมีใจให้เขาในที่สุด
ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากเสิ่นหรงไม่ได้พบฮั่วสุยเฟิง นางคงไม่ได้มีใจให้เซียวเยวี่ยเหอกระมัง เมื่อนึกถึงฉีซืออินสตรีเงียบขรึมผู้นั้น โม่เซี่ยวเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย หากคนที่เสิ่นหรงหมายตาเป็นเซียวเยวี่ยเหอ ไม่ต้องกักขังเขา เพียงกระดิกนิ้วก็อาจล่อลวงเขาสำเร็จได้เลยกระมัง
นางค่อยเบาใจลงบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ลืมกำชับอีกฝ่ายว่า “ได้ยินฮูหยินทั้งหลายบอกว่าบุตรสาวของจิ้งอ๋องผู้นั้นถูกตามใจจนเสียคน เห็นอะไรดีก็อยากครอบครองไปเสียหมด วันหน้าหากเจ้าบังเอิญได้พบนางเข้าจริงๆ ก็จำไว้ว่าอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้…”
ในโลกที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและอันตรายเช่นในตอนนี้ แม้แต่บุรุษก็ต้องปกป้องตนเองให้ดี หากเสิ่นหรงนั่นเป็นเหมือนอย่างในนิยายต้นฉบับจริงๆ เมื่อฮั่วสุยเฟิงพบนางแล้ว นางอาจมีใจให้เขาตั้งแต่แรกเห็นทันที จากนั้นก็วางแผนกักตัว เริ่มต้นฉากเสียความบริสุทธิ์ที่น่าอัปยศอดสู
ฮั่วสุยเฟิงฟังคำพูดของนางแล้วหว่างคิ้วก็คลายตัว รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนพูดเสียงต่ำ
“ข้าจะปฏิบัติตามคำสอนของเจ้าอย่างเคร่งครัด จะอยู่ให้ห่างจากหญิงอื่นแน่นอน แต่ที่เจ้าพูดมาเช่นนี้คงเพราะเจ้าคิดว่าข้าดี ถึงได้กลัวว่าจะถูกผู้อื่นครอบครอง ลองบอกข้ามาทีว่าข้าดีตรงที่ใด”
โม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยชมไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องรูปโฉมที่หล่อเหลาและความประพฤติที่เรียบร้อยดีงาม
แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับดูไม่ค่อยพอใจนัก รู้สึกว่าโม่เซี่ยวเหนียงยังไม่ได้ชมในจุดที่เขาต้องการเสียที สุดท้ายโม่เซี่ยวเหนียงถูกเขาซักไซ้จนหมดความอดทน จึงคำรามออกมาเบาๆ
“เอวเจ้าดี!”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วกระตุ้นอารมณ์เล็กน้อย ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงกำลังตั้งครรภ์ หมอได้กำชับอย่างเคร่งครัดว่าห้ามจวิ้นอ๋องน้อยเข้าใกล้เกินควร แต่นางกลับพูดจาปลุกเร้ากันเช่นนี้ ทำเอาจวิ้นอ๋องน้อยรู้สึกเหมือนเอวของตนกำลังลุกเป็นไฟ แต่ก็ไม่อาจแตะต้องนางได้ นางช่างเหมือนปีศาจที่คอยทรมานเขาเหลือเกิน
จวิ้นอ๋องน้อยอดไม่ได้ที่จะขอจุมพิตเร่าร้อนจากนาง จึงค่อยดับความหิวกระหายในใจลงได้บ้าง ในเวลานี้เองเชี่ยวจือก็กลับมายืนอยู่ที่ห้องด้านนอกและมองเห็นภาพในห้อง จากนั้นก็เอ่ยถามเตี๋ยสี่ด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“เมื่อครู่นี้ที่ครัวเพิ่งบอกมาว่าอาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว ไม่ทราบว่าเซี่ยนจู่จะให้ตั้งโต๊ะเมื่อไรดีเจ้าคะ”
เตี๋ยสี่เงี่ยหูฟังเสียงจากในห้องด้านในอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้เชี่ยวจือไปยืนอยู่ด้านข้าง รอให้เซี่ยนจู่เรียกให้เตรียมอาหารแล้วค่อยแจ้งต่อ
เชี่ยวจือยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของบุรุษดังลอดออกมาจากในห้อง เพลิงโทสะในใจนางพลันโหมแรงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน…
หลังโม่เซี่ยวเหนียงอดทนอยู่ในเรือนมาสามเดือน หมอก็ยกเลิกข้อห้ามเสียที ให้นางออกไปเดินเล่นชื่นชมฤดูใบไม้ผลิในช่วงสั้นๆ ของโม่เป่ยได้
ฮั่วสุยเฟิงก็ช่างเอาใจใส่ รู้ว่านางอึดอัดจะแย่แล้ว จึงพานางไปชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิดูนกน้ำว่ายน้ำที่ริมทะเลสาบนอกเมือง
สายน้ำของโม่เป่ยไม่ได้ไหลยาวต่อเนื่อง แต่ผิวน้ำเรียบนิ่งดุจกระจก สะท้อนพื้นที่สีเขียวโดยรอบ ให้อารมณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว